ย้ายมาใช้ Sony A7 III สุดท้ายก็ต้องใส่ Vertical Grip

เป็นคนใช้งานกล้องที่มี Vertical Grip มาตลอด เวลาถ่ายแนวตั้งมันไม่ต้องบิดข้อมือเพื่อจับกล้องให้เป็นแนวตั้ง ทำให้การยืนระยะในการถ่ายรูปมันไม่ล้า

พอย้ายค่าย ซื้อกล้องใหม่เป็น Sony A7 III ตัวกล้องมีขนาดเล็กลงกว่า DSLR ตัวเดิม แต่พอใช้ไปเรื่อย ๆ พบกว่าพอถ่ายแนวตั้งแล้วบิดข้อมือเรื่อยๆ แล้วล้ามาก มันไม่ชินสุดๆ สุดท้ายก็คิดว่าคงซื้อ Vertical Grip มาใช้ พอไปดูตัวของค่ายเองแล้ว ราคามันแพงจัด (แพงกว่าตอนใช้ Nikon อีก)

เลยคิดว่าซื้อตัวนอกค่ายแทนน่าจะดีกว่า แล้วก็มาจบที่ KingMa Battery Grip – VG-C3EM ตัวนี้แทน ราคาห่างกับตัวค่ายเยอะมาก ซึ่งโดยรวมจากที่ลองใช้ ก็ถือว่าโอเคเลย คราวนี้จับถนัดมือได้แน่ตอนแหละ

ส่วนอีกตัวคือ filter ของเลนส์ FE 85mm f/1.8 ที่ตอนแรกใช้ Kenko – Pro1D Protector ที่ใส่ติด Tamron 17-50mm f/2.8 ตัวเก่าแล้วถอดออกมาใส่ พอได้ point เป็นส่วนลดตอนซื้อ FE 85mm F1.8 เลยเอามาเป็นส่วนลด Sony MC Protecting Filter (Zeiss T*) 67mm แทน เพราะจะไป Kenko Celeste หรือ Hoya HD nano MkII ราคาก็โดดเกินไป เอาตัว Sony แทนดีกว่าคุณภาพ Zeiss T* ในราคาที่ถูกกว่า

รีวิว Nitecore USN4 Pro for Sony NP-FZ100

ด้วยความที่ผมใช้กล้อง Nikon มาเป็นสิบปี ซื้อกล้องมาทีไร ได้แท่นชาร์จแยกมาด้วยเสมอ แต่พอได้ Sony ก็ช็อคตรงที่มันไม่มีที่แท่นชาร์จให้ ต้องซื้อแท่นชาร์จแยก คือตอนแรกนึกว่าคนขายเค้าไม่ได้ให้มา แต่กลัวเสียฟอร์ม ก็เปิดคู่มือดูก่อนว่า ในกล่องมันให้มาไหม ซึ่งไม่ได้ให้มาจริงๆ ด้วย

กลายเป็นว่า ถ้าจะชาร์จแบตต้องเสียบกับกล้องแทน ก็แบบ เอ่อ ไม่ชิน แล้วปรกติด้วยความที่ซื้อกล้องมามักซื้อแบตสำรองก้อนที่ 2 อยู่เสมอ และการมีแท่นชาร์จก็ช่วยเรื่องการสลับชาร์จได้ง่ายกว่ามาก รวมไปถึงการเก็บรักษากล้องในตู้กันชื้นไปเลย แล้วเอาแค่แบตออกมาชาร์จแยกก็สะดวกกว่า

ทีนี้ พอไปเช็คราคาเครื่องชาร์จของ Sony โดยตรงก็ช็อคเพิ่มเข้าไปอีก เพราะราคาแพงระดับ 3,2xx บาท ก็เลยเป็นที่มาของการหาที่ชาร์จทางเลือกแทน

ซึ่งก็มาจบที่ Nitecore USN4 Pro (for Sony NP-FZ100) ในราคาไม่ถึง 900 บาท แถมชาร์จได้ 2 ช่องพร้อมกันอีก

