ร้านที่อาจไม่ได้ขายแต่กาแฟ

ส่วนตัวแล้วคิดว่า การนั่งทำงานในร้านกาแฟเช่น Starbucks , Tom N Tom, True หรือ Dean & Deluca นั้นเป็นเรื่องปรกตินะ (ร้านอื่นๆ ไม่ได้กล่าวเพราะนานๆ ไปที) คือร้านพวกนี้เป็นร้านที่ขายเครื่องดื่มพร้อมบริการที่นั่ง ซึ่งค่อนข้างจะสบายในการนั่งดื่มและซึมซับบรรยากาศของร้านอยู่แล้ว รวมไปถึงร้านพวกนี้ “ยินดี” ที่จะให้เป็นที่นั่งสำหรับทำงานหรืออ่านหนังสือด้วยซ้ำไป เพราะมีทั้งปลั๊กไฟ ระบบ WiFi และแสงสว่างที่เพียง คือสังเกตได้ว่าร้านไหนทำที่ ไม่มีปลั๊กไฟให้ ระบบ WiFi ไม่ใช่ของร้าน รวมไปถึงนั่งแข็งๆ ไม่สบายเท่าไหร่ มักจะให้เราอยู่ในร้านไม่นานนัก แต่ร้านกาแฟที่เน้นให้เรานั่งนานๆ นั้น เค้ามองว่าเค้าไม่ได้ขายกาแฟเท่านั้น แต่เค้ามองที่เรื่องการเช่าพื้นที่ใช้สอยชั่วคราวด้วย ซึ่งมันถูกรวมลงไปในราคาเครื่องดื่มอยู่แล้วทุกแก้ว (ถ้าเอากลับบ้านคุณจะได้บริการห่อและรูปแบบการห่ออย่างดีเช่นกันเพื่อชดเชยเรื่องพวกนี้บ้าง) ไม่อย่างนั้นร้านพวกนี้จะทำร้านให้นั่งสบาย และตกแตกสวยงามทำไม? คือถ้าได้อ่านหนังสือ The Starbucks Experience: 5 Principles for Turning Ordinary Into Extraordinary คงทราบว่าทำไม

IMG_20121009_155043

แต่ปัญหาที่เจอในไทย หรือทั่วโลกบางที่ในตอนนี้คือ การใช้พื้นที่ในร้านกาแฟที่ถือว่าเป็นพื้นที่ใช้ร่วมกันของแต่ละคนนั้น ถูกใช้เกินความพอดีในช่วงเวลาที่คนเข้าใช้บริการร้านพวกนี้เยอะ ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวร้านหรือการออกแบบสักเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ความพอดีของแต่ละคนที่ใช้บริการนั้นไม่เท่ากันมากกว่า

โดยปรกติการใช้บริการต่อ 1 แก้วอาจจะมีระยะเวลาประมาณ 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ก็แล้วแต่คนที่สามารถที่จะใช้พื้นที่ตรงนั้นได้ แต่เยอะกว่านั้นดูจะมากไปสำหรับ 1 แก้ว สำหรับช่วงเวลาที่คนเยอะ (ถ้าซื้อเพิ่มก็ยังโอเคนะ ผมถือว่าแฟร์ดี) การใช้วิธีคิดแบบนี้ค่อนข้างโอเค แต่จะใช้ไม่ได้ผลถ้าคนในร้านหรือช่วงเวลาที่คนไม่มาก ซึ่งผมมองว่าร้านพวกนี้มีพื้นที่เหลือให้บริการอยู่แล้ว และคิดว่าเค้ายินดีให้แน่นอน

IMG_20120430_190121

บางครั้งการต่อว่าแบบเหมารวมในเรื่องของคนเข้าไปใช้บริการแล้วกาง Notebook หรืออ่านหนังสือนั้นดูง่าย และใช้เวลาที่รวดเร็ว แต่ส่วนตัวแล้วนั้นไม่ค่อยจะเหมาะนักกับพื้นฐานวิธีคิดแบบนี้ เพราะดูจะสรุปบนความฉาบฉวยไปหน่อย เพราะบางคน (รวมถึงผม) อาจจะไม่ได้นั่งนานขนาดครึ่งวัน อาจจะขอเวลา 30 นาทีถึงชั่วโมงในการนั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ หรือนั่งรอคนอยู่ก็ได้ การกาง Notebook หรือเปิดหนังสือมานั่งอ่านเพียงเวลาไม่นานอาจโดนเหมารวมได้เช่นกัน ผมมองว่าปัจจัยเรื่องนี้มันเยอะมากทีเดียว

