ใครว่า H/D Notebook 7200rpm กินไฟกว่า 5400rpm !

สิ่งที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดเสมอ ๆ คือการเปลี่ยน H/D Notebook จาก 5400rpm มาใช้ 7200rpm ทำให้เราสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นในช่วงที่เราใช้ Battery แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ วันนี้เรามาดูกัน

P1090801a

ด้านบนเป็น H/D SATA Toshiba 100GB 5400rpm ที่แกะมาจาก Lenovo ThinkPad Z61t ใช้ไฟที่ DC+5V และใช้กระแสไฟที่ 1.0A

 P1000642

ด้านบนเป็น H/D Hitachi Travelstar PATA 40GB 4200rpm ที่แกะมาจาก IBM ThinkPad R40 ใช้ไฟที่ DC+5V และใช้กระแสไฟที่ 1.0A

 P1000840

ด้านบน Seagate Momemtus 5400.3 PATA ที่ซื้อมาใช้แทน H/D 40GB 4200rpm ของ ThinkPad R40 ตอนที่เรียนอยู่ใช้ไฟที่ DC+5V และกระแสไฟที่ 0.487A

image

(รูปจาก http://behavior.jp/index.php?e=716 ขี้เกียจแกะออกมาถ่ายรูป ;P )

ด้านบน Hitachi SATA 250GB 5400rpm (HTS542525K9SA00) ตัวนี้ใช้ DC+5V ใช้กระแสไฟ 0.7A ตัวนี้ซื้อมาแทนตัว H/D เก่าของ ThinkPad Z61t ที่เป็น Fujitsu 80GB 5400rpm  (ตัวนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)

 DSC_5462

ตัวสุดท้ายนี้ WD Scorpio Black SATA 320 GB 7200rpm (WD3200BEKT) ตัวนี้ใช้ DC+5V ใช้กระแสไฟเพียง 0.55A เท่านั้น

จะเห็นว่าตัว H/D 7200rpm ของ WD Scorpio Black กินไฟน้อยกว่าอย่าง Hitachi SATA 250GB 5400rpm กว่า 20% ครับ คราวนี้เวลาดูว่า H/D ตัวไหนกินไฟ ไม่กินไฟ คงดูที่ rpm ไม่ได้แล้วครับ คงต้องดูใน Datasheet เอาอีกทีว่ามันกินไฟเท่าไหร่กันแน่ครับ ;)

ทำความสะอาดกระเป๋า Notebook การดูแลภายในกระเป๋า

จริงๆ ตอนนี้ ผมซื้อมา 3 ปีแล้วยังไม่ซักเลย -_-" อย่างมากภายนอกก็เช็ดฝุ่นต่าง ๆ กับผ้าที่มีน้ำหมาดๆ แล้วก็ตากแดด ส่วนด้านในไม่เคยเช็ด ถ้าไม่มีอะไรหกหรือมีคราบขนม แต่ก็ไม่เคยเช็ดเพราะไม่มีหกใส่ (จริงๆ ไม่เคยใส่พวกอาหารไว้ในกระเป๋าอยู่แล้ว กลัวมดมันเข้าไปด้านในกระเป๋าแล้วเครื่องพัง) และการตากแดดเป็นการป้องกันเชื้อราด้วยครับ ภายในกระเป๋าจะมีซองดูดความชื้น ในส่วนที่ใส่เอกสาร และเครื่อง Notebook ป้องกันเชื่อรา และความชื้นที่จะไปโดนเอกสารและตัวเครื่องครับ ซองดูดความชื้นจะเอาไปตากแดด ทุกอาทิตย์ และเก็บทิ้งทุกเดือน จริงๆ คิดว่าจะซักเหมือนกัน แต่ว่ามันหาเครื่องซักไม่ได้ แบบที่บ้านมีทั้งเครื่องแบบฝาหน้า และฝาด้านบน ทั้งสองแบบใส่กระเป๋าไม่ได้ (จริงๆ ไม่ได้คิดจะซักเครื่อง หุๆๆ แต่บอกไว้ก่อน) จะซักเองก็ไม่ไหว กลัวมีคราบ เพราะว่าเรื่องฟองน้ำที่ติดกับกระเป๋ามันกันน้ำอ่ะ ซักไปมันจะมีประโยชน์อะไร -_-" นี่เคยแบกกระเป๋า Notebook ลุยฝนมาแล้ว ด้านในมันยังไม่เปี้ยกเลย ไอ้เราก็คิดไว้ว่าส่วนด้านในใส่น้ำลงไปน้ำมันก็คงไม่ทะลุออกมาเหมือนกัน -_-" งี้ก็ไม่ต้องซัก เช็ดอย่างเดียวพอ ฮ่า ……

