ความสามารถ “อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้” บน pantip.com มาแล้ว!

ส่วนตัวแล้วก็อยากได้ความสามารถนี้มานานนะ ตั้งแต่เรื่อง เมื่อผมเจอคนไข้ที่ (เชื่อว่า) ถูกควายธนูขวิด (ในฝรั่งเศส), โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส … ในฤดูใบไม้ผลิ และจนมาถึงกระทู้ล่าสุด +:+งานแต่งงานต้องยกเลิก…แต่ดิฉันกลับขอบคุณแฟนด้วยหัวใจ+:+ ส่วนใหญ่เป็นกระทู้ที่เจ้าของกระทู้เล่าเป็นตอนๆ ผ่านการตอบกระทู้ไปเรื่อยๆ (ส่วนตัวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่แก้ไขข้อมูลที่หัวกระทู้ซึ่งตนเองเป็นคนโพสเพื่อจะได้ไม่ต้องเลื่อนไล่อ่าน แต่บางคนก็ชินกับการตอบกระทู้ไปเรื่อยๆ แบบนี้มั้ง เลยต้องเป็นแบบนี้)

จนมีคนเขียน Pantip Filter ที่เป็น extension บน Chrome ช่วงวันที่ 1 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา

Extension Pantip Filter ช่วยคุณกรองข้อความ แสดงผลเฉพาะข้อความของเจ้าของกระทู้ ทำให้ไม่เสียเวลาอ่านกระทู้ยาวๆ

มาเมื่อวานช่วงเย็นๆ ผมก็ได้เจอความสามารถ “อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้” บนเว็บ pantip.com เรียบร้อย จบ! ไม่ต้องใช้ extension อะไรเพิ่มเติมอีกต่อไป คราวนี้ ดราม่าต่างๆ ก็อ่านกันฟินหล่ะครับ ;P

2013-07-02_202353

ทำเว็บบอร์ดมันไม่ยากหรอก มันยากที่มีคนเข้าหรือเปล่า?

จากกระทู้ เขียน Website แบบ pantip กี่บาทครับ ผมก็เลยเอามาตอบในนี้สักหน่อย คิดว่าน่าจะดีไว้เป็นชุดคำถามที่เอาไว้ตอบคำตอบคนที่อยากทำสักเล็กน้อยครับ

ทำเว็บบอร์ดมันไม่ยากหรอกครับ เอาของสำเร็จรูปมาลงก็ได้
1. จดโดเมน
2. หา hosting
3. ติดตั้งระบบสำเร็จรูป

ทำแค่ 3-4 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ซึ่งที่ผมพูดได้เพราะผมทำมาแล้ว ประสบการณ์ตรง แต่ปัญหาคือ “ทำอย่างไงให้คนเข้าแบบ pantip.com” เพราะ “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบ” แต่อยู่ที่ว่า “คนจะเข้าเว็บบอร์ดคุณทำไม” มากกว่า ถ้าตอบโจทย์คนได้ แล้วค่อยมาคิดว่าจะขยายระบบยังไงตอนเว็บบอร์ดคุณดังจน hosting โหลดหนักๆ มากๆ แล้วเจ้าของเค้าไล่ออกนั้นแหละค่อยว่ากันเรื่องขยายระบบ (ผมคิดว่าพอคนเริ่มเข้าเยอะ คงค่อยๆ คิดก็ได้ กว่าจะถึงขั้นนั้นน่าจะหลายเดือนอยู่)

จากประสบการณ์โดยตรง thaihi5.com เคยมียอดคนใช้วันละ 50,000 UIP ช่วงดังสุดๆ ยอดวิวกว่า 400,000 วิวต่อวัน ทำงานบนระบบเว็บบอร์ด SMF บน Server เพียงตัวเดียว (Server ใส้ในน่าจะ Dual Xeon, RAM 16GB, HDD RAID 0 มั้ง เพราะเช่าเค้าอยู่) ก็ทำงานได้ราบรื่นดี แต่ผมก็ต้องมานั่ง tuning ตัว SMF ต่างๆ เพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่อให้มันโหลดเครื่องน้อยลงด้วย และค่าเช่าต่อเดือนก็เลือดสาดพอสมควรเช่นกัน สุดท้ายก็อยู่แค่นั้น เพราะกระแส hi5 ในไทยลง จนตอนนี้ย้ายกลับมาใช้ระบบ shared hosting ที่ไม่ได้ราคาโหดแบบเดิม (ก็ของตัวเองเนี่ยแหละ ฮ่าๆๆๆ) แต่ถ้ากระแสยังอยู่คงต้องย้ายมาทำพวก cluster ต่อ Server หลายๆ ตัว ขยายกันไปเรื่อยๆ แต่รายได้ก็ได้ตามคนเข้า ไม่ได้ไส้แห้งแต่อย่างใด (คนเข้าเยอะ เดี่ยวโฆษณาก็ขอลงกันเองแหละครับ เชื่อผม) หรืออย่าง thaithinkpad.com กว่าจะมีคนเข้าเรื่อยๆ แบบที่ผมไม่ต้องไปนั่งโพสเนื้อหาเองในตอนนี้ ผมต้องลงแรงกับมัน เพื่อสร้างเนื้อหา สร้างสิ่งที่คนต้องการในตัวเว็บบอร์ดให้ได้มากพอที่คนจะเข้ามาอ่าน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ร้างครับ (ตอนนี้ก็เริ่มๆ ร้างแหละ เพราะไม่ค่อยมีอะไรใหม่)