จริงๆ ผมอยากหาที่ที่เป็น Co-Worker ที่มันใกล้ๆ รถไฟฟ้าหรือในห้างก็น่าจะดีนะ ที่ที่มีอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสะดวก อย่างเช่น Hubba Thailand นี่ใกล้บ้านผมมากไป ไปนั่งทำงานคนเดียวมันแปลกๆ ผมเดินทางกลับบ้านผมทำงานที่ห้องง่ายกว่า ><” (ใช้เวลาเดินทางห่างกัน 15 นาทีเอง)

ซื้อของให้ตั้งราคาตั้งต้นก่อน

เท่าที่ลองเล่นมาทั้ง Dell Latitude 10, Lenovo ThinkPad 2 และ ASUS VivoTab Smart ตัวเลือกที่ตัวเองสนใจและคิดจะซื้อกลับกลายเป็น ASUS VivoTab Smart ซะงั้น เพราะส่วนตัวแล้วงานประกอบและวัสดุตัว Latitude และ ThinkPad ทำได้ดี แต่ VivoTab ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแตกต่างจนรู้สึกได้ คือส่วนตัวเอาฟังค์ชันปรกติทั่วไป ผมว่ามันก็ตอบโจทย์งานผมได้เยอะแล้วนะ

คือในด้านราคาที่ตั้งธงไว้เนี่ยสำคัญ อย่าง Tablet Android ผมจะไม่ซื้อเกินราคา 9,000 บาท มือถือจะซื้อไม่เกิน 15,000 บาท ส่วนถ้าเป็น Tablet Windows 8 ผมตั้งธงไว้ในใจว่าจะซื้อไม่เกิน 20,000 บาท สำหรับ Notebook ผมตั้งธงไว้ที่ 40,000 บาท เพราะงั้นต้องคิดให้เยอะเข้าไว้

จริงๆ อย่าง Mouse/Keyboard ผมตั้งราคาไว้ว่าทั้งเซ็ต 2 ตัวนี้ต้องราคาไม่ถึง 5,000 บาท ซึ่งหลายคนคิดว่าอาจดูเยอะ แต่ถ้ามองว่ามันใช้งาน 3 ปีและเราต้องสัมผัสมันทุกวันตลอดการใช้คอมพิวเตอร์ ถ้าเราใช้ของไม่ดีอาจมีปํญหาด้านสุขภาพและการทำงานได้

การซื้อของถ้าเราตั้งธงด้านราคาไว้ เราจะรู้ว่าควรได้อะไรและไม่ควรได้อะไร ไม่จำเป็นต้องได้อะไรที่ใหม่สุดหรือท็อปของสายการผลิตนั้นๆ หรอก บางครั้งเราก็ไม่ได้ใช้งานมันเลย

ปล. เอาจริงๆ ซื้อ Lumia 920 ที่ราคา 21,900 บาท ตอนเพิ่งเริ่มขายมันได้โปรลดราคาเพราะงั้นก็ยังถือว่าไม่เกิน 15,000 บาท คือได้ลดราคาทั้งราคาค่าเน็ต และได้ของแถมที่ชาร์จไร้สาย ซึ่งรวมกันแล้วมาหักลบกับราคาเครื่อง จะเหลือแค่ 12,000 – 13,000 บาทเองนะ

Facebook Timeline รุ่นล่าสุด การกลับมาตั้งหลักของ Facebook Timeline

สำหรับ Facebook Timeline รุ่นแรกนั้น ในครั้งแรกที่ที่ใช้ๆ มันเหมือนจะดีนะ แต่ไปๆ มาๆ มักเกิดปัญหาว่า ข้อมูลในตัว block ข้อมูลมันดันไม่เท่ากัน พอมันมันไล่ซ้าย-ขวาไปมาแล้ว ตัวผมจะเริ่มงงว่าอันไหนมาก่อนมาหลังน่ะ มันเลยดูใช้งานยากไปเลยในท้ายที่สุด

สรุปแล้วในตอนนี้ Facebook Timeline รุ่นล่าสุด ก็ต้องปรับมาใช้ Timeline แบบผสมระหว่าง Wall แบบเก่ากับ Timeline แบบใหม่แทน

