เดินเรื่อยๆ เปื่อย ๆ แต่ตบท้ายด้วย “ICON : สตีฟ จ็อบส์” ซะงั้น

วันนี้ได้พักสักทีหลังจากรายงาน ที่ทำรายงานที่ทำนานที่สุดเท่าที่เคยทำมาคือไพธอน ตอนนี้เหลือแค่เอกสารรูปเล่ม ไว้วันจันทร์ค่อยทำต่อ วันนี้สองวันนี้ขอพักก่อนแล้วกัน ไม่ไหวจริง ๆ ไม่ได้นอนมาหลับสบาย ๆ มา 2 อาทิตย์กว่า ๆ แล้ว วันนี้เลยไปเดินหาซื้อ DVD ก้านกล้วย แต่ไปหาที่ร้านแมงป๋อง ที่ Big-C นครสวรรค์ ไม่มีด้วยเหตุผลว่ามันหมดไปแล้ว T_T เลยไปหาที่ Super Store ก็ไม่มีอีก เลยลงไปในที่ B2S กลับมี แถมเหลืออยู่กล่องเดียวเท่านั้น เลยถอยมาอย่างไม่ลังเล ไม่ดูราคาแต่อย่างใด ;) แล้วก็เดิน ๆ ไปดูร้าน ๆ อื่นที่น่าจะมีในห้างแห่งนี้ก็มีอยู่อีกร้านเดียวที่มี แถมมีอยู่กล่องเดียวอีกเหมือนกัน -_-‘ (ที่นี่ Big-C ถือว่าใหญ่มาก ๆ ใครที่อยู่ที่นี่คงเข้าใจว่ามันใหญ่โคตร ๆ ห้างเก่าแก่ในนครสวรรค์ที่ว่าใหญ่แล้วที่นี่ใหญ่กว่าเยอะ ถือว่าเป็นสาขาของ Big-C ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของ Big-C เลย) คือห้างออกจะใหญ่แต่หา ก้านกล้วย ได้แค่ 2 กล่องอ่ะ เหอ ๆ คนอยากได้มากจนของขาด หาไม่ได้ หรือว่าคนไม่นิยมจะซื้อเลยไม่เอามาขายหว่า -_-‘ แต่ทุก ๆ ที่กล่าวมานั้น มี VCD ก้านกล้วยนะครับ ฮ่า …. แปลกดี แต่ก็อ่ะหล่ะ คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่มักดู VCD มากกว่า DVD ด้วยเหตุที่เครื่องเล่น และการที่สามารถทำสำเนาได้ง่ายกว่า แผ่นในการทำสำเนาถูกกว่า ฮ่า… แต่ตอนนี้เราไม่ค่อยได้ซื้อของผิดกฎหมายแล้ว ไม่ใช่ว่ารวยแต่ทำงานด้านพัฒนาซอฟต์แวร์ แล้วเรารู้เลยว่างานสร้างสรรค์ต่าง ๆ เหล่านี้มันทำได้ยากเย็นแค่ไหน ไม่ว่าจะต่างประเทศ หรือของพี่น้องไทยเราเองก็พยายามไม่ใช้ของทำสำเนา (เพิ่งซื้อ Kerio Personal Firewall แบบเหมา 2 Licence ไปเมื่อเดือนก่อนในราคา 29 us$)

พอดีเห็นอะไรแวบ ๆ เจอของดีเข้าคือ The Letter และ Blade Trinity โดย The Letter นี่ราคา DVD มัน 59 บาท แต่ VCD ของ The Letter มัน 99 บาท o_O วางข้าง ๆ กัน โอ้วววว ซื้อ VCD ให้โง่ดิ ฮ่า ….. แล้วตามมาด้วย Blade ในราคา 159 บาท ทั้งสองแผ่นถือว่า ok เรื่อง Blade มีภาคสองแล้วแต่หาภาคสามและหนึ่งอยู่ตอนนี้ถอยภาพสามมาก่อนเดียวภาคหนึ่งตามมาทีหลัง (โดยรวมภาคสามห่วยนะ แต่ก็เก็บไว้ -_-‘)

พอเราได้ของดั่งใจแล้วก็เดินต่อมา เลยไปหา ๆ หูฟังใหม่ เลยได้ Philips SHE785 มาในราคา 940 บาท (ที่ป้ายมันติดไว้ 820 บาท พนักงานบอกว่าราคา Promotions เมื่อเดือนที่แล้วไม่ได้เอาออก เวรกรรม จริง ๆ -_-‘) โดยมีแต่คนร่ำลือว่าเสียงดีในย่านเสียงสูงและกลางในระดับใกล้ ๆ กับ Senheiser MX500 เลยต้องเอามาพังเสียหน่อย แต่เสียเบสมีแต่คนบอกว่าดีกว่าเยอะพอสมควร พอซื้อปั้บแกะทดสอบก่อนเลย มันเสียงจะได้เปลี่ยนตัวใหม่ได้เลย พอเสียบ iPod Nano ก็ใช้ได้ ok เสียงโดยรวมยังไม่ได้เบิร์นเสียงสูงและกลางเด่นมากจนบาดหูเลยคงต้องเบิร์นหน่อย แต่เบสถือว่า ok แต่ว่าอาจจะยังไม่นิ่มคงต้องอีกสักพัก ;)