สิ่งที่บอกด้านบนทั้งหมดคืออยากจะบอกว่า ระบบน่ะมันขยายได้ หามาใส่ได้ เขียนเพิ่มและพัฒนาได้ มีโฆษณามาลงและเอาเงินมาทุ่มกับมัน ทุกอย่างจบ แต่เนื้อหาต้องใช้เวลาและความทุ่มเท มีเนื้อหาที่แปลกใหม่ เข้าถึงง่าย เว็บอื่นๆ ไม่มี เราเป็นที่แรก ทุกคนนึกถึง เพราะคนเข้ามันซื้อมันสร้างกันไม่ได้หรอก กว่าจะได้กว่าจะเข้ามา มันต้องใช้เวลาและการสั่งสมครับ

ส่วนใครอยากรู้ว่าทำเว็บเค้าคิดราคา และวิธีคิดตอนรับงานเว็บมีแนวคิดที่ต้องเตรียมพร้อมก่อนทำยังไงกันบ้าง ลองดูครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไง? “สิ่งที่ควรจะมีในใบเสนอราคาตอนรับทำเว็บ”

DRM คำตอบของสื่อออนไลน์ หรือสร้างปัญหากับผู้ซื้อ ?

ผมรู้สึกว่าเดี่ยวนี้คนทำสื่อบางจำพวกเริ่มบ้าเข้าไปทุกที ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องป้องกันการ copy อะไรให้มากมายจน "คนซื้อที่เป็นลูกค้าของคุณจริง ๆ ต้องเดือดร้อน" เพราะผมซื้อแผ่นหนังมา กลับเจอโปรแกรมที่ทำตัวเหมือน malware ทำการโหลดตัวเองเข้าสู่ System แต่ดีที่ไหวตัวทัน terminate มันทัน แล้วไล่เก็บกวาดการทำงานแบบขยะ ๆ ของมันอีกครึ่งวัน ไม่งั้นคงซวยหนักกว่านี้ แล้วอยากจะบอกว่ามันไม่สนุกนะโว้ยยยยย ซื้อของแท้มา แต่กลับได้ผลของการกระทำที่จะปกป้องอะไรบ้่า ๆ บอ ๆ ของพวกคุณน่ะ คือคนซื้อของแท้ก็อยากจะดูในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่สามารถที่จะดูได้นะ ตอนนั้นเลยคิดว่า "เอาวะ ลองใน linux ซะเลย" จบครับ การป้องกันใช้ไม่ได้ผล ฮ่า …. ซวยไป copy โดยเอา DRM หรือระบบ Lock ซะเลย และตั้งแต่นั้นมา ถ้าแผ่นหนังแผ่นไหนบอกว่าห้ามใช้กับคอมฯ หรือมีข่าวว่าแผ่นไหนมีแบบนี้ แผ่นนั้นผมก็จะไม่ซื้อ ตรูรอซื้อ import ก็ได้ แพงกว่าแต่สบายใจ

คือผมเป็นพวกไม่ชอบ copy เท่าไหร่อยู่แล้ว (นับตั้งแต่เริ่มเขียนโปรแกรมออกขายก็เริ่มซื้อแต่ของแท้มา เข้าใจและเห็นใจครับ) อย่างมากก็ copy ไว้ 1 แผ่นสำหรับดูส่วนตัวเท่านั้น ส่วนแผ่นจริง จะไม่พยายามหยิบมาดูด้วยเหตุที่ว่ากลัวมันเป็นรอย และไม่อยากให้ใครมาจับด้วย แผ่นที่เรา copy มันจะพังช่างมัน แผ่นต้นฉบับยังอยู่สบายใจกว่า ซึ่งคนที่ทำแบบผมมีเยอะมาก เพราะว่าแผ่นแท้มันราคาไม่ใช่ถูก ๆ และที่ซื้อเพราะชื่นชอบ อยากสบับสนุนงานดี ๆ ต่อไป แต่มาเจอพวก Lock หรือปล่อย Malware นี่หมดอารมณ์ไปเลยเหมือนกัน

ซึ่งการป้องกันเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ผลหรอก ผมว่ามันยากกว่าการมาสอนและสร้างจิตสำนึกเสียอีก เรื่องแบบนี้มันต้องแก้ที่คน ไม่ใช่ไปแก้ที่ระบบ เดี่ยวนี้ซีดีเถื่อน ต่อไปก็ดีวีดีเถื่อน แล้วต่อๆ ไป บราๆๆๆๆ คือมันมีมาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว และในปัจจุบันดันมี Bittorrent ที่กระจายไฟล์มีเดียต่าง ๆ ได้ง่ายมาก ๆ เอาง่าย ๆ แค่คลิปวิดีโออื่อฉาวต่าง ๆ หลุดมาหรือเป็นข่าวคุณสามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ตาม Bitterrent Tracker ต่าง ๆ ได้ทั่วเว็บไทย ได้ไม่ยาก ในเวลาเพียง 5 นาที แล้วผมถามว่าถ้าสื่อมีเดียที่มี DRM หรือระบบ Lock ต่าง ๆ นา ๆ ถูกเจาะได้ใน คงใช้เวลาไม่นานในการกระจายตัวของไฟล์มีเดียเหล่านั้น

คำถามก็คือจะป้องกันอย่างไร ?