เบื้องต้น มันเป็นที่ชาร์จที่รองรับ input แบบ USB-C บนมาตราฐาน QC 2.0 รองรับ input แบบ 5V 2.0A หรือ 9V 2.0A ฉะนั้นสายชาร์จมือถือทั่วไป ที่เป็น PD/QC และกำลังวัตต์ 18-20W ก็ใช้งานกับแท่นชาร์จนี้ได้ทันที ขอให้รองรับ input V/A ตามที่ตัวแท่นชาร์จรองรับก็เพียงพอ

จุดสำคัญ ที่ผมชอบมาก คือมีจอภาพแสดงสถานะการชาร์จของแต่ละช่องว่ามันจ่ายไฟให้แต่ละช่องเท่าไหร่แบบ real time แล้วบอกสถานะว่าชาร์จเต็มแล้วหรือยังแบบชัดเจน ซึ่งสะดวกมาก

โดยรวมแรกเริ่มในการใช้งานก็ประทับใจดีมาก แต่ยังไงก็รอดูยาวๆ อีกทีว่าจะเป็นยังไง ✌️

ลาแล้ว DSLR Nikon สวัสดี Mirrorless Sony

กล้องตัวเก่า Nikon D7200 ซื้อมาใช้ 14 มิถุนายน 2017 จุดประสงค์เอาไว้ถ่ายไอดอล และ 10 กันยายน 2017 ก็จัด Tamron SP 70-200mm f/2.8 Di VC USD มาเพิ่มด้วยจุดประสงค์เดียวกัน 😅

ด้วยความที่ใช้กล้อง Nikon D7200 มานาน 6-7 ปีแหละ หลัง ๆ ไม่ไหว เริ่มโฟกัสวืดบ่อยจนเซง ก็เลยหากล้องตัวใหม่ ซึ่งคงต้องไป Mirrorless แทน DSLR เดิม เพราะ Nikon ก็ไม่ออก DSLR ใหม่กลุ่มที่เราใช้งานมามานานแล้ว

พอไป Mirrorless ปัญหาคือเลนส์ที่มีอยู่ทั้งหมดของ Nikon ก็ใช้งานใน Nikon Z ไม่ได้เลย เพราะเป็น AF-D และเลนส์ Tamron ที่มีอยู่ ไม่รองรับ adapter Z-Mount ของ Nikon เอง ทำให้การเลือก Mirrorless ในครั้งนี้ เหมือนย้ายค่ายยกเซ็ต ฉะนั้นกลายเป็นอิสระในการเลือกเลยว่าจะเอายี่ห้อไหนอีกรอบ

พอมาไล่ดูแต่ละยี่ห้อ โดย Nikon Z แม้จะดูดี เราคุ้นเคยกับการควบคุมและเมนู แต่รอบการออกกล้องค่อนข้างคาบเกี่ยวกับที่เราจะซื้อพอดี ประกอบกับเลนส์ค่ายอิสระที่ทำให้ Nikon Z มีตัวเลือกน้อยมาก ผมจึงต้องหาตัวเลือกใหม่

ตัวเลือกใหม่อย่าง Sony จึงได้เกิดขึ้น เป็นการหาข้อมูลว่าจะอยู่กับ APS-C หรือจะไป Fullframe ไปเลยดี พอไล่ระดับราคา กลายเป็น APS-C หรือ Fullframe ไม่สำคัญเท่า เราจะเอาการจับถือตัวกล้องแบบไหน ระหว่าง Rangefinder (EVF อยู่ด้านข้าง) หรือ DSLR (EVF อยู่ตรงกลาง) ซึ่งก็มาจากที่แบบ DSLR ที่คุ้นเคย แล้วก็เป็น Fullframe ไปโดยสภาพบังคับ