การปรับก็คือ ตัวข้อมูลส่วนตัว มาวางแบบสรุปไว้ที่ Sidebar ด้านซ้ายแทน แล้วแก้ไขการแสดงผลข้อมูล Timeline ที่วิ่งไป-มาระหว่างซ้าย-ขวาในรูปแบบ 2 Column ซึ่งอ่านยาก มาเป็น 1 Colmun ซึ่งปรับแล้วก็เหมือน Wall แบบเก่านั้นแหละ ><”

ถือว่าเป็นการกลับมาตั้งหลักใหม่ เพราะแบบนี้ดูข้อมูลง่ายกว่าในการไล่ดูเนื้อหาที่ชีวิตคนเราไล่ข้อมูลจากบนลงล่างกันแบบนี้อยู่แล้ว

2013-04-16_235653

The Top 10 Mistakes of Entrepreneurs โดย Guy Kawasaki

นั่งไล่ดูชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ โดยรวมถือว่าสนุกและได้มุมมองใหม่ๆ ในด้าน Tech Startup จาก Guy Kawasaki ค่อนข้างเยอะ เพราะพี่ท่านปล่อยของเพียบเลย รายการ 10 ข้อ (จริงๆ มี 11 ข้อ) ก็ตามด้านล่าง แต่แนะนำให้ฟังเต็มๆ ครับ เป็นการพูดที่สนุกและฟังได้เรื่อยๆ สบายๆ กัดเจ็บในหลายๆ เรื่องมาก

    1. Multiplying big numbers by 1% to calculate an expected share of an addressable market.
    2. Scaling too soon
    3. Obsession with partnering
    4. Pitching instead of prototyping
    5. PowerPoint errors
    6. Doing things serially rather than simultaneously
    7. Believing that owning 51% of the company = control
    8. Believing that patents = defensibility
    9. Hiring in ur own image rather than hiring complementary skills
    10. Befriending your VC
    11. Thinking VCs can add value

ตัวอย่างสิ่งที่น่าสนใจก็อย่างเช่น

Pitching instead of prototyping ที่กล่าวถึงเรื่องของการขายไอเดียที่ควรจะมีต้นแบบในสิ่งที่จะขายด้วย การขายไอเดียอย่างเดียวอาจไม่พอสำหรับ Tech Startup

In the real world, the key is not the pitch. The key is the prototype. If someone gave me a choice of having a team come in with a great Powerpoint pitch or come in with the prototype that is working. I would pick the working prototype all day work. Because in a few hours I can help most of you fix your pitch. I cannot in a few hours helped anybody fix their prototype. Prototyping is the key.

ต่อมาก็เรื่อง Infrastructure ที่ Guy แนะนำว่าปัจจุบันเราใช้ Cloud ในการแก้ไขปัญหาเรื่องของ Infrastructure ที่ต้องมานั่งคิดตอนเริ่มต้นทำ Tech Startup กับระบบที่ใช้ Infrastructure ซึ่งในตอนนี้ราคาถูกและเข้าถึงได้ง่ายมากๆ

Infrastructure today’s free or cheap you use rackspace. You use amazon web services. You don’t buy any servers anymore you don’t buy buildings you don’t lease buildings, Use amazon use rackspace thousand bucks to get terrabytes in the sky.

จริงๆ มีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจครับ ลองดูเต็มๆ แล้วได้อะไรเยอะ ;)

พาชมงานเปิดตัว Panasonic Toughbook ทั้ง 3 รุ่นในไทย

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 ที่ผ่านมาทาง Panasonic ได้เปิดตัวแท็บเล็ตและโน๊ตบุ๊คที่ผลิตเพื่อจับกลุ่มความต้องการของลูกค้าองค์กรในภาคอุตสาหรกรรมที่เน้นความทนทานสูง เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการใช้งานในสภาพแวดล้อมหลากหลาย โดยมีการเปิดตัวทั้งหมด 3 รุ่น โดยทั้ง 3 รุ่นนี้รองรับ Microsoft Windows 8 ทั้งหมด ซึ่งได้แก่ Panasonic Toughbook CF-AX2, Panasonic Toughbook CF-C2 และ Panasonic Toughpad FZ-G1