พอได้ของหลาย ๆ อย่างตามต้องการแล้ว เลยเดินเข้า Book Variety (ที่ Big-C ร้านหนังสือใหญ่ 2 ร้านอยู่ในห้างเดียวกัน ถือว่าดีมาก ๆ มีตัวเลือกดี :) ) พอเข้าไปเลยเดินๆ ดูว่ามีอะไรใหม่ ๆ น่าอ่านหรือเปล่า แล้วก็เดินไปซะดุดกับบบบบบบบบบ ICON : สตีฟ จ็อบส์ เข้า อุทานมาอย่างดัง "เฮ้ยยยย" คนข้าง ๆ มองทำหน้างง -_-‘ ฮ่า … คืองี้ ผมไม่คิดว่าจะเจอที่นี่ไง อย่างน้อย ๆ น่าจะได้เจอที่ CU Book ที่ มหาวิทยาลัยมากกว่า อ่ะ เลยหยิบแบบไม่สนใจราคาเดินไปจ่ายเงินเลย ที่ร้านนี้ห่อปกให้ด้วยเลยสบายใจหน่อยไม่ต้องมาห่่อปกเอง ตอนนั้นโทรหา พี่กั่ง Siampod.com เลยว่าที่นี่มีขายแล้วนะ พี่เค้าก็ตกใจว่ามีขายแล้วเหรอ เพราะพี่เค้าเพิ่งโทรศัพท์ไปเช็คกับสำนักพิมพ์มาว่ายังไม่ได้มีจำหน่าย หรือว่าคนบอกมันลืมวันจำหน่ายหนังสือหว่า -_-‘ แต่เอาเหอะเราถอยมันมาแล้ว เดี่ยวอ่าน ICON ก่อน The Google Story แล้วกันนะ ;)

โดยตัวหนังสือถือว่าทำออกมาได้ดีนะ แถมเป็นหนังสือที่ผมรอมานานแล้ว คือเป็นหนังสือที่อยากได้มากที่สุดในปีนี้ และ Google Story ก็รองลงมา

เรื่องราวของกูเกิล (The Google Story)

วันนี้ไปที่ CU Book ที่ ม. ก็เรื่อยๆ ไปหาหนังสือเท็คภาษาอังกฤษด้านไอทีใหม่ ๆ ที่น่าอ่าน และเผื่อ ๆ อาจจะมีหนังสือที่ลดราคาให้เราซื้อมั้ง แต่พอดีว่าไปเจอ หนังสือชื่อ "เรื่องราวของกูเกิล" ซึ่งเป็นหนังสือฉบับแปลจาก "The Google Story" ของ David A. Vise และ Mark Malseed  เลยหยิบมาแบบไม่คิดว่าจะแปลดีไม่ดี โดยรายละเอียดง่าย ๆ หนังสือหนา 376 หน้า ราคา 230 บาท ซึ่งราคาต่อจำนวนหน้าถือว่าถูกมาก ๆ สำหรับหนังสือแปล และจำนวนหน้าที่มากมายขนาดนี้ (แต่ภายในผมยังไม่คิดนะว่า ok บางคนซื้อหนังสือคุ้้มเพราะจำนวนหน้า -_-‘ เลยบอกไว้ก่อน ฮ่า …. )

พอซื้อเสร็จตอนกินข้าวเลยหยิบมาอ่าน โดยรวมถือว่าแปลออกมาได้ดีพอสมควรเลย โดยคนแปลถือว่ามีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เป็นทุนอยู่แล้ว การแปลเลยออกแนวเข้าใจศัพท์ด้านคอมพิวเตอร์อยู่พอสมควร แปลไม่แข็งและกระด้าง โดยรวมแปลได้ดี แต่อาจจะไม่เท่ากับคุณ SuperU:-) (หรือ eS_U) ผู้แปลหนังสือแนวคอมฯ อีกท่านที่ผมเคยเอาเรื่องปิดทาง Hacker มาลง รวมถึง CyberPunk มาลงในเว็บเมื่อหลายปีก่อน และผมมีผลงานของท่านอีก 3 เล่มทั้ง โคตรเคี้ยว (Hard Drive, Bill Gates and the Making of the Microsoft Empire), ล่าแฮกเกอร์ป่วนโลก และวิสามัญฯ แฮกเกอร์ ซึ่งทั้งสามเล่มนี้แปลและเรียบเรียงได้ดีมาก ๆ อ่านแล้วมันมาก ๆ ว่างไม่ลง เลย