แล้วคุณมีอะไรจะเสียอีกเหรอ !!!! เพราะในตอนนี้คุณเสียส่วนแบ่งทางตลาดไปกับแผ่นผี ทั้ง ๆ ที่คุณก็บอกถึงคุณภาพและลดราคาลงไปแล้ว จริงไหมมมม แล้วเรื่องแบบนี้เราจำเป็นต้องป้องกันขนาดที่มานั่ง lock แผ่น บ้าบอ ขนาดทำให้ผู้ซื้อที่ซื้อของแท้จากคุณต้องเดือดร้อนด้วยหรือไงฟร่ะ …. ไม่เข้าใจ การป้องกันการคัดลอกยังไงก็ทำไม่ได้หรอก ถึงแม้ติด DRM มันแค่ชะลอไม่ให้กระจายตัวในตอนแรกแค่ 1 – 3 วันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับ DRM และกรรมวิธีในการแกะไฟล์มีเดีย เช่นไฟล์เพลง 1 เพลง เราสามารถคัดลอกเสียงภายในเพลงได้ด้วยการอัดเสียงธรรมดาได้ง่าย ๆ ไม่ยากเย็นและคุณภาพเสียงเท่าเดิม ได้ง่าย ๆ แผ่น Wave Out ของ Windows หรือ Audio Out ของระบบอื่น ๆ (เจ้า Wave Out คือการทำ Loop Back Audio Out เพื่อเข้าสู่ Line-in หรือ Mic โดยตรงโดยไม่ต้องใช้สายอะไร มันผ่านเข้าและออกผ่านในระบบปฎิบัติการและซอฟต์แวร์เท่านั้น ทำให้ไม่สูญเสียสัญญารบกวน) ซึ่งผมเคยทำแบบนี้กับรายการพวก MCOT.NET หลาย ๆ รายการที่ติด DRM ไม่ยอมให้แปลกเป็น mp3 มาแล้วหลายครั้ง รวมไปถึงไฟล์วีดีโอที่ใส่ DRM ก็สามารถแกะได้ด้วย Video Screen Capture ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเรื่องพวกนี้สามารถทำได้ แต่ต้องปรับแต่งการบันทึกดีๆ สักนิด ก็ได้คุณภาพเท่ากับที่ไฟล์วีดีโดที่ใส่ DRM มานั้นแสดงให้เราดู

จากที่ได้อธิบายไปแล้วนั้น เราไม่สามารถป้องกันการคัดลอก (copy) ได้เต็ม 100% เหมือนกับ มีคนป้องกันก็มีคนแกะ มีคนปิดก็มีคนเปิด ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นเอง

และเช่นเดียวกัน ผมขอพูดถึงการดาวน์โหลดเพลงลิขสิทธิ์ในไทยหน่อยแล้วกัน

ผมรู้สึกว่าเพลงที่ขายแบบออนไลน์นั้น น่าเป็นรูปแบบไฟล์ที่เป็น mp3 ไปเลย และรวมไปถึง CD Audio ที่ขายกันอยู่มีการแนบไฟล์ mp3 มากับแผ่นเลย ในระดับ bit rate ที่ประมาณ 192kbps – 320kbps (จะใช้ VBR เพื่อลดขนาดก็ได้ แล้วแต่จะเลือก) ซึ่งมันอาจจะทำให้คนทำคิดว่ามันจะช่วยป้องกันการ copy ได้หรือ ? ผมมองว่าถ้าคุณไม่แข่งที่คุณภาพ คุณก็ต้องแข่งที่ราคาด้วย ซึ่งราคาคุณก็แข่งแล้ว แต่คุณภาพหล่ะ โดยถึงแม้จะบอกว่า CD Audio มันจะมีคุณภาพดี แต่ …… ในขณะนี้มีคนฟังเพลงสัดส่วนเท่าไหร่ระหว่างแบบ CD Audio Player กับ Portable Media Player หล่ะ ซึ่งตอนนี้มือถือต่าง ๆ ก็เป็น Portable Media Player ทั้งนั้น การจะโหลดเพลงสักเพลงหนึ่ง รวมไปถึง RIP เพลงมาฟัง จาก CD Audio นั้น ต้องคนที่มีพื้นความรู้ด้านคอมฯ เพียงนิดหน่อยก็สามารถทำได้แล้ว แต่คุณภาพหล่ะ วัดกันที่ตรงไหน เพราะแผ่นที่เอามา RIP นั้นถ้ามีรอย ก็ทำให้คุณภาพเสียงนั้นลดลงได้ การที่คุณแถม mp3 ลงในแผ่นไปเลยกับแผ่นจริง มันทำให้คุณภาพที่แท้จริงของแผ่นดีขึ้น และนำไป copy ลงเครื่องต่าง ๆ ของผู้ใช้ได้ง่ายและได้คุณภาพที่ดีกว่ามา RIP เองแน่นอน และถ้าถ้าพูดถึงความสะดวกแล้ว Portable Media Player สะดวกกว่าทั้งในการพกพาเครื่องและสื่อบันทึกด้วย เพราะมันเก็บข้อมูลในรูปแบบไฟล์เพลงลงในเครืองแล้วพกพาไปได้ในจำนวนเพลงที่มีตั้งแต่เพลงเดียวไปจนถึง 20,000 เพลง ซึ่งเรายังสามารถจัดเพลงในรายการได้ว่าจะพังเพลงไหนก่อน รวมไปถึงแยกหมวดหมู่เพลงได้อีกด้วยทำให้สะดวกต่อการหา และพกพาอย่างมาก