ทีนี้จะซื้อมือหนึ่งหรือมือสองดี เพราะมือหนึ่งราคาโดดไปไกลมากกว่าที่เคยซื้อ 60k – 80k เลยทีเดียว ผมเลยไล่ดูมือสองเพิ่มเติมแทนในระดับราคาเดิมที่เคยซื้อกล้องมาในตัวก่อนๆ คือ 30-40k ไม่เกินนี้ เพราะต้องเผื่องบไปลงกับเลนส์อีก

สุดท้ายมาจบที่ Sony A7 III แทน ด้วยความที่นั่งเทียบข้อมูลใน dxomark แล้ว ถือเป็นรุ่นที่ก้าวกระโดดมาจาก Nikon D7200 ในด้าน dynamic range, low light และ AF ในที่ราคามือสองไม่แพงจนเกินไป โดยคนใช้งาน เค้าใช้ชัตเตอร์ไปแล้ว 30,000 กว่าๆ ซึ่งก็ยอมรับได้ เพราะส่วนตัวใช้กล้องมา 7-8 ปี ถ่ายรูปปีนึง หนักๆ ก็ 10,000 รูป ฉะนั้น ยังมี shutter life ให้ใช้งานไปได้อีก 3 ใน 4 (ตัวนี้ shutter life 200,000) หรือถ้าใช้งานก็สัก 4-5 ปีสวย ๆ ถึงตอนนั้นหารุ่นใหม่มือสองมาหมุนเวียนอีกรอบก็ยังไม่แย่

พอมาที่เลนส์ตอนแรกสนใจ FE 85mm F1.8 มือหนึ่ง ศ. Sony เลย แล้ว ศ. มีลดราคา ซึ่งลดลงมา 30% แต่พอไปถึง ศ. แล้วลอง FE 70-200 mm F4 Macro G OSS Ⅱ แล้วพบว่า เออ เอาจริงๆ ซื้อระยะ 70-200 mm ที่เราใช้กับกล้องตัวเก่า มาใช้งานเลย น่าจะตบโจทย์การใช้งานมากกว่า เพราะใช้บ่อยกว่าระยะ 85mm เลยจัดระยะ 70-200 mm มาแทน ซึ่งก็ได้โปรลดราคา 7% ซึ่งช่วงราคาที่ลดก็ประมาณเกือบๆ 7,000 บาท

จนสุดท้ายได้ Sony A7 III + FE 70-200 mm F4 Macro G OSS Ⅱ มาใช้งานเป็นชุดเริ่มต้น

ระหว่างนี้ก็รอแท่นชาร์จ (ที่ Sony มันไม่แถม) และแบตก้อนใหม่เพิ่มมาอีกก้อน เพราะ A7 III ตัวนี้มันถ่ายได้ประมาณ 600-700 รูปต่อแบต 1 ก้อน เลยคิดว่ามีแบตหลายก้อนแน่ๆ จะกลายเป็นว่ามีแท่นชาร์จเพิ่มสะดวกเวลาต้องชาร์จแบตพร้อมกัน

ส่วน SD Card ใช้ SanDisk Extreme PRO SDXC UHS-I ตัวเก่าก็น่าจะเพียงพอ เพราะ write performance ของ A7 III ยังไม่ถึง 200MB/s เลยไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้เพิ่มเติม

ส่วนรูปลองถ่ายดู 2 รูป เนื้อไฟล์ประทับใจมาก ขนาดยังไม่ได้ denoise อะไรเลย ยังออกมาดูมากๆ

ว่าจะซื้อ Bluray ราคาไม่เกินสามพัน ดูไปดูมา ไปถอย PS4 เฉยเลย

ช่วงสิ้นเดือนที่แล้ว ว่าจะซื้อ Bluray ราคาไม่เกินสามพันหน่อยๆ เอามาไว้ดูหนังหรือคอนต่างๆ ที่มีแผ่นอยู่ แต่ดูไปดูมากลับไปถอย PS4 (พร้อมจอยอีกตัว และเกม FIFA 15) ราคารวมๆ แล้วเกือบสองหมื่นแทน ><”

