“Brand Loyalty” สร้างยี่ห้อ ด้วยอารมณ์ ?

นี่เป็นเรื่องที่ผมอยากบอกกล่าวคนหลาย ๆ ในเรื่องนี้มานานมาแล้วหล่ะครับ ในเรื่องของการจงรักภักดี หรือการซื่อสัตย์ ต่อยี่ห้อสินค้า หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “Brand Loyalty” นั้นเอง

จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่เก่าเก็บ หรือเรื่องที่ต้องมานั่งบอกกล่าวกันมากมายนัก แต่ที่อยากจะบอก หรือพูดในวันนี้นั้น น่าจะเป็นที่การมองคนใช้งาน หรือซื้อสินค้าโดยใช้คำว่า การซื่อสัตย์ต่อยี่ห้อ หรือ Brand Loyalty (ต่อไปขอใช้ Brand Loyalty แทนคำว่า การซื่อสัตย์ต่อยี่ห้อ หรือตัวสินค้า นะครับ) เข้ามาเป็นตัวตัดสินการซื้อแทน การตัดสินที่ความคุ้มค่าของราคาต่อประสิทธิภาพ หรือความคุ้มค่าในด้านอื่นๆ ในราคาที่ถูกกว่า

โดยมากแล้วคนที่มองเค้าที่ใช้การตัดสินใจโดย Brand Loyalty นั้น มักถูกมองเป็นคนโง่ หรือเหยื่อของนักการตลาด ใช่ไหมครับ ?

เอาหล่ะ ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดครับ แต่ว่าเรามองในมุมในการสร้าง Brand Loyalty ก่อนดีกว่า ….

การที่จะสร้าง หรือปลุกเมล็ดพันธุ์ ของชื่อยี่ห้อหรือสินค้าลงในสมองของผู้ซื้อ หรือผู้ใช่งานนั้น ให้นึกถึงทุก ๆ ครั้งที่เค้าต้องการซื้อหรือแนะนำ รวมถึงการใช้งานนั้น ยากครับ การสร้างสิ่งเหล่านี้ได้นั้น ต้องมีปัจจัยมากมาย แต่ผมขอยกตัวอย่างมาง่ายๆ และหลักๆ สัก 2 – 3 อย่างก่อน ผมไม่ขออ้างอิงหลักการทางววิชาการมองนักเพราะว่าเขียนมาด้วยความรู้สึก และการสังเกตของตนเองครับ

ในการสร้างยี่ห้ออย่างแรกนั้น ทุก ๆ ที่มักจะยึดกันอยู่แล้ว แต่ทำได้ยากมากครับนั้นคือการสร้าง “ความซื่อสัตย์” ต่อลูกค้า ให้ข้อมูลที่ถูกต้องของตัวสินค้าที่จะขายได้อย่างละเอียด เพื่อประกอบการตัดสินใจในเรื่องของการสั่งซื้อ หรือการขอรับบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะด้านเล็กหรือใหญ่ โดยไม่ออดอ้อน ต่อความผิดของตนเอง และตัวลูกค้าเองด้วย เมื่อสินค้าและบริการ เกิดความผิดพลาด ก็น้อมรับต่อความผิดพลาด และปรับปรุงแก้ไขไม่ว่าจะด้านใด ด้านหนึ่ง ซึ่งยังผลต่อมาในเรื่องของ “ความเชื่อมั่น” เมื่อลูกค้าได้รับการบริการที่ซื่อสัตย์แล้วนั้นย่อมทำให้เชื่อมั่นว่าจะได้รับการบริการที่ดียิ่ง ไม่ว่าคุณจะใส่กางกางขาก๋วย หรือขาสั้น เข้าไปรับบริการ โดยได้รับการบริการดังเช่นเดียวกับคนใส่สูธ ผูกเน็ตไทร์ เพื่อซื้อสินค้าของเค้าออกมา เมื่อความเชื่อมั่นได้ถูกปลุกขึ้น ในครั้งต่อไปเค้าจะมี “ความระลึกถึง” ต่อการซื้อสินค้า และบริการของสินค้านั้น ๆ ต่อ ๆ ไป นี่ยังไม่พอยังเป็นการสร้างโครงข่ายโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกด้วย กล่าวคือ เมื่อลูกค้านั้น ระลึกถึงตัวสินค้า หรือยี่ห้อนั้นๆ แล้ว ย่อมอยากจะแนะนำเพื่อน ๆ หรือบุคคลที่ตนเองรู้จักได้ใช้งาน หรือรับบริการที่ดีเช่นเดียวกับตนด้วย เมื่อได้รับการร้องขอ หรือสอบถามก็มักจะแนะนำยี่ห้อที่ตนเองนั้นใช้แล้วดี ใช้แล้วไม่ประสบปัญหาในการซื้อ หรือรับบริการหลังการขายย่อมแนะนำต่อ ๆ ไปเรื่อยๆ จนขยายวงกว้างมากขึ้น …..

