แก้ไข “call_user_func_array() expects parameter 1 to be a valid callback, non-static method XXX:init() should not be called statically” ใน plugin “Jetpack for WordPress”

จากปัญหา

The following errors were reported: call_user_func_array() expects parameter 1 to be a valid callback, non-static method xxx::init() should not be called statically

ใน plugin “Jetpack for WordPress” ซึ่งเกิดจากการเขียนโค้ดไม่ตรงกับ Strict standards ใน PHP ที่อยู่ๆ ก็มีการเขียนไป call ตัว static method ใน method ที่ไม่ใช่ static ทำให้เกิดข้อผิดพลาดดังกล่าว

ปัญหานี้จะเกิดกับ Class ของ module ใน plugins “Jetpack for WordPress” ทั้งหมด 4 ตัว (ณ ตอนนี้ที่ไล่หาดู) โดยมี Class ดังต่อไปนี้

  • Jetpack_Notifications
  • Jetpack_Post_By_Email
  • Jetpack_Subscriptions
  • Jetpack_Likes

การแก้ไขก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน (ถ้าเข้าใจ)

โดยเพิ่ม “public static” ไปหน้า function &init() ให้เป็น public static function &init() ในไฟล์ subscriptions.php, post-by-email.php, notes.php และ likes.php ซึ่งอยู่ใน wp-content/plugins/jetpack/modules

เพียงแค่นี้ก็จบปัญหาครับ

บอลมันเล่นเป็นทีม

บางครั้งนักเตะที่ดี คงไม่ใช่เราไปคาดหวังว่าเขาจะต้องเลี้ยงเดี่ยวเข้าหาคู่แข่งแล้ว เลี้ยงหลบคู่แข่งทั้งทีมไปกว่า 2 รอบ แล้วเข้าไปหลอกโกลต่อให้หลังหักอีก 2 รอบ เสร็จแล้วค่อยวนกลับมายิงไกล ถึงจะเรียกว่าเล่นดี ><" คือบอลมันเล่นเป็นทีม แค่ทุกครั้งที่จับบอล แล้วทำประโยชน์ให้กับทีมได้ตลอด ผมก็ถือว่าเล่นดีได้เหมือนกัน

“ขวดน้ำทิพย์” รักษ์โลกหรือรักษ์บริษัทผู้ผลิต?

ส่วนตัวนั้นการเปิดขวดน้ำทิพย์ต้องใช้สมาธิอย่างสูงมากก่อนลงน้ำหนักบีดขวดเปิด เพราะต้องเปิดให้ได้ภายในครั้งเดียว คือต้องลงน้ำหนักในการบิดให้หนักแน่น ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่งั้นการเปิดครั้งต่อไปอาจหมายถึงน้ำทั้งขวดจะไหลหรือสาดเข้าตัวทั้งขวด ซึ่งน้ำจะออกมาตามแรงบิดที่ปราศจากการดันขวดให้พองของก๊าซที่อัดมาเพื่อให้ขวดคงตัวอยู่ได้

ด้วยความบางของขวดน้ำที่บางกว่านี้อีกนิดหน่อยก็เกือบเท่าถุงร้อนใส่แกงตามตลาดทำให้ดื่มน้ำไปได้สักครึ่งขวดหรือมีลมพัดแรงๆ หน่อย ตัวขวดนั้นพร้อมที่จะพยุงตัวไม่อยู่แล้วล้มลงมาทำน้ำหกใส่ได้ทันทีเช่นกัน และความบางของขวดน้ำพร้อมที่จะแตกได้ในกระเป๋าเวลาพกพาเมื่อเปิดขวดไปแล้วในครั้งแรกเช่นกัน เพราะขวดน้ำดังกล่าวมันเคยแตกในกระเป๋าผมมาแล้ว ซึ่งดีที่ในกระเป๋ามีแต่หนังสือไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้ช็อตใดๆ เลยรอดพ้นหายนะไปได้

จากปัญหาที่บอกๆ ไป มันทำให้ผมไม่เข้าใจว่า การคิดว่าขวดน้ำที่เปิดขวดขึ้นมาเพื่อดื่มน้ำแล้วใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเนี่ยมันดียังไง คือคนทำไม่คิดว่าฝามันจะเปิดไม่ได้ในครั้งแรกบ้างเหรอ แล้วเปิดครั้งต่อไปจะมีปัญหาต่อมาหรือไม่ หรือคนซื้อเค้าอยากปิดฝาแล้วดื่มครั้งต่อไปเพื่อใช้สำหรับเป็นเครื่องดื่มระหว่างการเดินทางบ้างเหรอ