วิธีการเช็คเครื่อง Notebook ก่อนจ่ายเงิน และออกจากร้าน

ปรับแต่แก้ไขเพิ่มเติม June 14th, 2008-3:53 pm at 3:53 pm

จากกระทู้ พอดีอ่านกระทู้แล้วทำสรุปวิธีเช็คเครื่องมาให้ ซึ่งเป็นการแนะนำการตรวจสอบตัวเครื่อง Laptop (Computer Notebook) ก่อนออกจากร้านค้า ซึ่งแนะนำได้ดีมาก เลยนำมาเผนแพร่ต่อ ๆ กันครับ


คำแนะนำด้านล่างเป็นเพียงคำแนะนำส่วนตัวเท่านั้น ไม่ต้องทำตามก็ได้ และไม่มีการรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น (เช่น เช็คถึงข้อb7แล้วเจ้าของร้าไล่ออกจากร้าน หรือทำเครื่องหล่นตอนทำข้อ c7)

A. สิ่งที่ต้องเตรียมไป

  • a1. โปรแกรม BenchMark
  • a2. โปรแกรมเช็ค DeadPixel
  • a3. Flash Drive
  • a4. Bluetooth device เช่น มือถือ
  • a5. DVD-RW ที่เขียนข้อมูลไปบางส่วนเช่น ไฟล์เพลง คลิ๊ปหนัง เป็นต้น
  • a6. Mem card และ หูฟัง
  • a7. เงิน (อันนี้สำคัญมาก)