เรื่องของ Brand Loyalty นั้นเหมือนเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวของบุคคลนั้น ๆ ด้วย บางคนอาจหมายรวม รสนิยม ความพึ่งพอใจในสินค้า และยี่ห้อด้วย ซึ่งเมื่อตัว Brand Loyalty ขยายวงมากขึ้นเกิดการรวมตัวกัน เกิดพลังในการช่วยเหลือกันเองของลูกค้า หรือความคิดรวมหมู่ในตัวสินค้านั้น ๆ แล้วมักทำให้สินค้านั้น ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก และเจ้าของสินค้านั้น ๆ เหมือนมีกำแพงกันชนระหว่างผู้ใช้กับตัวยี่ห้อสินค้านั้น ๆ คือตัวผู้ใช้ที่มี Brand Loyalty อยู่ในใจอยู่แล้ว ทำให้มีการแนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาในการผู้ใช้หน้าใหม่ ๆ โดยบุคคลที่เข้ามาแก้ไขปัญหานั้นๆ ไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัท หรือเจ้าของสินค้านั้น ๆ แต่ประการใด แต่เข้ามาช่วยเหลือเหล่าคนที่ใช้ หรือมีรสนิยมเดียวกันให้สามารถผ่านพ้นปัญหาของส่วนต่างๆ ของตัวสินค้าและบริการนั้น ๆ

ซึ่งเมื่อเกิด Brand Loyalty หรือกลุ่มคนที่มีใจต่อยี่ห้อมาก ๆ แล้วเนี่ยสิ่งที่ตามมาคือสร้างคุณค่า ให้คงอยู่กับสินค้านั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่าสินค้านั้น ๆ จะราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น รวมถึงมีบริการต่าง ๆ ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ และอาจจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ด้วย เพื่อมัดใจ มัดความรู้สึกต่อสินค้าเอาไว้ อีกอย่างคือเมื่อสินค้าราคาสูงขึ้นแล้ว คุณภาพต้องดี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ผลิตก็มักจะทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดผลเสีย หรือเกิดประวัติที่ไม่ดีต่อสินค้าหรือยี่ห้อของตนเองด้วย ทำให้ขั้นตอนการผลิตมีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่ดี และเข้มงวดมากขึ้น ทำให้สินค้าเหล่านั้นมีราคาที่สูง กว่าสินค้าอื่นๆ พอสมควร ก็มักจะถูกคนที่ใช้สินค้าราคาที่ต่ำกว่า และมีคุณสมบัติต่างๆ ที่ดีกว่า นั้นดูถูกว่า “โง่” หรือมักคิดแต่เพียงว่าตนเองซื้อมาเพียงแค่อวด เพื่อความโก้หรู่เพียงเท่านั้น แต่คนเหล่านั้นกลับไม่มองในมุมกลับว่า ทำไมเค้าเหล่านั้นก็ซื้อสินค้าที่ราคาต่ำกว่าด้วยเหตุผลกลไกที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก

ผมอยากให้มองต่ออีกนิด การที่เราจะมองอะไรเพียงเพราะเค้าแตกต่างจากเรา เค้าเหล่านั้นคิดไม่เหมือนเรา หรือค้าส่วนใหญ่ที่คิดกัน ไม่ได้หมายความว่าเค้าเหล่านั้นทำตัวแแปลกแยก หรือแตกต่างจากเรา เพียงแต่มาตรฐานในการมองสิ่งต่าง ๆ ของเราและ เข้าเหล่านั้น แตกต่างกันตามเหตุผล และปัจจัยร่วมต่าง ๆ มากมายด้วย

คนทุกคนมี Brand Loyalty ในตัวทุกคน ลองนึกๆ ดูว่าคุณอยากได้อะไรมาใช้งาน หรือบริการที่คุณอยากได้บ้าง ถ้าคุณคิดถึงยี่ห้อนั้น ๆ ก่อนตัวอื่น ๆ แล้วนั้นหมายความว่าคุณก็ยึดมั่นในยี่ห้อนั้น ๆ เพราะคุณคิด หรือนึกถึงได้ก่อนนั้นเอง

ลองคิดดูว่า ทำไม เรา ๆ ท่าน ๆ ส่วนใหญ่แล้วคิดกันว่ารถยนต์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ถ้าอยากได้ดี ๆ คงทน ต้อง Benz ทำไมต้อง BMW ทำไมต้อง Volvo ถ้าคุณหาเหตุผลไม่ได้ และหรือตอบคำถามเพื่อได้มาซึ่งเหตุผลนั้น ไม่ได้แล้ว นั้นก็หมายถึงคุณยึดติดแล้วไปในตัวเองว่าคุณก็มี Brand Loyalty ในตัวเอง เช่นกันถ้าในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ก่อนจะซื้อ คนส่วนใหญ่ หรือแม้แต่คุณก็มักจะมอง Intel InSide ก่อนเสมอ ๆ และเปรียบเทียบราคา ต่าง ๆ ตามมาทีหลัง บางครั้งซื้อของก็เอาอารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มากกว่า 80% ด้วยซ้ำไปครับ ทีเป็นกันแบบนี้

ปิดท้ายนิดนึง ผมเพิ่งซื้อ iPod Shuffle มาจริง ๆ แล้วใน Catalog สินค้าในร้านที่ผมไปซื้อมี MP3 Player มากมาย หลากหลายยี่ห้อ นับไม่ถ้วน แต่ไม่มี iPod ทุกรุ่นอยู่ในนั้น แต่ผมสั่ง iPod Shuffle กับทางร้านแทน (อยู่ต่างจังหวัดครับ ไร้ซึ่งเวลาที่จะมาซื้อที่กรุงเทพฯ) ทั้ง ๆ ที่ไม่มี และทางร้านก็ใจดีสั่งให้โดยผมกับทางร้านตกลงกันว่าผมจะออกค่าขนส่ง และบวกกำไรค่าติดต่ออีกสักเล็กน้อย ผมก็ยอม

– ทำไมหล่ะ ?
– MP3 Player มีให้เลือกมากมาย แถมบางตัว Option เยอะแยะ มากกว่า iPod Shuffle มากนัก ทำไมผมไม่เลือก ?
– บางตัวราคาถูกกว่า Option เยอะกว่า ทำไมไม่เลือก ?