WP_20130404_026

ในงานช่วงเริ่มต้นนั้นได้นำเสนอเรื่องราวของ Panasonic Toughbook ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ได้รับการยอมรับในด้านการออกแบบขึ้นมาเพื่อเป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่เป็นประจำ โดยจุดประสงค์หลักเพื่อนำไปใช้ในสถานที่สุดโหด ที่ตัวเครื่องนั้นต้องทนต่อฝนตก ฝุ่นผงต่างๆ ในระหว่างการทำงาน โดยมาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัย ระบบการจัดการตัวเครื่อง และความสามารถในการเชื่อมต่อที่หลากหลาย

ซึ่งหน่วยงานที่มักนำไปประจำการนั้นได้แก่ หน่วยงานภาครัฐที่ทำงานด้านการแจ้งเตือนเหตุภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก ในโรงงานอุตสาหกรรมหนัก และในรุ่นที่ทำงานเป็นแท็บแล็ตนั้นยังถูกใช้ในโรงพยาบาลมากมายในประเทศญี่ปุ่นด้วย

ตัวอย่างในงานที่นำมาให้เล่นกันอย่าง Toughbook CF-H2 Field ซึ่งไม่ได้ทำตลาดในไทยตอนนี้ (วิดีโอด้านล่าง)

Toughbook CF-H2 Field – test drive

Panasonic Toughpad FZ-G1 มาในรูปลักษณ์แบบแท็บเล็ตออกแบบมารองรับงานสมบุกสมบัน กันน้ำได้และยังทนทานต่อแรงตกกระแทกได้เป็นอย่างดี โดยได้ผ่านการทดสอบ MIL-STD-810G ของสหรัฐอเมริกาแล้ว

 

G1_image_03 G1_standard_back_02

  • ใช้ CPU Intel Core i5-3437U (Intel HD Graphics 4000) ขนาดของ RAM ที่ 4GB (มีรุ่น 8GB ด้วย แต่จะฝั่งมากับบอร์ดเลยใส่เพิ่มไม่ได้)
  • หน้าจอสัมผัส Capacitive ขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว Resolution ที่ 1920×1200 pixel พร้อมตัวกรองแสงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในที่กลางแจ้ง รองรับ multitouch จำนวน 10 จุด
  • ใช้ Windows® 8 Pro 64-bit บน SSD ขนาด 128 GB
  • กล้องหน้า 1.3MP และกล้องหลังที่ 3MP รองรับ autofocus และ LED lighting
  • แบตเตอร์รี่อยู่ได้ประมาณ 8 ชั่วโมงและถอดเปลี่ยนได้
  • รองรับทั้ง WiFi, Bluetooth 4.0 และมีตัวเลือกสำหรับเพิ่มเติม 3G ให้ด้วย
  • การเชื่อมต่อนั้นมีทั้ง 24-pin Port Replicator Connector, Full size USB 3.0, HDMI และหูฟัง
  • มีชุดโมดูลสำหรับเพิ่มเติมการเชื่อมต่อได้โดยสามารถใช้ micro SDXC, USB 2.0, LAN port, Serial port หรือ GPS
  • น้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม

G1_standard_front

โดยจากการได้ทดสอบภายในงาน นั้นน้ำหนักค่อนข้างหนักวัสดุตามขอบของตัวเครื่องนั้นคล้ายๆ ยางรอบตัว ปุ่มกดต่างๆ นั้นซิลป้องกันน้ำและฝุ่นมาแน่นหนาดี และช่องเชื่อมต่อนั้นมีที่ปิดป้องกันไว้เช่นกัน

ในด้านความเร็วในการตอบสนองของการทำงานนั้น จากที่ได้ลองใช้ก็ทำงานได้ไม่แตกต่างจากตัวเครื่องโน๊ตบุ๊คโดยทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่แน่นอนว่าข้อเสียของแท็ตเล็ตรุ่นนี้ก็คือขนาดตัวเครื่อง ความหนา และความหนักที่อาจจะน้องๆ โน๊ตบุ๊คเลยทีเดียว

(ผมไม่ได้ถ่ายรูปสินค้าตัวจริงของ FZ-G1 มา มีเพียงวิดีโอสาธิตการตกกระแทกและการป้องกันน้ำมาให้ชมกัน)