คือเหตุการณ์เนี่ยจะประมาณว่า เครื่อง Blu-ray Player ราคา 3,990 บาท แล้วมีเสียงกระซิบบอก “เพิ่มอีกหน่อยได้ PS3 แล้วนะ” ก็เลยลองเดินไปที่ร้าน Nadz ที่ ชั้น 5 ของ Digital Gateway พอเดินไปถึงร้าน ลองถามราคา PS3 ได้ความว่าราคา 8,990 บาท แต่ก็เผื่อถามๆ PS4 เลยถามเพิ่มก็ได้ราคา 14,990 บาท แต่แล้วก็มีเสียงกระซิบบอก “เพิ่มอีกหน่อยได้ PS4 แล้วนะ”

สุดท้ายถอย PS4 แทน แบบงงๆ ตามเสียงกระซิบ แต่มานั่งดูบันไดราคา นี่มันเพิ่มที่ละเท่าตัวตลอดเลยนี่หว่า ><”

ปล. ราคา PS4 เครื่อง ศ. Sony shop ราคา 16,900 บาท ส่วนเครื่องที่ผมซื้อเป็นเครื่องสิงค์โปร์ แต่เข้า ศ. ไทยได้ และลงทะเบียนอัพเดทวันที่ซื้อแบบออนไลน์จะได้ประกันเพิ่มเติมอีก 2 เดือน รวมเป็น 14 เดือน ก็มีประกันยาวๆ อุ่นใจกันไป

IMG_20150131_200618 IMG_20150131_200711

ซึ่ง PS4 มันคือ game console ตัวแรกในชีวิตผมเลยครับ เลยค่อนข้างตื่นเต้นสักหน่อย

แน่นอน ซื้อของพวกนี้ และราคาค่อนข้างแพง มันก็มีเหตุผลที่ซื้อ PS4 อยู่หลายข้อ (แต่ยังถูกกว่า smart phone หลายๆ รุ่น)

  1. มันใช้เป็น Blu-ray Player ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดอยู่ตอนนี้พอดี และแน่นอนว่ามันเป็น Media Center ที่ค่อนข้างโอเค แต่ยังไม่รองรับ DLNA แต่พอเอามาใช้กับ Sony Bravia ที่ซื้อไปเมื่อปีก่อนแล้ว ซึ่งเชื่อมต่อ PS4 ด้วยความสามารถ HDMI Device Link มันก็ทำงานได้เนียนดีมาก
  2. คิดว่าจะเล่นเกมบน console แทน PC น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องอัพเครื่องไปอีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อยๆ แน่ๆ กลายเป็นว่า การซื้อ notebook ราคาแพงเพื่อเอามาใช้งานและเล่นเกมดูมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น
  3. แน่นอนว่าผมเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง XboxOne ก่อนซื้อ ซึ่งส่วนตัวอย่างได้มากกว่า แต่ในไทย Microsoft ไม่คิดจะขาย ราคาเครื่องหิ้วแพง เสียส่งซ่อมต่างประเทศ ซึ่งมันรอนาน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่เท่ากับตัวเกมและเนื้อหาต่างๆ ไม่สามารถใช้บริการในไทยได้สะดวกนัก ว่าง่ายๆ คือ ลูกเมียน้อย (อีกแล้ว) ซึ่งผมไม่ชอบความรู้สึกลูกเมียน้อย เลยตัดทิ้งไปเลย

IMG_20150215_114037

ซึ้ง ณ ตอนนี้มีเกมที่เป็นแผ่นอยู่ 2 เกม และซื้อแบบออนไลน์ 1 เกม ส่วนเกมอีก 5-6 เกมในเครื่อง เป็นเกมที่โหลดฟรีตามสิทธิ์ของ Playstation Plus