แต่ปัญหาต่อมาคือการแจกจ่าย ผมมองว่าถึงคุณไม่ทำ ใช้ CD Audio ธรรมดาแบบที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ก็ขอยืมแผ่นกันไปๆ มาๆ อยู่แล้ว ในหมู่เพื่อน ๆ คุณคงไปบังคับไม่ได้ว่าคนอยากฟังต้องซื้อกันคงละแผ่น เอาง่าย ๆ ในหนึ่งครัวเรือน จะมี CD เพลงของอัลบั้ม X เพียงแค่ 1 แผ่นเท่านั้น แต่มีคนฟังอยู่ 5 คน และถ้าคนนี้อยากฟังก็ต้องไปซื้อมาใหม่หรือว่า copy แผ่นใหม่ขึ้นมา อันไหนง่ายกว่ากัน อย่าลืมว่าครอบครัว หรือหมู่เพื่อนเดียวกันคงไม่อยากเสียเงินหลายรอบ ในเมื่อก็มีอยู่แล้ว จริงไหม ยังไงก็ป้องกันไม่ได้ในส่วนหนึ่งอยู่แล้ว การทำให้สามารถ copy ในไฟล์ mp3 ได้นั้นน่าจะดีกว่าในหลายๆ ส่วน เพราะยังไง CD Audio มันก็ copy ได้อยู่ดี (ยิ่งใช้เครื่อง Duplicate ด้วยยิ่งเร็วใหญ่)

ต่อมาในเรื่องของออนไลน์มีเดียนั้นผมมองว่าน่าจะทำได้แล้ว และไม่สมควรที่จะใช้ DRM อย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่าในตลาดเครื่องเล่น Portable Media Player มีสัดส่วนเท่าไหนที่รองรับ DRM ที่คุณใส่มากับเพลงที่โหลดมา อย่างเช่น wma ที่แนบ DRM ของ Microsoft นั้น ก็ใช้ได้กับเครื่องเล่นบางรุ่นที่รองรับ WMA DRM ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ใช้กันอยู่ในวงจำกัดอยู่ รวมไปถึง ACC DRM ของ Apple เอง (บริษัทผู้ผลิต iPod) ซึ่งก็มีแต่เครือง iPod ที่เล่นได้เท่านั้น รวมไปถึงการลงทุนกับระบบ DRM ของแต่ละค่ายนั้นก็เป็นเงินสูงมาก เพราะเราต้องพูดถึงค่าลิขสิทธิ์การใช้ระบบ DRM ของค่ายนั้น ๆ ในหลักหลายร้อยล้านบาทแน่ ๆ ลองคิดดูว่าคุ้มหรือไม่กับการลงทุนลงไป แล้วใช้ได้กับคนกลุ่มน้อย ๆ กลุ่มหนึ่งที่มีเครื่องรองรับได้ไม่เท่าไหร่ หรือจะบอกว่าเอาไว้ฟังกับคอมฯ ที่ลงระบบ Windows + Windows Media Player 9  ขึ้นไปที่ติดตั้ง DRM ด้วย ซึ่งมันก็ดูจะแคบลงไปอีก เพราะมันคัดลอกลงใน Portable Media Player ลำบากอีก หรือมีน้อยเครื่องที่รองรับในตลาด ถามว่ามันเป็นผลดีไหมกับการลงทุนไปหลายร้อยล้าน แต่ใช้เวลาคืนทุนนานนับปี