ผมจะบอกเหตุผลที่อาจดูงี้เง้าที่สุดสำหรับใครบางคนได้รับรู้

ผมชอบ iPod เพราะดูแล้วมันแตกต่างจากสินค้าตัวอื่น ๆ ในตลาด มันคือเครื่องเล่นเพลงแบบที่ผมชอบ ผมไม่อยากมานั่งดูจอภาพ ผมไม่อยากมานั่งเล่นลูกเล่นต่าง ๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะได้ใช้มันหรือเปล่า ขนาดผมมี CD-WalkMan ของ Sony ที่มีจอแสดงผลที่ดี ผมยังไม่ค่อยได้มองเท่าไหร่เลยส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ Play/Stop/Next Track/Previous Track เสียมากกว่า แล้วก็ฟังไปเรื่อยๆ ตาม Playlist ที่ผมจัดและ Burn ลง CD-RW แต่มันช้าและไม่ยืดหยุ่นเท่าไหร่ รวมถึงขนาดที่ใหญ่มาก ๆ เลยไม่ใช้หาตัวที่เล็ก และดูดีเสียดีกว่า เนอะ !!! แต่ iPod mini หรือ iPod 4G มันมีจอ อันนี้ผมคงต้องขอพูดสักนิดว่า ถ้าความจุของเพลงเพิ่มมากขึ้นการจะบันทึกสิ่งใดๆ ก็ตามควรที่จะจัดหมวดหมู่ไว้ ถ้าไม่จัดมันจะกลายเป็นว่ารก และค้นหายาก ซึ่งข้อมูลขนาด 4GB หรือมากว่า 1 GB ขึ้นไปนี่เริ่มๆ หายากแล้ว การมีจอภาพก็ไม่ถือว่าผิด แต่ผมในตอนนี้คงไม่ใช้ หรือตรงใจผมเท่าไหร่ จนกว่าผมจะมองจอภาพบนเครื่องเล่น Mp3 Player มากมายจอคอมฯ อ้าวซะงั้น !!! Brand เดียวกันเหตุผลตีกันเอง หุๆๆ

คำว่า Apple, Mac หรือ iPod มันเป็นยี่ห้อ ที่ดูดี ใช้ของมีระดับ ในสายตาคนไทยส่วนใหญ่ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือมันคือ Apple ผู้คิดแตกต่างจากคนอื่น
ต่อมาก็คือผมไม่ชอบซื้ออะไรเผื่อ และอะไรที่มัน All-in-one มากนัก มันดูไม่ดี และพอไม่ได้ใช้ตอนเราปลดระวางมัน มันเสียดายความสามารถ และเสียดายเงินที่เราเสียไปกับสิ่งที่เราไม่ได้ใช้ มันเหมือนคนที่ใช้ของไม่เต็มประสิทธิภาพ เหมือนๆ กับที่ผมซื้อ SE-T630 แทนที่จะซื้อ Nokia 6600 มาใช้แทน ทั้งๆ ที่ Nokia มีความสามารถมากกว่าเป็น Smart Phone และสามารถจัดการระบบในโทรศัพท์ได้ดีกว่ามาก ๆ แถมเพิ่มหน่วยความจำ รวมความสามารถของการฟังเพลงไปได้อีกด้วย แต่ผมไม่เลือก เพราะมันเผื่อมากเกินไป และอย่างที่บอกในตอนแรก All-in-one มันดูดีนะ แต่ ….. มันดีจริงหรือ การเอาทุกอย่างมารวมกันเราลืมไปหรือเปล่าว่าอุปกรณ์ที่เราถืออยู่มันมีหน้าที่ทำอะไร เราลืมแก่นของมันไปหรือเปล่า แล้วเราได้ใช้พวกที่มันอยู่ในสิ่งที่เรียกกว่า All-in-one ได้

My iPod Shuffle

วันนี้ได้ iPod Suhffle มาแล้ว หลังจากเก็บสะสมเงินมานาน ซื้อมาในความจุ 512MB ที่ซื้อมาแค่นี้เพราะว่ามี KingMax FlashDrive 256MB อยู่แล้ว ก็เก็บข้อมูลได้เพียงพออยู่ เลยเอามาใช้เพียงเท่านี้พอ จริงๆ 512MB สำหรับผมในการเก็บเพลงก็ถือว่าเยอะมาก เพราะว่าก่อนหน้านี้ใช้ Sony CD-WalkMan ที่เก่าแก่มานานเกือบๆ 2 ปีได้ ซึ่งเจ้าตัว Cd-WalkMan มันอ่าน CD-R/RW ได้เลยชินๆ กับการเอาเพลงเข้าออกจากเครื่องคอมฯ อยู่แล้ว เลยไม่ค่อยคิดมากเท่าไหร่