B. การตรวจเช็คโน๊ตบุคตอนซื้อ

  • b1. คุยเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าเช่น สเปก เงื่อนไขการรับประกัน (กี่ปี ประกันส่วนไหนบ้าง ประกัน Dead Pixel หรือไม่ยังไง การซื้อประกันเพิ่ม ), การเพิ่ม RAM, เงื่อนไขการชำระเงิน เป็นต้น กับผู้ขายเพื่อเป็นการยืนยันอีกครั้ง
  • b2. ห้ามจ่ายตังค์หรือให้หลักฐานใด หรือยังไม่ให้ผู้ขายออกหลักฐานการซื้อเด็ดขาด เพื่อเป็นการปลอดข้อผูกมัด จนกว่าจะผ่านข้อ b9
  • b2. ตรวจอุปกรณ์หลักครับ ที่ชาร์จ CD-Driver กระเป๋า (บางยี่ห้อไม่แถมนะ ดูให้ดี ๆ) คู่มือ ใบรับประกัน ใบชิงโชค และอื่น ๆ ที่พึงจะมีให้ครบถ้วน (ในคู่มือมีบอกว่าในกล่องควรจะมีอะไรบ้าง อ่านซะด้วย)
  • b3. ดูรูปลักษณ์ภายนอกครับ มีรอยบุบ ถลอกหรือไม่ น๊อตสกรู มีรอยเหมือนถูกเปิดsingมาหรือเปล่า Void ครบ (ประกันเครื่อง จอกี่ปีแบบไหน) และ แปะถูกที่หรือไม่ ทั้งตัวเครื่องและที่ Accessories อ้อ อย่าลืมพลิกดูสติกเกอร์ Serial ที่ใต้เครื่องด้วยหละว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ขาดหรือเรือนนะ และดูว่าตรงกะที่กล่องหรือไม่ แล้วจดไว้ก็ดี
  • b4. ถามเลยว่า ถ้าเอากลับบ้านไปแล้ว เครื่องมีปัญหาภายใน 7 วัน เอามาแล้วเปลี่ยนตัวใหม่ให้ได้หรือไม่ ( ซึ่งควรจะเปลี่ยนให้ได้ )
  • b5. ถ้าต้องการเพิ่ม Ram ให้ร้านเค้าเพิ่มให้เลย (จะซื้อกับร้านหรือเอามาเองก็ได้ถ้าเค้ายอม)
  • b6. ให้เขาลง Windows ให้เรียบร้อย พร้อมลงไดร์เวอร์ให้ครบ เพื่อทดสอบ (ถ้าเครื่องมี OEM มาให้แล้วไม่น่ามีปัญหาตรงนี้ แต่ถ้าไม่มีคงต้องต่อลองกันต่อไปในชั้นนึง เพราะบางร้านไม่มีนโยบายในส่วนนี้ ต้องทำใจ และเข้าใจเค้าด้วย เพราะว่าลิขสิทธิ์ช่วงนี้กำลังแรงครับ ซื้อเครื่อง NO OS มาก็เอาแผ่นไปด้วยแล้วกันครับ ถือเป็นความรับผิดชอบของเรา ไม่ใช่ทางร้าน จำไว้ให้ดีครับเรื่องนี้)
  • b7. เสียบสายชาร์จเพื่อเป็นการทดสอบที่ชาร์จไปในตัว แล้วใช้โปรแกรมทดสอบ dead pixel หน้าจอ ติดตั้งโปรแกรม BenckMark เช่น Sisoft-Sandra (เวอร์ชั่นใหม่หน่อยนะเดี่ยวไม่รู้จักตัวอุปกรณ์) แล้วเช็ค Spec ว่าถูกต้องตามรายการหรือไม่ และต้องเห็น RAM ที่เพิ่มเข้าไปด้วย ถึงตอนนี้ก็ครึ่งทางแล้วนะ เตรียมเสียตังค์ได้เลย บางครั้ง RAM ไม่ครบ หายไปนิดหน่อย ต้องดูว่า VGA มาเอา RAM ไปใช้เป็น VRAM ด้วยหรือเปล่าด้วย อย่าเพิ่งโวยวายไป อย่าง Intel VGA บางรุ่นแชร์ RAM แปรผันตรงตามจำนวนความจุ RAM ที่ใส่เิพิ่มไป บางรุ่นแชร์ตามการใช้งานจริงในตอนนั้น ดูให้ดีครับ
  • b8. ถอดสายชาร์จออก แล้วลองเล่นดังนี้
  • b8.1 เปิด Bluetooth กับ WiFi พร้อมกัน เครื่องต้องไม่แฮงค์ และไม่กวนเข้าจอภาพ
  • b8.2 ลองเล่น Net ผ่าน WiFi ดู
  • b8.3 ลองเล่น Bluetooth กะมือถือดู
  • b8.4 ลองปรับค่าต่างๆดู เช่น Brightness Contrast เป็นต้น แล้วดูว่าจอผิดปกติหรือไม่
  • b8.5 ลองให้อ่านไฟล์จาก DVD/CD ที่เตรียมไปดู เช่น เปิดหนังที่เตรียมไปจากแผ่นโดยตรง แล้ว copy ไฟล์นั้นลงเครื่องไว้
  • b8.6 ลองลบ DVD-RW และเขียนไฟล์ที่copyไว้กลับเข้าแผ่นและอ่านไฟล์ที่เขียนอีกครั้ง(เหมือนข้อ b8.4) ในข้อนี้เฉพาะเครื่องที่มี Drive DVD-RW นะครับ
  • b8.7 ลองอื่นๆ ได้แก่ FlashDrive MemCard Mouseที่แถม ลำโพง หูฟัง
  • b8.8 ปุ่ม Keyboard ต่างโดยทดสอบกับโปรแกรม Notepad ก็ได้ (สามารถทำระหว่างรอเขียน DVD ในข้อ b8.6 ก็ได้) อ้อ สังเกตดูว่าเครื่องร้อนมากแค่ไหนรับได้ไหมกับความร้อนระดับนี้ หรือมีเสียงหรือสิ่งผิดปกติหรือเปล่า
  • b8.9 ShutDown เครื่อง แล้วเปิดเครื่องใหม่และปล่อยให้เข้า Windowsอีกครั้ง เป็นอันผ่านบททดสอบ
  • Note. ถ้าระหว่างที่ทำข้อ b8 อยู่เกิด Low Battery ก็ให้เสียบชาร์จกลับไป แต่ถ้าให้ดีขอให้ผ่านข้อ b8.6 มาก่อนก็ดี
  • b9. มาถึงตรงจุดนี้ได้แสดงว่าเจ้า Notebook ที่เราปู้ยี้ปู้ยำมาพอควรก็พร้อมที่จะเป็นเพื่อนร่วมโลกของเราแล้ว (ทางร้านคงเซ็งเราแล้วด้วย)
  • b10. จ่ายตังค์ และอย่าลืมดูเวลาเค้าเก็บเข้ากล่องด้วยว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เวลาที่รอเอกสาร
  • b11. ตรวจสอบเอกสาร ได้แก่ ใบเสร็จ ใบกำกับภาษี เอกสารแสดงการรับประกัน โดยรายละเอียดในเอกสารต้องถูกต้อง เช่น Seriel ต้องตรงกะตัวเครื่อง ชื่อร้าน ลายเซ็นของทางร้าน เป็นต้น ต้องถูกต้องและเรียบร้อย นะ
  • b12. เตรียมลีมูซีนรับมันกลับบ้าน