แล้วในเรื่องของการจัดจำหน่ายเพลงออนไลน์นั้น ผมมองว่าการจัดจำหน่ายเพลงนั้น จากประเทศต้นแบบอย่างอเมริกานั้นจะมีการจัดจำหน่ายเพลงเป็นรายเพลงในราคาหนึ่ง และเหมาอัลบั้มอีกราคาหนึ่ง โดยที่พิเศษกว่านั้นคือ เพลงใดที่เป็น single ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว จะมีให้โหลดทันที โดยไม่ต้องรอให้เพลงที่ศิลปินนั้นมีเพลงครบอัลบั้มก่อน แล้วจึงขาย มันทำให้เกิดการสร้างโอกาสของการแข่งขันกับแผ่นผีได้มาก เพราะว่าเพลงที่ออกจะมีได้ทันต่อความต้องการของลูกค้าได้ทันที เช่น วันนี้เพลงจากศิลปินดังจะออก single ทางวิทยุเป็นวันแรกในเวลา 9.00 น. โดยในตอนนั้นทางเว็บค่ายผู้ผลิตเพลงก็เปิดให้ซื้อได้ในเวลา 9.00 น. โดยมีเพลงดังกล่าวเปิดให้สามารถซื้อและดาวน์โหลดได้ทันทีหลังจากที่เพลงดังกล่าวนั้นมีคนฟังจบ โดยมันเป็นการสร้างโอกาสก่อนที่แผ่นผีจะออกมาในอาทิตย์หน้า และคุณภาพเสียงดีกว่าที่แผ่นผีทำด้วย เพราะยังไงแผ่นผีมันก็คงต้องอัดจากวิทยุต่าง ๆ มากกว่าที่จะได้จากต้นฉบับจริง ๆ (นี่คือเรื่องจริงที่ว่าเพลง Single ในแผ่นผีต่าง ๆ นั้นส่วนใหญ่กว่า 95% เป็นเพลงที่อัดจากวิทยุทั้งสิ้น ส่วน 5% มักเป็นเพลงที่หลุดมาจากห้องอัดเอง หรือสถานีวิทยุซึ่งไม่ขอยืนยัน เพราะเป็นข่าวในวงคนฟังเพลงแผ่นผีเค้าเล่ามาอีกที) ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสที่ดี รวมไปถึงเว็บโหลด ringtone ต่าง ๆ ก็มีให้โหลดพร้อมเสร็จ ผมมว่ามันเป็นการสร้างโอกาสที่ใช้ทุนต่ำกว่า และได้ผลตอบรับที่ดีกว่าอีกด้วย ซึ่งยังไงเพลงที่ได้ไปมันก็เร็วกว่าแผ่นผี ในราคาที่น่าจะพอจับได้ที่เพลงละประมาณ 15 – 20 บาท (แล้วลดราคาพวก Rintone ต่าง ๆ ลงเหลือเพลงละ 5 – 10 บาทก็ได้) ซึ่งถ้าราคา 15 บาท/เพลง ถ้าอัลบั้มมี 10 เพลง ซื้อเหมายกอัลบั้มก็เหลือ 99 ก็ได้ ยังไงก็ไม่มีต้นทุนค่าแพ็คเก็จ หรือจัดจำหน่ายอยู่แล้วยังไงก็ได้กำไรมากกว่าอยู่แล้ว (ค่าจัดจำหน่ายต่าง ๆ และค่าแพ็คเก็จต่าง ๆ ก็กินส่วนราคาแผ่นไปแล้วน่าจะประมาณ 40% – 75% ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน อันนี้ผมประมาณเอาตามการคาดเดา จากที่เคยขายของมา) ทำให้น่าจะได้กำไรมากขึ้นด้วย แถมมีคนอยากโหลดเพลงใหม่ ๆ ก่อนใครอยู่แล้ว จริงไหม ส่วนมันจะ copy ไปให้คนอื่นหรือเปล่า มันก็อีกเรื่อง เพราะที่ทำแบบนี้เพราะเราต้องตีตลาดแผ่นผีที่คุณบอกว่าคุณภาพแย่กว่าของคุณ โดยราคาที่คุณให้นั้นคุ้มค่ากว่าในเรื่องของเพลงที่สดใหม่กว่า คุณภาพดีกว่า รวดเร็วกว่า แถมด้วยค้นหาได้ง่ายกว่าอีกด้วย

อีกประเด็นคือ เพลงเก่า อย่าลืมว่าคนอยากได้เพลงเก่า ที่เพราะ ๆ ดี ๆ เยอะมากนะครับ การนำเพลงเก่า ๆ มาขายในรูปแบบออนไลน์น่าจะสร้างมูลค่าและตัวเงินได้มากขึ้นให้กับบริษัทเพลง เพราะว่าเพลงเก่าเหล่านี้ส่วนใหญ่ร้านขายเพลงไม่ค่อยเก็บไว้ มักส่งคืนหรือขายลดราคาไปหมด จนหาซื้อไม่ได้แล้ว การเอามาขายในรูปแบบที่บอกเป็นการตีตลาดเพลงเก่าของแผ่นผีได้ดีมาก เพราะแผ่นผีบางครั้งก็หาเพลงเหล่านั้นไม่ได้ด้วย

ซึ่งถ้าจะทำแนะนำว่าระบบการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์นั้นสมควรจะมีการทำระบบสารบัญ และระบบค้นหาที่ดีเพื่อการค้นหาเพลงที่ง่ายและรวดเร็วทำให้การซื้อขายเพลงราบรื่นมากขึ้นอีกด้วย