จากที่ได้อ่านคู่มือแล้วก็ค่อยข้างละเอียดดีมาก ทีเดียว ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษ ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม หุๆๆ ทำการชาร์จ และทำการ Register เจ้า iPod ตัวนี้เรียบร้อย ก็ทำการตั้งค่า และใส่เพลงลงไป โดย Enable disk use ไว้สัก 33MB เผื่อต้องใส่ไฟล์อะไรฉุกเฉิน บ้างบางครั้ง แต่ก็มีพื้นที่เหลือพอในการใส่เพลงได้อีกประมาณ 98 – 100 เพลง แค่นี้ก็ฟังกันอ่วมแล้ว ก็กะๆ ว่าประมาณ 5 – 6 ชั่วโมง น่ะครับ

หลังจากทดสอบและ ฟังก็ถือว่าเสียงของลำโพงที่ยังไม่ได้ผ่านการ Burn-in ก็ใช้ได้ดีทีเดียวเสียงนี่ผมว่าหูฟังชั้นดีหลายๆ ยี่ห้อยังอายเลยครับ

ส่วนการใช้งานนั้น ถือว่าง่าย ผมแทบไม่ต้องอ่านจากคู่มือก็ใช้งานเป็นได้ไม่ยากครับ ส่วนการทิป และเทคนิค ในการใช้ก็ต้องลองอ่านๆ ดูก็พบว่ามีบางส่วนที่เป็นเสริมเพิ่มประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดีครับ

ส่วน Shuffle หรือการสุ่มเพลงออกมาเล่นนั้นผมถือว่าเป็น Idea ที่ดีครับ จริงๆ ผมชินกับการ Shuffle อยู่แล้วเลยแทบไม่ต้องปรับตัวมากนักครับ สบายๆ เลยหล่ะ

ส่วนในด้านตัวปุ่มปรับระดับเสียงนั้น จะว่าใช้งานยากก็ไม่ใช่ หรือว่าจะง่ายก็ไม่เชิงครับ ถือว่า ok แล้วกันในความคิดของผมครับ คือมันชิดกันปุ่ม Play/Puase และปุ่ม Next/Previous Track เลยกดพลาดไปหลายครั้ง แต่การรวมศูนย์การควบคุมเป็น Idea ที่ดีครับ แต่มันพลาดนี่ดิ ผมคงต้องปรับตัวอีกสักนิด -_-”

ในด้านอื่นๆ ในการใช้งานทั่วๆ ไปก็ในขั้นดี จริงๆ ไม่มีจอ หรือมีจอ ไม่ตางกันมากเท่าไหร่ครับ ในความคิดเห็นของผมเนี่ย ผมลองใช้เครื่องเล่น MP3 มาหลายเครื่อง เนี่ยไม่ค่อยได้เลือกเพลงเท่าไหร่ เพราะว่ามันเล็ก และมันคงไม่ได้เลือกได้สะดวกเท่าในเครื่องคอมฯ เท่าไหร่ และการทำตัวเครื่องให้เล็ก และถ้ายัดใส่ จอ LCD ลงไปมันทำให้ตัวเครื่องนั้นใหญ่ และหนักมากขึ้น แล้วยิ่งเป็น Flash Drive Memory แล้วนี่ มันแทบจะไม่จำเป็นเลย เพราะคนส่วนใหญ่ก็ใช้แต่ Next/Previous Track, Play/Pause และ ปุ่มปรับระดับเสียงซะมากกว่า (หรือว่าไม่จริง) นี่คือข้อสังเกตุครับผม

ไปดีกว่าไปสนุกต่อหล่ะครับ ………….

จะซื้อคอมฯ ทั้งทีตอบคำถามนี้ก่อนซื้อครับ

หลักส่วนใหญ่ที่ถามก็มี 3 ข้อ คือ

1. ซื้อไปใช้งาน หรือทำอะไร บ้าง ?
    นี่เป็นสิ่งที่ผมถามคนที่มาถาม spec คอมฯ ผมทุกคน ก่อนเสมอครับ แล้วส่วนใหญ่จะตอบกันไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้ศึกษามาก่อน หรือประมาณว่าอยากซื้อมาใช้เลย เหมือนกับไปซื้อข้าวแกง เห็นๆ ว่าอร่อยก็ซื้อมาเลย ไม่สนใจว่ามันจะสะอาด หรืออร่อยหรือเปล่า ดูแค่มันสีสัน กลินที่ ok ก็ซื้อเหมือนกับ เรื่องนี้ที่โฆษณามาก่อน ดูดี ลงหนังสือดัง แล้วก็ตัดสินใจเลย ไม่ได้ศึกษาว่ามีข้อดีข้อเสียในด้านใดบ้าง แล้วคำตอบส่วนใหญ่ก็คือ "ก็เอาที่มันใช้งานได้ดีๆ แล้วอยู่นานๆ ไม่ตกรุ่น" ซึ่งผมก็ปวดหัวและ ตอบกลับไปว่า ไอ้ไม่ตกรุ่นไม่มีครับ บอกไปเลยว่า ยกจากร้านก็ตกรุ่นและ ราคาตกไปเกือบครึ่งแล้ว ซึ่งก็เป็นไม่ว่าจะ Desktop, Laptop หรือ Server ผมอยากจะบอกแบบนี้ว่า งานแต่ละอย่างนั้น spec ในแต่ละแบบนั้นไม่ได้ตอบสนองงาน หรือสิ่งที่ทำได้ทุกๆ อย่างเสมอไปครับ ผมว่าควรดูงานที่คุณเอาไปใช้งานก่อนเสมอครับ แต่พวกดูหนัง/ฟังเพลงนี่ ในปัจจุบันมันทำได้อยู่แล้วครับไม่ต้องมาถามครับ spec ICT เครื่องละหมื่นก็ดูหนัง/ฟังเพลง ได้ครับ