  1. The Last of Us บน PS4 นี่อย่างกับหนัง เมื่อวานคุณแฟนนั่งเล่น แล้ว อืมมมม อารมณ์แม่มหนังมาก ภาพสวยเทพจริง คะแนนรีวิวค่อนข้างดี มีแต่คนแนะนำว่าควรมีไว้ติดเครื่อง
  2. FIFA 15 อันนี้ก็สนุกดีมาก แน่นอนว่าตอนแรกๆ จะงงๆ เพราะการควบคุมไม่เหมือน Winning ที่คุ้นเคย (หรือเพราะผมไม่ได้เล่นเกมพวกนี้นานก็ไม่รู้) แต่งานภาพ ความสมจริง นี่อย่างกับนั่งดูบอลจริงๆ เลย ค่อนข้างประทับใจ (เหมือนเป็นเกมภาคบังคับมากๆ สำหรับผู้ชายที่ซื้อ game console มาเล่น เท่าที่เจอซื้อมาเล่นเกือบทุกคน)
  3. Destiny เกมนี้อ่านรีวิวมีทั้งคนด่า คนชม คือชอบก็ชอบเลย ไม่ชอบก็เกลียดเลย ค่อนข้างเยอะ แต่ส่วนตัวชอบเกมแนว Halo เป็นทุนเดิมตอนที่ได้เคยสัมผัสจากเพื่อนๆ เมื่อหลายปีก่อนแล้วค่อนข้างประทับใจ ประกอบกับมีคนเชียร์หลายคน ก็เลยจัดมาเล่น ซึ่งก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด ถือว่าเป็นอีกแผ่นที่ซื้อมาแล้วไม่เสียดายเงิน

หลังจากที่ซื้อมา ก็ผ่านมา 2 อาทิตย์หน่อยๆ ผมมองว่า มันโอเคดีนะ โดยวันแรกที่เริ่มต้นใช้งานก็สมัคร Playstation Plus แบบจ่ายรายเดือนดูก่อน ซึ่งผมจ่ายแบบเดือนต่อเดือน ซึ่งจะตกที่เดือนละ 170 บาท ถ้าจ่ายรายปีถูกกว่าเยอะมาก (ราคาประมาณเกือบๆ 1,200 บาท) คิดว่าต่อไปคงจะจ่ายรายปี แต่รอให้หมดอายุก่อนแล้วค่อยซื้อ ดูซึ่งตัวสิทธิประโยชน์ในการเลือกเกมฟรี อย่างเดือนที่ผ่านมาได้เกม inFamous: First Light ฟรีมาเล่น และมีเกมอื่นๆ อีก ซึ่งดีงามมาก เพราะมีเกมให้เล่นแบบไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มอีก และยังมี เกม exclusive และส่วนลดก็มีให้เลือกพอสมควร แต่แน่นอนว่าน้อยกว่า US และ JP

สำหรับการซื้อเกมพวกนี้แบบออนไลน์บน Playstation Store แนะนำว่าให้ไล่ดูว่าราคาบนออนไลน์ หรือแบบซื้อแผ่นตามร้าน ซื้อที่ไหนถูกกว่ากัน (อันนี้ต้องเช็คสักหน่อย) เพราะบางเกมราคาถูกกว่าตามร้าน หรือบางเกมแพงกว่าตามร้านแต่ แต่ที่แน่ๆ คือเสียเวลาโหลดหน่อย ซึ่งอย่างผมลองซื้อ The Last of US ซื้อถูกกว่าซื้อแผ่นตามร้าน แต่เจอว่าเกมขนาดประมาณ 40GB แล้วน้ำตาจะไหล ทิ้งรอโหลดไว้ทั้งคืน แล้วตื่นเช้ามาค่อยเล่น ซึ่งความเร็วในการโหลดจาก CDN ช่วงวันนั้นค่อนข้างเร็ว แต่ก็มีบางวันที่ช้า ซึ่งก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ก็วัดดวงกันไปเป็นรายวัน