Panasonic Toughpad FZ-G1 – test

Panasonic Toughbook CF-C2 มาในรูปลักษณ์แบบโน๊ตบุ๊คกึ่งแท็บเล็ตออกแบบมาให้รองรับสภาพแวดล้อมสุดโหดที่ออกแบบที่เอาข้อดีจากรุ่นพี่ Toughbook CF-19 รุ่นก่อนมาใส่

c2_front_open_01

Panasonic Toughbook CF-19 รุ่นก่อน
WP_20130404_061 WP_20130404_063
WP_20130404_074 WP_20130404_076

สำหรับเจ้า Toughbook CF-C2 นั้นได้รับการออกแบบให้ดูดีมากขึ้น และใช้วัสดุนั้นใช้อัลลูมิเนียมเยอะกว่าเดิมมากขึ้น

c2_front_close_monitor

  • ตัวเครื่องมาพร้อมกับ CPU ของ Intel Core i5-3427U 1.8GHz (Intel HD Graphics 4000)  พร้อมหน่วยความจำขนาด 4GB และใส่เพิ่มได้อีกเป็น 8GB เหมือนโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไป
  • ใช้ Windows 8 Pro 64-bit ทำงานบน HDD ขนาด 320GB หรือจะใช้ SSD ขนาด 128GB หรือ 256GB ก็ได้เช่นกัน
  • หน้าจอสัมผัส Capacitive ขนาดหน้าจอ 12.5 นิ้ว Resolution ที่ 1366×768 pixel รองรับ multitouch จำนวน 5 จุด
  • รองรับทั้ง Gigabit Ethernet, WiFi, Bluetooth 4.0 และมีตัวเลือกสำหรับเพิ่มเติม 3G ให้ด้วย
  • มี port USB 3.0/2.0 มาให้ในตัว พร้อม VGA port, HDMI, เพิ่มเติม Serial port (RS232C) แทน VGA port ได้
  • น้ำหนักประมาณ 1.81 กิโลกรัม

c2_front_open_02 c2_front_right_model_w_digitizer
หลังจากได้ทดสอบจับในงานนั้น (ผมไม่ได้ถ่ายรูปเครื่องมา) ตัวเครื่องนั้นให้ความรู้สึกแข็งแรงกว่าเจ้า Toughbook CF-19 ซึ่งคงเพราะการออกแบบที่ใช้อลูมิเนียมที่เยอะชิ้นกว่า แต่การป้องกันในช่องเชื่อมต่อต่างๆ นั้นอาจจะไม่เท่ากับรุ่นพี่ เพราะเป็นรุ่น Semi Rugge นั้นเอง

ส่วนที่ค่อนข้างชอบคือการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นทำได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องปิดเครื่อง เพราะเครื่องนั้นจะมีแบตเตอรี่มาให้ 2 ชุดโดยระหว่างเปลี่ยแบตเตอรี่ชุดแรก ชุดที่สองจะทำงานต่อเนื่องให้เราทันที ทำให้เราสามารถทำงานต่อเนื่องได้เรื่อยๆ ระหว่างสลับแบตเตอรี่

แน่นอนว่าส่วนที่อาจจะทำให้หลายๆ คนไม่ชอบคือความหนาของตัวเครื่องที่ค่อนข้างหนาเลยทีเดียว แต่ก็แลกกับความแข็งแรงที่ให้มาอย่างมากเลย

สำหรับตัวคีย์บอร์ดนั้นเป็นแบบ Spill resistant คือมีช่องระบายน้ำออกมาแทนการป้องกันน้ำเข้าเครื่องแทน เพราะเป็นรุ่น Semi Rugge นั้นเอง

ในด้านความเร็วและการใช้งานโดยทั่วไปนั้นตอบสนองได้ดีไม่แพ้โน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไป สำหรับการพิมพ์บนตัวคีย์บอร์ดนั้นอาจจะยากสำหรับคนที่นิ้วใหญ่สักหน่อย (แบบผม) เพราะปุ่มกดนั้นไม่ใหญ่มากนักและการจัดเรียงตัวคีย์บอร์ดชิดกันพอสมควร อาจจะต้องใช้การปรับตัวกันพอสมควร