2. ซื้อเผื่ออนาคตมากไหม ?
    นี่เป็นสิ่งที่ผมจะถามและ บอกเพื่อนๆ พี่ๆ หรือคนที่มาถามผมตลอด ซื้อเผื่อแล้วไม่ได้ใช้เสียดายเงินครับ บางคนแย้งว่าก็อาจจะได้ใช้ นี่ผมแนะนำไปส่วนใหญ่ไอ้เผื่อๆ ได้ใช้กัน 10 % ของคนที่มาถามทั้งนั้น ส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้กันหรอก เสียดายเงินครับ แล้วเรื่องจะ upgrade ไม่ต้องคิดครับ เดี่ยวนี้เปลี่ยนรุ่น CPU ทีเปลี่ยน m/b ทีครับ เลิกหวังจะ upgrade ได้สูงๆ ได้เลย หรือบางครั้ง upgrade กับซื้อใหม่ยกชุดราคาๆ พอๆ กันครับ ในปัจจุบันอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไอทีนั้นส่วนใหญ่อยู่ที่ 3 ปีเสียส่วนมากครับ ใช้เต็มที่ก็ 5 – 6 ปีครับ (ถ้าทนใช้ได้นะ)

3. spec ที่ใส่ลงไปในการซื้อ
    ผมอยากให้ระบุชัดๆ ก่อนว่าไปใช้ทำงานอะไรในข้อที่ 1 ครับ แล้วจะเผื่ออะไรบางในบางส่วน ดังข้อที่ 2 ครับ เช่นพวก RAM หรือ Hard Drive ก็พอครับ ส่วนพวก VGA Card หรือ CPU อะไรพวกนี้ก็ตามกำลังที่จะซื้อดีกว่าครับ บางคนซื้อมาพิมพ์งาน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งไม่ต้องใช้ความสามารถมากก็เอาแค่ Intel Celeron หรือ AMD Sempron ก็พอครับ ผมว่าเร็วพอแล้ว บางครั้งขนาดเล่นเกมส์ก็ยังพอเลย แต่ส่วนใหญ่ยัด Intel Pentium 4 หรือ  AMD Athlon XP ให้แพงเข้าไปเหอะ แต่ไม่ได้ใช้ความสามารถของมันมากเท่าไหร่นัก เสียดายเงินครับ แถมเสียดุลการค้าเข้าไปอีก นี่ยกตัวอย่างแค่ CPU ครับ ส่วนอื่นก็คงตัดสินใจหาข้อมูลดูนะครับ (ส่วนถ้ามีเงินซื้อก็ตามใจครับไม่ว่ากัน)

    ทิ้งท้ายไว้ครับ เรื่องที่ซื้อกันมาแต่ง หรือทำให้เครื่องแรงด้วยการ OverClock ผมไม่ได้ต่อต้าน หรือสนับสนุน นะครับ แต่นี่เป็นสิ่งที่อยากให้พินิจพิเคราะห์ว่า คนบางคน หรือบางกลุ่มนั้นมาแต่งครับ หวังแรง หวังแข่งประชันกัน เหมือนคนซื้อรถครับ แล้วเอามาแต่งความแรงแข่งกัน เดี่ยวนี้พวกอุปกรณ์ไอที ก็เป็นแบบนั้นแทบไม่ต่างกันแล้วครับ ซื้อหวังแข่งความไฮเทค แล้วมาทดสอบความแรง ความเร็วจากโปรแกรม Benchmark กันครับ ผมเสียดายประสิทธิภาพที่ซื้อมาแต่เอาทำคุณประโยชน์เพียงน้อยนิดครับ แต่บางคนแต่งให้สวยงามแล้ว ยังเอามาทำงาน ทำมาหากินด้วยนี่ น่ายกย่องครับ แต่ถ้าซื้อมาประชัดขันต่อกันเพียงเพื่อความซะใจอย่างเดียวนี่ผมก็ไม่สนับสนุนครับ อยากให้ซื้อ spec ที่คุณคิดว่าเหมาะสม และทำงานได้กับคุณในราคาที่เหมาะสมดีกว่าครับ เงินทองยิ่งหายากๆ อยู่ครับผม

ซื้อให้เหมาะสมกับตัวเอง และงานที่ทำครับ มองที่ประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่า ภาพลักษณ์ของตัวเองครับ ค่าของเครื่องมือจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับคนใช้ครับว่าจะใช้มันสร้างผลงานได้ดีเพียงใดครับ เหมือนกับจอมยุทธมีกระบี่ดี แต่เพลงกระบี่ และฝีมือปลายแถว ก็ไม่ต่างจากคนมีอุปกรณ์ไอที ดีๆ รุ่นใหม่ๆ แต่ใช้ไม่เป็นครับ