นอกเรื่องไปไกล ซะแล้วเรา

โดยรวมหนังสือ เรื่องราวของกูเกิลถือว่าเป็นหนังสือที่รอคอยอีกเล่มเลยทีเดียวแถมผู้แปลทำออกมาได้ดีด้วย ทำให้เป็นหนังสือที่น่าสนใจรองจาก Icon:Steve Jobs เพียงเล่มเดียวในปีนี้

คงต้องรอต่อไปสำหรับ Icon:Steve Jobs ;)


คอมไพล์เลอ ต้องมังกร & โอเอส ต้องไดโนเสาร์ หนังสือที่อ้างอิงและศึกษาได้ดี

ทำไม !! คอมไพล์เลอ ต้องมังกร และ โอเอส ต้องไดโนเสาร์

เป็นคำถามที่ผมว่ามันก็หาคำตอบลำบาก แต่วันนี้ผมจะมาแนะนำหนังสือ คงไม่บอกว่ามันดียังไง เพราะว่าหนังสือมันก็ดีทุกเล่มนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเล่มนั้นจะให้แนวคิดและทำความเข้าใจได้ง่ายกว่ากันเท่านั้นเอง (หนังสือบางเล่มจำเป็นต้องมีพื้นความรู้หลายๆ อย่างก่อนไม่งั้นอ่านแล้ว งง โคตรๆ)

Operating System Concepts


by Abraham Silberschatz, Peter Baer Galvin, and Greg Gagne


ถือเป็นหนังสือที่เอาไว้ศึกษาหลักการ Operating System ได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ที่ผมเรียนตอนปี 3 ก็ใช้เล่มนี้สอนเป็นหลัก แต่เนื้อหามันเยอะมาก เลยเรียนไม่หมดเล่ม ด้วยความอยากรู้เลยไปซื้อที่ CU Book ที่ม. ตอนนั้นมี Wiley Asia Sutdent Edition ขายพอดีราคาเลยถูกกว่าเล่มที่วางขายทั่วไปพอสมควร (เล่มในรูปซื้อมาประมาณ 600 – 700 ไม่เกินนี้ จำราคาไม่ได้นานแล้วอ่ะ -_-‘) เอาไว้ศึกษาพวก thead, memory management แล้วก็พวก deadlock ต่าง ๆ จริง ๆ อ่านเล่มนี้ทำให้เราเขียนโปรแกรมให้มีประสิทธิภาพสูงได้เลยหล่ะ ได้แนวคิดเยอะมาก ๆ จริง ๆ คนที่เขียนพวกซอฟต์แวร์ที่ใช้ thead หรือพวก control session ต่าง ๆ สมควรอ่านอย่างยิ่งเลย เล่มที่ได้มานี่ 7th Edition ถือน่าจะใหม่เกือบที่สุดแล้วในตอนนี้ (เห็นใน amazon มี with Java ด้วย อันนี้น่าจะใหม่กว่านิดหน่อย) แต่เนื้อหาหลัก ๆ ถือว่าควบถ้วนครับ ซึ่งเล่มถ้าจะอ่านต้องมีพื้นในด้าน Hardware พอสมควร แนะนำให้เปิดหนังสือเล่มนี้อ่านพร้อม ๆ กับพวกวิชา Introductrory to Computer หรือ Computer Organization and Architecture ไปด้วยจะดีมาก ๆ