ต่อมาคือเรื่องของบริการเสริมในกรณีที่ซื้อแบบออนไลน์ อย่างผมอยากซื้อเพลงแบบเลือกได้แล้วสั่งอัดลง CD แล้วเอาเพลงต่าง ๆ ที่ได้นั้นเอามารวมเป็นอัลบั้มพิเศษ แล้วสั่งซื้อเป็น CD ของขวัญอะไรพวกนี้ แล้วมีปกเพลงที่เราเลือกเองได้ อย่างการใส่รูปตัวเอง หรือรูปแฟน อะไรพวกนี้ลงไปได้ พร้อมสกีนแผ่นให้ด้วย แล้วมีเลือกแพ็คเก็จดี ๆ สวย ๆ หรือมีส่วนของการเพิ่มรายเซ็นนักร้องคนนั้นใส่ไปด้วย (ยังไงแผ่นผีมันก็ไปขอให้เซ็นให้ไม่ได้อยู่แล้ว) น่าจะทำให้มูลค่าของสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น (อาจจะเพิ่มราคาตาม option ที่เลือกไป ตั้งแต่ 150 – 300บาท ขึ้นอยู่กับ option ที่เลือกว่ามากแค่ไหน) ทำให้ดูมันเป็นอัลบั้มเพลงที่คน ๆ นั้นได้เลือกจริง ๆ เพราะเป็นการเลือกเพลงเองของผู้ใช้ซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าทำแบบนี้ดี น่าจะทำให้การซื้อขายเพลงแบบออนไลน์ทำรายได้ให้กับศิลปินเพิ่มมากขึ้น แถมการทำอัลบั้มพิเศษเหล่านี้ยังเป็นการทำวิจัยตลาดไปในตัวว่าคนฟังชอบแนวไหนบ้าง รูปแบบแพ็คเก็จแบบไหนที่คนชอบ โดยไม่ต้องมาให้นักวิจัยตลาดออกไปหาข้อมูลเราสามารถหาได้แบบออนไลน์ได้เลย ซึ่งดีกว่ามาก ๆ แถมข้อมูลเที่ยงตรงอีกต่างหาก

คราวนี้คนทำเพลงก็ไม่ต้องทำเพลงให้ครบอัลบั้ม ทำออกมา 1-2 เพลงก็เอาออกขายได้เลย แล้วคนซื้อเป็นคนตัดสินว่าเพลงไหนดีไม่ดี รู้กันไปเลย ไม่ใช่มัดมือชกซื้อให้ครบทั้งอัลบั้ม ฟังอยู่ 2 เพลงอะไรแบบนี้ ซึ่งทำออกมาแล้วขายเลย มันทำให้รายได้ถึงตัวนักร้องและค่ายเพลงได้รวดเร็วด้วย

ตอนนี้คนซื้อต้องการทางเลือกของ format MP3 ที่มากกว่าแผ่นผี (อย่าง VampireS Records ฮ่า …… ) ที่มีทั้งคุณภาพและราคาที่ดี รวมไปถึงทันความต้องการของผู้บริโภคที่จะต้องการเอามาฟัง

ถ้าจะให้ดีใส่ Art Work ลงใน Meta Data ของ MP3 หรือมี Art Work ให้โหลดด้วยก็จะดีนะ ;) เพราะผมฟังใน iPod nano ครับ ไม่มี Art Work มันดูเหมือนกับเพลงไม่มีชีวิตยังไงไม่่รู้ ( -_-‘ ซะงั้นอ่ะ )

อ่านเรื่องราวคล้าย ๆ ความคิดผมได้ที่ ถึงคนทำเพลงทุกท่าน ผมมีอะไรจะบอก เรื่อง MP3 และการละเมิดฯ

อ่านความคิดเห็นอื่น ๆ ได้ที่ PANTIP.COM : A4635984 ถึงคนทำเพลงทุกท่าน ผมมีอะไรจะบอก เรื่อง MP3 และการละเมิดฯ [ดนตรี]

หลักการเขียนโปรแกรม 50 ข้อ

เห็นว่าน่าสนใจและดีมาก ๆ เลยนำมาลง (ช่วงนี้รู้สึกว่าตูไม่ได้เขียนเองเท่าไหร่เลยนะ -_-")