แต่ผมก็คงวิภาควิจารณ์มากไม่ได้ครับ เพราะบางคนซื้อเพราะความสุขทางใจ จริงแมะ ;-)

ด้านล่างนี่ผมเจอในเว็บบอร์ดดังแห่งหนึ่งครับ กล่าวไว้ได้น่าสนใจดีมากครับว่า

"เทคโนโลยีก็เหมือนศาสนาถ้าใครไม่เชื่อก็จะถูกหาว่านอกรีต intel กับ AMD ก็เหมือน 2 นิกายใหญ่ที่ ผู้นับถือแต่ละสำนักก็ออกมาเชียร์ว่าอาจารย์/สำนักตนดีกว่า (ค่ายอื่นก็เหมือนนับถือผีมั้ง^^) การซื้อ Computer ทุกวันนี้จึงใกล้เคียงกับการซื้อวัตถุมงคลเข้าไปทุกที CPU ต้องทนร้อน ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อีกหน่อยคงต้องไปหาเหล็กไหลมาทำ RAM ต้องดูรุ่นดูค่าย เช่นเดียวกันต้องทนร้อน ดูใครเป็นคนนำบูชาบริษัทอะไรทำ เนื้ออะไร รหัสอะไร เดี๋ยวนี้ต้องบูชาพร้อมกันเป็นคู่ เดี๋ยวจะไม่ขลังหากบูชาไม่พร้อมกันจะทำให้พลานุภาพลดลงได้ การ์ดจอต้องเร็ว ดูว่าเปิดท่อได้เท่าไหร่ เหมือนกับจะนำไปแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ยิงฟันไม่เข้า การที่จะนำวัตถุมงคลทั้งหลายนั้นมารวมกันเป็นชุดต้องระวังว่าจะขัดกันหรือไม่เพราะเดี๋ยวจะเป็นขึด จะนำมารวมกันเฉยๆนั้นไม่ได้ต้อง อาศัยหลวงพี่ enermax ในการเสริมความขลัง อีกหน่อยคอมพิวเตอร์ต้องเอาไปเลี่ยมทอง เพราะราคาพอๆกับเคส การที่จะนำไปบูชาควรวางไว้ในที่ที่เป็นมงคล หันหน้าไปทางทิศที่เหมาะสมเข้ากับราศีเกิดของผู้บูชา เพื่อให้รับลมได้ดี เดี๋ยวจะไม่เข้าหลัก Air flow อาจเกิดอาการร้อนในได้ คงไม่แปลกอะไรถ้าจะมีคนบูชาคอมเครื่องละเป็นแสน และ ไม่แปลกที่จะมี Spec เทพเบญจภาคี เช่น A_D 64 x000+ ,Cosair,Raptor,ASUS,6800 Ultra

ดังนั้นศาสนิกชนแต่ละท่านจึงควรพึงที่จะรับฟังอย่างมีวิจารณญาณ"

มารยาทในการ Chat หรือเล่น IM รวมถึงถาม/ตอบ คำถาม ต่างๆ

เดี่ยวนี้มีคน add ผมเข้า msn contact list ของเค้ามาวันนึงๆ ก็หลายคน แล้วในระยะเวลาในการที่ผมทำเว็บมานั้น ก็เกือบๆ 5 ปีแล้ว ผมใช้ IM ตั้งแต่ ICQ นั้นโด้งดัง (ตอนนี้เลิกใช้ไปแล้ว) จนมาถึง MSN Messenger ก็ยังคงมีคน add มาเรื่อยๆ เช่นเดิม ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า list ผมนั้นเก็บได้หรือไม่ได้ คำตอบคือไม่ได้ ซึ่งพอสม add ปั้บ ถ้าไม่ใช่เพื่อน หรือน้องๆ ที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว หรือคนที่คุยกัน ok ก็ลบกันเสียส่วนใหญ่ เพราะมันเก็บได้แค่ 150 Address เท่านั้น ด้วยการเก็บ Contact List ที่จำกัด ทำให้ผมก็คงไม่เห็นว่าคุณๆ ที่ add ผมไป online หรือไม่อย่างไร บางครั้งหาว่าผมรังเกียจไม่อยากคุยด้วย ก็ไม่เห็นคุณนิครับ แล้วไม่อยู่ใน list มันเลยคุยไม่ได้ แต่คุณที่เห็นผมน่ะ คุณก็ send มาคุยกับผมได้ บางคนพาลว่าผมไม่ทัก หรือบางคนก็หาหาว่าผมไปอยู่ใน list เค้าได้ไง ขอชี้แจงอย่างงี้ครับ ถ้าคิดจะ add ผมก็ช่วยจำๆ ผมหน่อยนะครับ ว่า add ไปตอนไหน ส่วนมากผมไม่ค่อย add ใครเท่าไหร่ หรอกมีแต่คนอื่นๆ มา add ผมเข้า contact list เค้า …. แต่เอาเหอะไม่ว่ากัน ……. แต่เข้าใจกันหน่อยว่ามันต้องเป็นไปแบบนี้