Panasonic Toughbook CF-AX2 รูปลักษณ์อัลตร้าบุ๊คกึ่งแท็บเล็ตที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกึ่งสมบุกสมบัน เป็นการออกแบบตัวเครื่องแนว Flip-Over ที่จอภาพสามารถหมุนได้ 360 องศากลับมาอีกด้านหนึ่งเพื่อใช้เป็นแท็บเล็ตได้

ax_front

ตัวเครื่องนั้นออกแบบมาแตกต่างจากรุ่นพี่ โดยใช้การออกแบบว่า Business ruggedized ซึ่งไม่ใช่การออกแบบที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมโหดๆ แต่เน้นรองรับการใช้งานในภาคธุรกิจที่ต้องเคลื่อนย้ายไป-มาได้สบายๆ โดยมุ่งเน้นความทนทานที่มากกว่าโน๊ตบุ๊คในตลาดโดยทั่วไป แล้วด้วยคุณสมบัติแบบอัลตร้าบุ๊คทำให้มันเบาและบางกว่ารุ่นพี่ที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่างมากเลยทีเดียว

ตัวเครื่องมาพร้อมกับ CPU จาก Intel Core i5-347U 1.8GHz (Intel HD Graphics 4000)  พร้อมหน่วยความจำขนาด 4GB เพิ่มเติมไม่ได้

ติดตั้ง Windows 8 Pro 64-bit บน SSD ขนาด 128GB

WP_20130404_103 WP_20130404_104WP_20130404_106 WP_20130404_100

การออกแบบในส่วนของบริเวณคีย์บอร์ดนั้นจัดวางได้ค่อนข้างดี แต่จำนวนปุ่มนั้นมีเพียง 85 ปุ่มและลดทอนไปใช้ short-key ตัวอื่นๆ แทน โดยสัมผัสการพิมพ์นั้นค่อนข้างดี แต่ตัวปุ่มบนคีย์บอร์ดนั้นจะเล็กและพิมพ์ได้ค่อนข้างยากสำหรับคนที่นิ้วใหญ่ๆ สักหน่อย 

มีกล้องหน้าขนาด HD 720p มาให้สำหรับใช้ Webcam

WP_20130404_083 WP_20130404_091WP_20130404_098 WP_20130404_099

สำหรับการเชื่อมต่อต่างๆ นั้นมีมาให้ค่อนข้างครบทั้ง USB 3.0, VGA port, HDMI, ช่องเสียบไมค์และหูฟัง, SD/SDXC Slot

การเชื่อมต่อเครือข่ายนั้นมีทั้ง Gigabit Ethernet, WiFi, Bluetooth 4.0 และเพิ่มเติม 3G module ได้

สำหรับแบตเตอรี่นั้นมีมาให้ 2 ชุดโดยชุดแบบเปลี่ยนไม่ได้ซึ่งติดตั้งภายในเครื่องและชุดที่เปลี่ยนได้เอง โดยเหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะต้องการให้สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ตัวหลักได้โดยไม่ต้องปิดเครื่องระหว่างที่เปลี่ยนแบตเตอรี่

WP_20130404_116 WP_20130404_117

ในด้านของจอภาพนั้น เป็นจอภาพสัมผัสแบบ capacitive รองรับ multitouch จำนวน 10 จุด ขนาด 11.6” ที่ resolution ขนาด 1366×768 pixel

WP_20130404_119

ในด้านความแข็งแรงนั้น ผ่านการทดสอบตกกระทบพื้นแบบอิสระ (Free-fall) กว่า 76cm และรองรับแรงกดทับได้ถึง 100kg เลยทีเดียว (ดูตัวอย่างการขึ้นไปยืนบนตัวเครื่องจากรูปด้านล่าง) และคุณซาโตชิ มิโซบาตะ ผู้อำนวยการ พานาโซนิค ทัฟบุ๊ค เอเชีย แปซิฟิก กรุ๊ป ได้เอากลับขึ้นมาเล่นต่อให้ชมกันว่ายังทำงานได้อย่างสบายๆ

WP_20130404_108

WP_20130404_114

สำหรับตัว Panasonic Toughbook และ Toughpad ทั้งสามรุ่นนี้พร้อมจำหน่ายในประเทศไทยแล้วโดยมุ่งไปที่ขายในตลาดองค์กรเป็นหลัก และยังไม่มีจำหน่ายสำหรับบุคคลทั่วไปในตอนนี้แต่อย่างใด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ www.panasonictoughbook.asia ส่วนราคานั้นยังไม่มีเปิดตัวราคาอย่างแน่ชัด ใครที่จะเสนอองค์กรให้นำ Panasonic Toughbook และ Toughpad สามารถขอราคาได้โดยตรงจากทาง Panasonic ได้จากเว็บไซต์ข้างต้น