Compilers: Principles, Techniques, and Tools


by Alfred V. Aho, Ravi Sethi, and Jeffrey D. Ullman


เล่มนี้ถือว่าหายากมากในไทย แถมเป็นเล่มที่ Classic ของคนเรียน Computer Science (ออกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985-1986) เห็นว่าเดือนนี้ (สิงหาคม 2006) จะออก Edtion ที่สองแล้ว แต่ว่าเล่มนี้นี่ ผมก็ไม่รู้ทำไม ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มี ในหอสมุดก็เพิ่งจะเอามาลงเมื่อปลายปี 2548 นี้เอง จริง ๆ ดูราคาแล้วก็แพงมหาโหดมาก ราคาจาก US -> Thai นี่เกือบ ๆ 4,000 บาทได้ เลยต้องยืมของหอสมุดมาถ่ายเอกสารเอา เพราะว่าหาซื้อไม่ได้ แถมแพงอีก ยิ่งแล้วใหญ่เลย (ถ่ายยังราคาเกือบ ๆ 500 บาทได้) โดยภายในหนังสือสอนแนวคิดก่อน และก่อนจะอ่านเล่มนี้จริง ๆ ต้องมีพื้นหลายอย่างมาก่อนแล้วทั้ง Computationnal Thoery หรือพวก Regular Expression wi POSIX/Perl ไม่งั้น อ่านลำบากมาก เพราะด้านในนี้แทบจะหา code โปรแกรมน้อยมาก ส่วนใหญ่จะออกแนวสัญลักษณ์ Computationnal Thoery เยอะ แถมต้องแม่น Data Structure และ Programming Language พอสมควรอีก ถ้าใครคิดจะอ่านเล่มนี้ต้องหาหนังสือเล่มอื่น ๆ อ่านประกอบไปด้วยไม่งั้นนึกภาพตามไม่ออกจริง ๆ ขนาดเราว่าเราแม่น ๆ หลายวิชาแล้วนะ ยังอ่านแล้วอ่านอีก เพราะว่าอ่านยากจริง ๆ แต่ถ้าอ่านแรกเข้าใจนะ โห … สุด ๆ อ่านแล้วนี่ Optimize Code ที่เราเขียนห่วย ๆ ตอนปี 2-3 ได้สบาย ๆ เลย เหมาสำหรับคนที่ออกแนวชอบ Optimize Code หรือพวกชอบงานแนว ๆ Code Quality
เล่มต่อมาเป็น

Languages and Machines
An Introduction to the Theory of Computer Science (3rd Edition)



by Thomas A. Sudkamp

อันนี้ไม่พูดอะไรมาก ราคาไม่แพงพอ ๆ กับ Operating System (เพราะว่ามันเป็น International Edition มันเลยถูก ;) ) เอาไว้อ่านประกอบ Compilers ด้านบนนั้นแหละ แต่บางอย่างอาจขัดแย้งกันในบางเรื่องกับ Compilers คงต้องเลือก ๆ อ่านสักหน่อย แต่ถือว่าช่วยให้อ่านเจ้า Compilers ได้เยอะ

ปิดท้ายด้วย หนังสือสำหรับคนที่ชอบการออกแบบ Database

Database Management Systems

by Raghu Ramakrishnan and Johannes Gehrke

เล่มนี้เอาไว้เรียนวิชา Database และมันเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีในการทำ Database Tuning ด้วย คงไม่บรรยายอะไรมาก หาอ่านเอาแล้วกัน เล่มนี้ Concept แน่นดีมาก ๆ

ว่าง ๆ จะหาหนังสือดีมาแนะนำอีกนะ ไปก่อนหล่ะ แว็บบบบบบบ

อะไรๆ ก็ Live

ใน entry นี้ผมเขียน อยู่บน Microsoft Windows Live™ Writer Beta ซึ่งเพิ่งโหลดมาได้สดๆ ร้อน ๆ โหลได้ที่นี่ available for download today 

จริง ๆ โดยตัวของมันเองแล้วเอาไว้เขียน content บน Internet มากกว่าที่จะเอามาเขียนเป็นรายงาน ต่าง ๆ เพราะการจัดการนั้นขึ้นอยู่กับตัว blog app บนเว็บเสียส่วนใหญ่

รายละเอียดเพิ่มเติม http://windowslivewriter.spaces.live.com/

ซึ่งตัวซอฟต์แวร์หลาย ๆ ตัวของ Microsoft ในปัจจุบันเริ่มใช้ชื่อว่า Live มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผมมองว่าเป็นการทำ brand ให้มีความคล้ายคลึงกับ iLife ของทาง Apple โดยค่อย ๆ เปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ และซอฟต์แวร์ตัวเก่า ๆ หลาย ๆ ตัวให้มีประสิทธิภาพและความสวยงามมากขึ้น ดังที่ได้พบเจอใน Windows Live Messenger นั้นเอง

——–

ช่วงนี้มีสอบและปั่นงานอยู่ใครอยากติดตามเนื้อหาใหม่ ๆ อดใจรอสักหน่อยนะครับ เรามีบทความใหม่  ๆ มาให้อ่านกันมันแน่นอน ;)

o3 หนังสือแนว Open Source Enterprise Data Networking Magazine

พอดีว่านั่งหาข้อมูลทำรายงานไปเรื่อย ๆ ดันไปเจอของดีเข้า คือ o3 Magazine ( http://www.o3magazine.com/ ) ครับ ซึ่งตอนนี้ถึงเล่มที่ 4 แล้ว ลองโหลดเล่มเก่า ๆ และเล่มใหม่ล่าสุดมาอ่านดูนะ ความรู้แน่นมาก แถมฟรี ด้วย ;)