ส่วนตัวผมแล้วผมว่ามันสร้างขยะมากกว่าเดิมอีก เพราะขวดไม่สามารถให้คนซื้อนำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยไม่ผ่านขั้นตอนการผลิตในอุตสาหกรรม ซึ่งขวดน้ำทิพย์ที่บางลง 35% นั้นหมายถึงต้นทุนที่น้อยลง 35% ของขวดพลาสติก แต่ราคาไม่ได้ลดลง ซึ่งยังคงราคาเท่าเดิมซึ่งเมื่อเทียบกับราคาน้ำดื่มขวดข้างๆ ที่มีความหนาของขวดปรกติ สามารถใช้งานและนำกลับมาใช้ได้เป็นอย่างดี มันกลับทำให้น้ำทิพย์ดูแพงไปในทันที แถมขวดน้ำทิพย์ยังให้ปริมาณที่น้อยกว่าบางยี่ห้อด้วย!

ที่น่าสนใจคือ จริงๆ แล้วการบอกว่าเนื้อพลาสติกที่ลดลง “รักษ์โลก” แต่เนื้อแท้ของสาระหลังจากได้สัมผัส เป็นแค่คำโฆษณาที่แอบแฝงด้วยการช่วยบริษัทในการลดต้นทุนเรื่องขวดน้ำมากกว่าหรือเปล่า?

ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง “น้ำทิพย์” ขวดบางๆ แบบนี้จะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ซื้อครับ

WP_20130424_013

เอารูปจากกล้องมือถือไปพิมพ์ลงกระดาษขนาดจัมโบ้ (4 x 6 นิ้ว) ต้องใช้ไฟล์ขนาดกี่ MP?

เจอคำถามว่า “เอารูปจากกล้องมือถือไปพิมพ์ลงกระดาษขนาดจัมโบ้ (4 x 6 นิ้ว) ต้องใช้ไฟล์ขนาดกี่ MP?”

คิดง่ายๆ ครับ

ปรกติการพิมพ์ภาพใช้ความละเอียดที่ 300 dpi เสียเป็นส่วนใหญ่ (คิดง่ายๆ ก่อน มันมีเรื่อง viewing distance ด้วย แต่คงไม่ใช่ที่ขนาดจัมโบ้)

คิดง่ายๆ ก็คือ (4″ x 300dpi) x (6″ x 300dpi)
= 1200 pixel x 1800 pixel
= 2,160,000 pixels
หรือ 2MP โดยประมาณ

ภาพจากกล้องมือถือเอาไปพิมพ์ไฟล์ตั้งแต่ 2MP จะพิมพ์ลงกระดาษ 4×6 นิ้ว ได้สบายๆ แต่จะคมสวยเท่า compact ไหมนั้นอีกเรื่อง (ข้อจำกัดด้าน sensor, lens ฯลฯ)

แต่สมัยนี้กล้องมือถือรุ่นสูงๆ ก็ 8MP กันเป็นส่วนใหญ่ จะส่งไปไฟล์ใหญ่ๆ ก็ได้นะ เดี่ยวร้านพิมพ์เค้าจัดการ scale down/sharpen ให้เอง หรือทำเองก็ได้แล้วแต่สะดวก แต่ทำเองก็ดีอย่าง เพราะทำ scale down/sharpen แล้วรู้เลยว่ามัน sharp แรงไปหรือเปล่า

สิ่งที่คนใช้ App เถื่อนไม่มีวันเข้าใจ?

สิ่งที่คนใช้ App เถื่อนไม่มีวันเข้าใจคือ

1. เราเห็น App แพงๆ พอเห็นมันลดราคาเหลือ 0.99 เซนต์หรือไม่ก็ปล่อยโหลดฟรีปุ๊บ รีบกดซื้อแบบไม่คิค
2. App แพงๆ ที่เราอยากได้จนอดใจไม่ไหว ทำไมไม่ลดเสียที สุดท้ายกัดฟันซื้อ แล้วพอซื้อไปสักพักแม่มลดเหลือ 0.99 เซนต์ ความรู้สึกแม่มเหมือนโดนหักหลัง

มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง 55555