C. เมื่อถึงบ้านก็พักจิบกาแฟ ดูทีวีซักพัก เพื่อเป็นการพักหย่อนใจ แล้วเริ่มงานต่อ (สำหรับท่านอื่นอาจไม่ต้องทำแล้วก็ได้ แต่ผมทำเพราะต้องจับผิดมันให้ได้ภายใน 7 วัน ถ้ามีจริงก็จะได้เปลี่ยนเครื่องใหม่ได้ทัน)

  • c1. เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ แผ่น Windows Driver (โหลดตัวล่าสุดจากเว็ปผู้ผลิตมาเขียนใส่ CD ไว้ด้วยก็ดี) Software ต่างๆ
  • c2. เสียบที่ชาร์จ เปิดเครื่อง แล้วแบ่งพาร์ทิชั่น (ถ้าต้องการ) ฟอร์แมต ลง Windows ใหม่หมด
  • c3. ลงไดร์เวอร์ Software Console (management) ต่าง ๆ ของผู้ผลิต และโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน
  • c4. ลง BenckMark แล้วทดสอบอย่างหนัก (และจะทำตามข้อb8.1-b8.8ซ้ำก็ดีนะ) แล้วลองนำผลที่ได้ไปเทียบกับชาวบ้านดู (หาได้ตามเว็ปไซด์) แล้วไม่ต้องซีเรียสมากถ้าค่าไม่ได้เท่าเค้า แต่ก็ไม่ควรแพ้เครื่องที่สเปกต่ำกว่า ถ้าค่าผิดปกติอาจมาจากการลงในข้อ2 ไม่ดีพอ หรือไดร์เวอร์ไม่อัพ หรือเครื่องอยู่ไม่ในโหมดทำงานเต็มอัตราศึก(performence) ก็ได้ลองตรวจสอบดู
  • c5. เมื่อเสร็จแล้ว capture ค่าไว้ดูเป็นที่ระลึกก็ได้ (ผมทำเพราะมันดูแล้วทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่เปิดขึ้นมาดู)
  • c6. burn เครื่องไว้จนแบตหมดเป็นการเคลียร์แบต แล้วเสียบชาร์ตทิ้งไว้โดยไม่ต้องเปิดเครื่อง 8-10 ชม. เพื่อเป็นการกระตุ้นแบต ซึ่งควรทำการกระตุ้นแบบนี้2-3ครั้งเพื่อเป็นการ Overhaul แล้วค่อยใช้งานปกติ
  • c7. พามันไปสูดอากาศข้างนอกเพื่อเป็นการทดสอบว่ามันพร้อมเดินทางกะเราไหม เช่น ไปนั่งจิบกาแฟแล้วเล่นเน็ตจากwirelessของร้าน (เป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองดีขึ้น ระวังหน้าแตกตอนเครื่องเกิดงอแงหละ) ไป present งานจะได้เป็นการลองต่อมันกับโปรเจคเตอร์ไปในตัว หรือจะเปิดหนังปลุกใจเสือป่าบนรถเมล์ก็ได้ถ้าใจถึง(แต่ผมเคย!!!) เป็นต้น
  • c8. ถ้าทำได้ทั้งหมดภายใน 7 วันนี้ โดยที่มันไม่งอแงเลย ก็แต่งตั้งมันให้เป็น "ซางกุงสูงสุด" ได้เลย แต่ถ้างอแงก็ส่งกลับเชจู(ร้าน/ศูนย์)ซะ
จากคุณ : ดำจังแก -[ 12 มี.ค. 49 – 19:23:38 A:61.91.222.101 X: ]