  1. โปรแกรมแบบพอเพียง (ทำอะไรให้เล็กที่สุดเท่าที่เป็นไปได้)
  2. ทำสิ่งธรรมดาให้ง่าย ทำสิ่งยากให้เป็นไปได้
  3. จงโปรแกรมโดยนึกว่าจะมีคนมาทำต่ออย่างแน่นอน
  4. ระเบียบ กฎข้อบังคับ เชื่อถือไม่ได้ถ้ามีเพียงหนึ่งโมดูลไม่ปฏิบัติตาม
  5. ตัดสินใจให้ดีระหว่างความชัดเจน (Clearance) กับการขยายได้ (Extensibility)
  6. อย่าเชื่อมั่น Output จากโมดูลอื่น ถึงแม้เราจะเป็นคนเขียนเอง
  7. ถ้าคนเขียนยังเข้าใจได้ยาก แล้วคนอ่านจะเข้าใจได้ยากกว่าแค่ไหน
  8. ค้นหาข้อมูลสามวันแล้วทำหนึ่งวัน หรือจะทำสามวันแล้วแก้บั๊กตลอดไป
  9. จงสร้างเครื่องมือ ก่อนทำงาน
  10. อย่าโทษโมดูลอื่นก่อน โดยเฉพาะถ้าโมดูลอื่นเป็น OS และ Compiler
  11. พยายามทำตามกฎ แต่ถ้ามีข้อยกเว้น ต้องมีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ประกาศและตะโกนให้ดังที่สุด
  12. High Cohesion Loose Coupling (ยึดเกาะให้สูงสุดในโมดูล และเกาะเกี่ยวกับโมดูลอื่นให้น้อยที่สุด)
  13. ให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกันยิ่งมากอยู่ไกล้กันมากที่สุด
  14. อย่าเชื่อโดยไม่พิสูจน์
  15. อย่าลองทำแล้วคอมไพล์ดู ถ้าเราไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์อะไรไว้ (อย่างเช่นปัญหา index off by one)
  16. จงกระจายความรู้เพราะนั่นคือการทำ Unit Test ระดับล่างสุด (ระดับความคิด)
  17. อย่าเอาทุกอย่างใส่ใน UI เพราะ UI คือส่วนที่ Unit Test ได้ยาก
  18. ทั้งโปรเจ็กต์ควรไปในทางเดียวกันมากที่สุด (Consistency)
  19. ถ้ามีสิ่งที่ดีอยู่แล้ว จงใช้มัน อย่าเขียนเอง ถ้าจำเป็นต้องเขียนเอง ให้ศึกษาจากข้อผิดพลาดในอดีตก่อน
  20. อย่ามั่นใจเอาโค้ดไปใช้จนกว่าจะ Test อย่างเพียงพอ
  21. เอาโค้ดที่ Test ไว้ที่เดียวกันกับโค้ดที่ถูก Test เสมอ
  22. ทุกครั้งที่แก้ไขโค้ดให้รัน Unit Test ทุกครั้ง
  23. จงใช้ Unit Test แต่อย่าเชื่อมั่นทุกอย่างใน Unit Test เพราะ Unit Test ก็ผิดได้
  24. ถ้าต้องทำอะไรที่ซ้ำกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ก็เพียงพอแล้วที่จะแยกโค้ดส่วนนั้นออก
  25. ทำให้ใช้งานได้ก่อน แล้วค่อย Optimize และถ้าไม่จำเป็น อย่า Optimize
  26. ยิ่งประสิทธิภาพเพิ่ม ความเข้าใจง่ายจะลดลง
  27. ใช้ Design Pattern ที่เป็นที่รู้จักจะได้คุยกับใครได้รู้เรื่อง
  28. อย่าเก็บไว้ทำทีหลัง ถ้ายังไงก็ต้องทำ
  29. Multithreading ไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่มันมาพร้อมกับ Concurrency, Deadlock, Isolation Level, Hard to Debug, Undeterministic Errors
  30. จงทำอย่างโจ่งแจ้ง
  31. อย่าเพิ่มเทคโนโลยีโดยไม่จำเป็น เพราะนั่นทำให้โปรแกรมเมอร์ต้องวุ่นวายมากขึ้น
  32. จงทำโปรเจ็กต์ โดยคิดว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ
  33. อย่าย่อชื่อตัวแปรถ้าไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้ IDE มันช่วยขึ้นเยอะแล้ว ไม่ต้องพิมพ์เอง แค่ dot มันก็ขึ้นมาให้เลือก
  34. อย่าใช้ i, j, k, result, index, name, param เป็นชื่อตัวแปร
  35. ทำโค้ดที่ต้องสื่อสารผ่านเครือข่ายให้คุยกันน้อยที่สุด
  36. แบ่งแยกดีๆ ระหว่าง Exception Message ในแต่ละเลเยอร์ ว่าต้องการบอกผู้ใช้ หรือ บอกโปรแกรมเมอร์
  37. ที่ระดับ UI ต้องมี Catch All Exceptions เสมอ เพื่อกรอง Exception ที่ลืมดักจับ
  38. ระวังคอลัมน์ Allow Null ใน Database ให้ดี ค่ามัน Convert ไม่ได้
  39. อย่าลืมว่า Database เป็น Global Variable ประเภทหนึ่ง แต่ละโปรแกรมที่ติดต่อเปรียบเหมือน Multithreading ดังนั้นกฎของ Multithreading ต้องกระทำเมื่อทำงานกับ Database
  40. ระวังอย่าให้ logic if then else ซ้อนกันมากๆ เพราะสมองคนไม่ใช่ CPU จินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันอยู่ตรงไหนเวลา Debug (ถ้ามากกว่าสามชั้นก็ลองคิดใหม่ดูว่าเขียนแบบอื่นได้มั้ย)
  41. ระวังอย่าให้ลูปซ้อนกันมากๆ ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอย่างเดียว เวลา Debug เราคิดตามมันไม่ได้ (ถ้าเกินสามชั้นก็ไม่ไหวแล้ว)
  42. อย่าใช้ Magic Number ในโค้ด เช่น if( controlingValue == 4 ) เปลี่ยนไปใช้ Enum ดีกว่า เป็น if( controlingValue == ControllingState.NORMAL ) เข้าใจง่ายกว่ามั้ย
  43. ถ้าจะเปรียบเทียบ String ให้ Trim ซ้ายขวาก่อนเสมอ
  44. คิดหลายๆ ครั้งก่อนใช้ Trigger
  45. โปรแกรมเมอร์คือห่วงโซ่สุดท้ายของมลพิษทางความซับซ้อน ดังนั้นหา Project Leader ดีๆ แล้วกัน
  46. มนุษย์ฉลาดกว่าคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมก็คือการสอนให้คอมพิวเตอร์ฉลาดได้เหมือนเรา (มนุษย์ฉลาดกว่าคอมพิวเตอร์จริงๆ นะ)
  47. จงควบคุมคอม มิใช่ให้คอมควบคุมเรา เราต้องสั่งให้คอมทำงาน ไม่ใช่ให้เราทำงานตามคอมสั่ง
  48. อย่าปล่อยให้ข้อจำกัดของคอม มาจำกัดความคิดของเรา (คอมไม่ดีเปลี่ยนเครื่องเลย :-D)
  49. ยอมรับความคิดของผู้อื่น แต่อย่าออกจากกรอบของตนเอง
  50. หมั่น Save โปรแกรมไว้อย่าสม่ำเสมอ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส Save (จะให้ดี Save เป็นแต่ละ Version เลย)