แล้วเรื่องที่ผมเบื่อสุดๆ จนผมอยากจะด่า หลายรอบ แต่อดทนไว้ อดกลั้นจนบางครั้งพาลไม่คุยกับคนพวกนี้เลย คือ พวกชอบใช้ภาษาไทยแบบ …. แบบ จะบอกว่าไงดีอ่ะ ภาษาไทยยุดวัยรุ่นผู้ใฝอิสระในทางที่ไม่ถูกแล้วกัน คือไม่ว่าหรอกนะ เข้าใจว่าภาษาวัยรุ่นน่ะ ใช้กันในกลุ่นคุณน่ะไม่ว่าหรอก แต่ผมอ่านแล้วปวดหัว อยากตบหัวเหลือเกิน คือใช้พอสมควรก็ ok นะ พอน่ารัก ประมาณว่าคุณกันเห็น 20 – 30 msg. โผล่มาหน่อยเป็นสีสัน ก็ ไม่ว่าหรอก แต่นี่มันเล่นทุก msg. นี่ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมเซ็งครับ ต่อไปนี้ไม่คุยด้วยแล้วนะ ถ้ามันมาทุก msg. ผมจะไล่ให้มันมาอ่าน blog นี้หล่ะ แล้วให้มันพิจรณาตัวเอง ถ้ามันคิดว่ามันถูก ก็ไม่ต้องคุยกัน เพราะภาษาไทย มันไม่ควรมาใช้แบบนี้ ถ้าทับศัพท์ภาษาอังกฤษผมยังรับได้ และยินดีมากกว่าเสียอีกนะ อีกอย่างผมไม่เข้าใจว่ามันลำบากนักหรือไงฟร่ะ ในการยกแคร่พิมพ์ หรือกด Shift ป่ะ คือจากที่ทดสอบลองพิมพ์ดูแล้วเนี่ย ผมว่าลำบากกว่าอีกต้องมานั่งแปลงให้มันได้อีกนะ หรือว่าผมแก่ไปแล้วก็ไม่รู้หว่ะ รับพวกภาษาเด็กแนว (ตะเข็บชายแดน) ไม่ได้ก็ไม่รู้

แล้วที่อยากจะบอกคนที่เข้ามาคุยทุกคนนะ ช่วยรักษามารยาทหน่อยเหอะ คือมาถามคำถามน่ะ อย่าทำตัว “จิกคำถาม ตะแบงขอคำตอบ” จากผมได้ไหม ผมไม่ได้เป็นขี้ข้าคุณนะ คือคุณถามผม ผมตอบคุณ ด้วยความสุภาพ และเคารพต่อสิทธิ คือบางครั้งไม่ว่างตอบจริงๆ หรือไม่อยู่เนี่ย ก็ไม่ต้องมาว่ากันก็ถือว่า ok นะ แต่แล้วบางคนนะ มันไม่ใช่ มาถึงก็มา “เฮ้ ….” , “เฮ้ย ….” แล้วตามด้วยคำถาม พอผมไม่ตอบ มันก็ด่าผมอีกว่า “ไม่ตอบ ห่วงความรู้แงะ” อ้าว เวรกรรม บางครั้งคนเราไม่ว่างมาตอบนี่หว่า หรือไม่อยู่ให้ทำไงฟร่ะ online ทิ้งไว้แล้วไม่อยู่ แล้วผิดกฏหมายแงะ แล้วบางคนไม่ใช่แบบนี้อย่างเดียวนะ ถามปั้บมันก็ บอก “บาย … ไม่ตอบก็ไม่ตอบ” คือมันทำแบบนี้น่ะ ภายในเวลาไม่ติดๆ กัน ในเวลา 10 วินาที (ประมาณเอา) โห่ มันจะเอาคำตอบให้ได้ภายใน 10 วินาที เวรเอ้ย ….. ตรูกำลังจะหาคำตอบให้อยู่ ยังไม่ได้เข้าเว็บอะไรเป็นกิจจะเลย มาด่าตรูแล้ว หรือทำนิสัยเสีย แบบเด็กมีปัญหา เลย block + delete ไปเลย ชาตินี้ไม่ต้องเจอกัน เซ้งเว้ยย เวรกรรมจริงๆ ตรูไปเป็นลูกน้องมันแต่เมื่อไหร่ฟร่ะ เนี่ย ส่วนคนที่ถามมาดี ผมก็ตอบไปตามปกตินิสัยผมเหมือนๆ ทุกครั้งครับ ;)