ส่วนราคาแผ่นเกม หรือตัวเกมนั้น ผมว่าราคามันถูกลงกว่าเมื่อก่อนพอสมควร ตอนนี้เกมกระแสหลักอยู่ประมาณ 1,300 – 2,000 (โดยประมาณ) ถือว่าไม่ได้แย่ อาจจะมีเกม remastered บ้าง ที่ราคาถูกกว่า ก็เอาไว้เล่นแก้คิดถึงได้อยู่บ้าง

สรุปความเสียหายทั้งหมดคือ 21,380 บาท (ไม่รวม Playstation Plus)

  • Sony PS4 500GB – Jet Black (Asia) ราคา 14,990 บาท
  • Dual Shock 4 – Black (Asia) ราคา 1,990 บาท – อันนี้ซื้อเพิ่มเติมมา เผื่อสำหรับเกมที่เล่นได้สองคนพร้อมๆ กัน และมันสามารถทำเป็นตัว auto sign-in ของแต่ละ account ของ PSN ได้ทันทีอีกด้วย
  • Sony PS4 Vertical Stand ราคา 990 บาท – ด้วยความที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น วางตั้งน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า
  • Gametech Dust Proof Cap Set – Black for PS4 ราคา 590 บาท – อันนี้เป็นส่วนที่ตามรอยต่อ และพอตต่างๆ ของ PS4 ป้องกันฝุ่งเกาะ
  • Analog Cap x 2 ราคา 190 บาท – เอาไว้สวมทับอีกชั้น ป้องกันตัวยางคันโยกบริเวณจอยมันหลุดออกมา ถนอมมันไว้สักหน่อย เพราะถ้าหลุดออกมา อาจจะลำบากกว่าในอนาคต (ถือเป็นภาคบังคับที่คนส่วนใหญ่ต้องมีไว้)
  • Destiny /W PSN Plus 1 Month [Z3] ราคา 1,390 บาท
  • FIFA 15 [Z3] ราคา 1,890 บาท
  • The Last of Us Remastered full game [PSN] ราคา 1,340 บาท

สำหรับ Sony PLAYSTATION Network นั้น ตัวระบบ Authentication ยังไม่รองรับ 2-factor authen และมีข่าวร้ายว่า ตัว Sony นั้นเก็บรหัสผ่านเป็นแบบ plaintext อีกด้วย คำแนะนำคือ ให้ใช้รหัสผ่านแยกจากบริการอื่น และควรใช้รหัสผ่านที่ยากต่อการคาดเดาอีกด้วย เพราะหากมีการจัดเก็บข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิตในชื่อบัญชีของเราแล้วนั้น อาจเสี่ยงต่อการนำไปใช้งานที่ไม่พึงประสงค์ได้

อ้างอิง: Sony Online Entertainment – Authenticator FAQ และ Shocking: Sony Learned No Password Lessons After The 2011 PSN Hack

ทั้งหมดที่เขียนๆ มา ถือว่าค่อนข้างประทับใจกับ PS4 แม้ส่วนตัวจะเชียร์ XboxOne และอยากได้ แต่ถ้ามองในความคุ้มค่าและเนื้อหาแบบออนไลน์ที่ game console ยุคใหม่ต้องสามารถทำได้แล้วนั้น ผมถือว่า PS4 ทำออกมาได้ดีกว่า XboxOne อยู่สักหน่อย

สรุปสั้นๆ หลังจากใช้ Sony Vaio E 11"

ผมได้ Sony Vaio E 11” มาในราคาไม่แพงจากร้าน PS. Computer ที่จังหวัดอยุธยา เพราะเค้าลดล้าง stock มา (ราคาหลังไมค์) ตอนนี้คงหมดแล้วเพราะมีไม่เยอะ แต่บอกได้ว่าไม่ถึงหมื่นครับ ถูกกว่าหน้าร้านทั่วไปที่ราคาตอนนี้ 12,900 บาท หรือราคา Sony Shop ที่ 14,900 บาท