อ้างอิง

ความเป็นไปของยี่ห้อ HardDisk ต่าง ๆ

พอดีว่าอ่านแล้วน่าสนใจมากเลยนำมาบอกต่อครับ

อ้างอิงจาก http://www.pantip.com/tech/coffee/topic/JX1985579/JX1985579.html


ในสมัยก่อน มี HardDisk ยี่ห้อ Seagate,Maxtor,Quantum,IBM,Corner,Wetern Digital และ NEC

ซึ่งต้อนนั้นยี่ห้อ Seagate ขายดีที่สุด และ IBM ขายได้น้อยที่สุด

ในยุคต่อมา Seagate ได้ซื้อกิจการ HardDisk ของ Corner ทำให้ไม่มียี่ห้อ Corner ต่อไปแล้ว

ต่อมา บริษัท LG ได้ควบกิจการ HardDisk ของ Quantum
ทำให้ตอนนั้น HardDisk ของ Quantum มียี่ห้อว่า LG- Quantum

ในปีต่อมา บริษัท LG ได้หยุดควบ HardDisk ของ Quantum ทำให้ HardDisk มียี่ห้อ Quantum เหมือนเดิม

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ NEC ก็ได้เลิกกิจการแผนก HardDisk และเลิกผลิต HardDisk อีกต่อไป เพราะขายไม่ค่อยดี และได้กำไร น้อย

ต่อมามี HardDisk ยี่ห้อใหม่ๆ ออกมา คือ Fujitsu และSamsung
ตอนนั้นยังขายไม่ค่อยออกเท่าไร่

ต่อมา บริษัท HITACHI ได้เข้า TakeOver HardDisk ยี่ห้อ IBM ทำให้ HardDisk ยี่ห้อ IBM ได้เปลี่ยนเป็น ยี่ห้อ HITACHI และ HITACHI เป็นผู้ผลิต HardDisk เพียงแต่ผู้เดียว แต่ยังใช้โรงงานและเทคโนโลยีของ IBM อยู่

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ Samsung ขายดีมากขึ้น เทน้ำเทท่า ทำให้ Samsung ผลิต HardDisk ต่อไป

ต่อมามี HardDisk ยี่ห้อ TOSHIBA ออกมาแต่มักจะทำแบบ Notebook มากกว่าแบบ Desktop PC

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ Fujitsu แบบ Desktop PC ขายไม่ได้ตามเป้า แต่ในขนาดเดียวกันมี Notebook หลายยี่ห้อ ยังใช้ HardDisk ของ Fujitsu อยู่ Fujitsu จึงตัดสินใจยกเลิกผลิต HardDisk แบบ Desktop PC แล้ว แต่ยังคงผลิต HardDisk สำหรับ Notebook ต่อไป

ต่อมา HardDisk ยี่ห้อ Maxtor ได้ควบกิจการกับ Quantum เรียบร้อยแล้ว และให้ Maxtor ผลิต HardDisk สำหรับ Desktop PC และ Notebook และให้ Quantum ผลิต HardDisk สำหรับ Server

ปัจจุบัน HardDisk ยี่ห้อ Seagate ซื้อกิจการ HardDisk ยี่ห้อ Maxtor แต่จะเป็นยังไร เดียวมาเล่าสู่กันฟัง