แล้วเรื่องต่อมาที่เหลืออดคือ การปรึกษาเรื่องที่มันก็อยู่ใน google.com เนี่ย หาสักหน่อยมันจะตายหรือไง เนี่ยเจอมาร้อยละ 70% – 80% เลยนะที่เป็นคำถามที่พิมพ์ใน google.com แล้วมันขึ้นมาเลย ถึงแม้บางครั้งมันจะเป็นภาษาอังกฤษสักหน่อย พจณานุกรมภาษาอังกฤษ มันก็มีในเน็ตน่ะ เปิดมาแปลสักหน่อยมันจะตายหรือไง นี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก อาศัยความพยายาม (ม.ปลาย ตรูตกภาษาอังกฤษรูด 3 ปีซ้อน ยังอ่านออกเลย) อยากเก่งมันต้องหัดแปลอะไรพวกนี้หน่อยก็ดีนะ คือไม่ได้อะไรหรอก ส่วนใหญ่คนไทยส่วนมากที่ประสบพบเจอจะชอบอะไรที่มันอยู่ตรงหน้า หรือง่ายเข้าว่า ไม่ชอบค้นหา คือประมาณว่า ไม่ค้นหาหรอก ตั้งคำถาถามเลย ทั้งๆ ที่มันก็มีคำตอบอยู่ในเว็บไทยสักแห่งนั้นแหละ แต่ไม่หาหรอก ผมว่าคงต้องฝึกคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ให้ใช้ Search Engine หรือ Web Directory ให้ใช้ในการค้นหาก่อนมั้ง แล้วค่อยมาใช้เน็ต หรือผมมันเป็คนรุ่นเก่าหว่า ที่แต่ก่อนมันไม่ค่อยมีเว็บให้ถามตอบหรือ IM ที่ดีๆ มีแต่ IRC กว่าจะเจอคนเก่งๆ นี่หาแล้วหาอีก หรือก่อนจะใช้ www หรือทำเว็บเนี่ย ต้องฝึกการใช้ระบบ Search Engine ก่อน ไม่งั้นหาข้อมูลยากมาก ต่อมารุ่นหลังๆ มันเลยง่าย เพราะ web board อยากได้อะไรโพสดะ เอาทุกเว็บบอร์ดทั่วไทย หวานแห เดี่ยวก็มีคนมาตอบให้ โห …… เดี่ยวนี้เค้าเล่นง่ายกันแบบนี้แล้วนะ เด็กรุ่นใหม่ๆ บางพวกน่ะ การบ้านก็มาโพสไว้ อะไรแนวๆ นี้ ดีหว่ะ ดีจริงๆ หากันหน่อยเหอะ คุณๆ ทั้งหลาย ถ้าหาไม่เจอเดี่ยวช่วยครับบบบบบ …… ;)

เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ ครับ แค่สามัญสำนึกธรรมดาที่น่าจะคิดได้ กลับคิดกันไม่ออก เอาง่ายเข้าว่าครับ (ว่าคนบางพวกนะครับ)

กระทู้น่าสนใจจาก pantip “การให้เลือดต่างกรุ๊ป ทำได้หรือไม่”

เห็นว่ามีประโยชน์มากครับ

ยกมาจาก http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X3466631/X3466631.html ครับ

“การให้เลือดปกติเราต้องให้ตรงกรุ๊ปกันเท่านั้น”

ที่สอนกันมาตอนมัธยม ว่า
AB รับได้ทุกกรุ๊ป
O ให้ได้ทุกกรุ๊ป
อันนั้นคลาดเคลื่อนเป็นการมองจากด้านเดียว

จะอธิบาย หลักการคร่าวๆ ก็คือ
คนเราถ้าเป็นเลือดกรุ๊ปไหน ก็จะมี Antigen (Ag) กรุ๊ปนั้น และไม่สร้าง Antibody (Ab)ต้านเม็ดเลือดตัวเอง แต่จะมีการสร้าง Antibody ต่อ

Antigen อื่นที่ตัวเองไม่มี

ดังนั้นคนที่
กรุ๊ป AB จะมี Ag A และ AgB จึงไม่มี Ab A และ Ab B
กรุ๊ป O จะไม่มี Ag A และ AgB จึงมีทั้ง Ab A และ Ab B
กรุ๊ป A จะมี แต่Ag A จึงไม่มี Ab A แต่จะมี Ab B
กรุ๊ป B จะมี แต่Ag B จึงไม่มี Ab B แต่จะมี Ab A

ถ้าเราให้เลือดไปแล้ว มี Antigen กับ Antibody นั้นๆเจอกัน (คือ AgA เจอกับ AntiA หรือ AgB เจอกับ AntiB ) จะทำให้เกิดเม็ดเลือด

แดงแตกหรือจับกลุ่มตกตะกอน(Agglutination) เป็นอันตรายต่อคนรับได้

การที่บอกว่า O ให้ได้ทุกกรุ๊ปนั้นเป็นการมองด้านเดียว

คือไป คิดว่า เลือดคนไข้หมู่ O ที่มี ไม่มี Antigen A และ B อยู่บนตัว ทำให้ไม่ถูกทำลาย โดย Antibody ของเลือดคนที่จะรับ

แต่อย่าลืมว่า เลือดคนไข้หมู่ O ที่เม็ดเลือดไม่มี Antigen นี่ ในน้ำเลือดหรือพลาสม่าของเค้าจะมี Antibody ทั้งต่อ A และ B

ทำให้เมื่อได้ให้ไปกับเลือดกรุ๊ปอื่น ซึ่งมี Ag A หรือ B อยู่ก็จะเกิดปัญหาได้ เช่นกัน

ดังนั้นการให้เลือดจะต้องให้ตรงกรุ๊ปเท่านั้น

หรือถ้าจำเป็นจริงๆ จะต้องให้ข้ามกรุ๊ป การนำเลือด O ไปใช้ ก็ต้องเอาไปแต่เม็ดเลือดที่ล้างเอา Antibody ที่มีปนในน้ำเลือดออกให้มากที่สุด

ซึ่งก็เป็นเรื่องยุ่งยาก

ยังไงก็ลองเข้าไปอ่านเพิ่มอาจจะมีการเพิ่มเติมจากนี้ครับ … เดี่ยววางๆ จะ save มาลงอีกรอบ ….