เหตุที่ซื้อ Vao E 11″ เพราะเอามาเป็น sub notebook ใช้แทน Tablet (ตูคิดไม่เหมือนชาวบ้านเค้าซินะ) เพราะจากที่เคยใช้ tablet มาก่อนหน้านี้สุดท้ายก็ต้องซื้อคีย์บอร์ดแบบปรกติมาเพิ่ม เพราะมันพิมพ์งานลำบากมาก รวมถึงมันทำงานพวก coding ไม่ได้ คือแบก tablet ที่พก keyboard ไปด้วยมันกลายเป็นว่าน้ำหนักเกือบ 1kg แน่นอนว่าการหยิบใช้สะดวกกว่า แต่พองานยากๆ งานซีเรียสก็ต้องเปิด notebook อยู่ดี (สรุปผมต้องแบก 2 เครื่อง) ตอนนี้ผมแก้ไขด้วยการโยนงานบางอย่างใน tablet พวกนี้ขึ้น Windows phone 8 แทน เช่นพวกระบบ monitor ขึ้นเว็บ เขียน push/notification เข้าอีเมล และ remote ssh/windows remote desktop ไปไว้ใน app แทน ซึ่งก็ทดแทนงานพวกนี้ใน tablet เกือบหมดแล้ว สุดท้ายส่วนงานที่ซีเรียสมากๆ ก็เอามาใส่ใน sub notebook เป็นส่วนสุดท้าย

WP_20130602_010

ต่อไปนี้ไปเที่ยวก็เอาไปเฉพาะ sub notebook ก็เพียงพอสำหรับงานแก้ไขปัญหาเป็นหลัก (ไปเที่ยวไม่ได้ไปทำงานไม่ต้อง full function) เพราะตอนนี้เอกสารและ code โปรแกรมต่างๆ ย้ายขึ้น cloud และ git ไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นส่วนที่จำเป็นจริงๆ จะถูก sync ไป-มาได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติคราวๆ เป็น

  • CPU AMD E2-1800
  • APU Radeon HD 7340M
  • RAM 2GB
  • HDD 320GB จอภาพ 11.6″ (1366×768 LED Backlit)
  • น้ำหนัก 1.5kg

อย่างแรกคือ มันเบาดีครับ ความเร็วไม่ได้แรงมากเท่าไหร่ คะแนน WIE ส่วนของ CPU 3.9 เท่านั้น แต่คะแนนส่วนของ VGA ทำได้ดีมาก แต่ RAM ที่ได้มาน้อยไปหน่อย เดี่ยวต้องไปหามาใส่เพิ่มจะได้ทำงานได้ไหลลื่นมากขึ้น

เปิดกล่องครั้งแรกที่รู้สึกคืองานประกอบนั้นแน่นหนาดีมาก เป็นพลาสติกที่รู้สึกว่ามันไม่แตกหักง่าย

สิ่งที่ชอบอย่างแรกคือมี port VGA และ HDMI มาให้ ไม่ต้องซื้อสายต่อเพิ่มสำหรับงาน present แต่อย่างใด ต่อมาคือมี HD webcam, SD-card reader, powered USB และ USB 3.0 มาให้ด้วย ในส่วนที่รู้สึกว่าโอเคคือจอภาพ สวยงามมาก ไม่คิดว่าจอ 11.6″ จะให้ resolution จอมาแบบไม่งกที่ขนาด 1366×768 pixel ทำให้ทำงานย้ายไปมาระหว่าง ThinkPad กับ Vaio ง่ายขึ้นมาก เพราะ ThinkPad T420 จอ 14.1″ ก็เท่านี้ (Lenovo งก resolution จอจนน่าเบื่อ เครื่องเก่าผม ThinkPad Z61t ยังได้ 1,440×900 เลย)

ส่วนต่อมาที่ไม่เกี่ยวกับตัวเครื่องโดยตรงคือ ประกันที่ให้เป็นประกันอุบัติเหตุ และประกันเครื่องหายของบริษัทประกันภัยในประเทศไทยด้วย ซึ่งทั้งหมดให้ประกันมา 1 ปีเต็มๆ นี่ไม่แน่ใจว่าซื้อประกันเพิ่มมันจะต้องจ่ายเท่าไหร่แฮะ

WP_20130602_012

ส่วนที่รู้สึกไม่ชอบคงเป็นเรื่องมันช้า แต่เข้าใจได้ เพราะจ่ายเงินตามคุณสมบัติที่ได้ (มันไม่ชอบ แต่ไม่ใช่ข้อเสียอะไร)

สำหรับ RAM นั้นมีช่องใส่ RAM มาให้ 2 ช่อง สามารถเปลี่ยน HDD ได้ง่ายๆ เพราะมันอยู่ข้างๆ RAM เลย แกะตัวฝาปิดด้านล่างก็เปลี่ยนหรือเพิ่ม RAM และ HDD ได้สบายๆ สำหรับ HDD ที่ให้มานั้นเป็น 5400rpm ขนาด 320GB ความหนา 7mm แต่ช่องใส่สามารถใส่ 9mm ได้นะ เพราะลองใส่ HDD 7200rpm หนา 9mm นั้นฝาปิดก็ปิดได้สบายๆ

ในส่วนของ Software ที่แถมมาเยอะพอสมควร คือเกือบจะดี แต่ว่ามันไม่ค่อยล่าสุดเท่าไหร่ แล้วไม่มีให้เลือกเอาออกตอนเปิดเครื่องครั้งแรก ต้องมานั่งไล่ uninstall คือหงุดหงิดเล็กๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ตัว Windows ที่ให้มาเป็น Windows 7 Home basic 64bit แบบ license ซึ่งโดยรวมเอามาใช้งานทั่วไปที่กำลังจะเอาเครื่องนี้ไปใช้งานอยู่นั้นโอเค แต่กำลังคิดอยู่ว่าสิ้นเดือนจะไปไปถอย Windows 8 มาใช้ทีหลังดีไหมเพราะมันอาจจะมีปัญหาเรื่องการทำงานย้ายไป-มากับ ThinkPad ที่เป็นเครื่องหลัก

WP_20130602_014

สุดท้ายในด้านคีย์บอร์ดนั้น หลังจากปรับตัวเข้ากับคีย์บอร์ดที่จัดวางปุ่มตามสมัยนิยมที่ไม่ใช่ ThinkPad Classic รุ่นหลังปี 2011 มาหลายแบบมากๆ ตอนนี้ผมเริ่มเฉยๆ กับการยึดติดกับวิธีคิดแนวนี้แล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้เหตุผลในการเลือก notebook ใหม่นั้นลอยตัวจากแนวคิดนี้และสรรหาอะไรที่ดีที่สุดในด้านอื่นๆ แทน สำหรับคีย์บอร์ดของ Vaio นั้นฟิลลิ่งของตัวเครื่องขนาดเล็กแบบนี้ก็ทำได้ดีพอสมควร แน่นอนว่าดีพอๆ กับ Bluetooth Mobile Keybaord 5000 และ Wedge Keyboard ของ Microsoft เลยทีเดียว ทำให้ผมปรับตัวไม่ยากเท่าไหร่นัก (ผิดกับตอนแรกที่ใช้จาก ThinkPad มาใช้ Bluetooth Mobile Keybaord 5000 ต่อภายนอกแบบจริงจัง ตอนนั้นลำบากอยู่เป็นเดือน)

ตอนนี้ก็นั่ง setup ตัว Vaio เครื่องนี้ให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพจริงๆ น่าจะไม่นานนักคงเรียบร้อยดี ;)

fotor_WP_20130602_009_jpg