Notebook สำหรับเด็กขายฝันเกินไปหรือเปล่า ?

เรื่องนี้ผมต่อต้านพอสมควร ผมว่ามันเป็นนโยบายประชานิยมมากเกินไป การพัฒนาแบบฉาบฉวยดูจะได้ผล แต่จริง ๆ แล้วเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมากกว่า ผมเคยเขียนและบอกกล่าวไปแล้วใน blog เก่า ๆ ลองไปอ่านได้ที่นี่ครับ นโยบาย Notebook สำหรับนักเรียนประถม ของท่านผู้นำ …

ซึ่งเรื่อง Notebook สำหรับเด็กไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ไม่ว่าจะยกเหตุผลใดๆ มาอ้างก็ตาม ผมมี Notebook ใช้ตั้งแต่ ม.5 ตอนนี้ ปี 3 แล้ว ใช้มา 2 เครื่อง และ Desktop อีก 1 เครื่อง

เรื่อง MIT Notebook นี้ จริงๆ แล้วไม่เหมาะกับการเรียนการสอนในไทยเท่าไหร่ และประเทศพัฒนาหลายๆ ประเทศ ที่นักเรียนกว่า 30 – 40% สามารถซื้อ Notebook ได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครใช้ มาแทนการใช้งานหนังสือเท่าไหร่

เพราะหนังสือ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ และไม่ทำลายสายตาเท่ากับจอคอมพิวเตอร์ ถึงแม้จะเป็นจอ LCD กรือ OLED ก็ตามที ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากระดาษธรรมดาที่มีตัวหนังสือให้อ่าน และมันสามารถอ่านได้ทุกๆ ที่โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่าแบตจะหมด หรือไม่ต้องมานั่งปั้นไฟ แบบ MIT Notebook ตัวนี้ แถม หนังสือมันทำให้เราฝึกการเขียน วิเคราะห์ ย่อความ หรือการเรียบเรียงใหม่อีกมากมาย

ถึง Notebook จะสะดวก แต่มันทำให้คนเรายึดติดมันมากเกินไป ผมมี eBook ในเครื่องกว่า 10GB และ VDO Training อีก 20 GB ผมเปิดๆ ดู เปิดๆ อ่าน ก็สะดวกดี แต่ …….

พอเราอยู่นอกบ้าน มันไม่สะดวกเท่าหนังสือ การหยิบจับมันง่ายกว่ามาก หลายๆ คนคงบอกว่า Notebook มันเก็บหนังสือได้มากกว่ากระเป๋าหนังสือ 100 เล่ม อันนี้ไม่เถียง แต่ผมเถียงในเรื่องของคำว่า “พยายาม” ตอนผมเรียน ม.ปลาย หนังสือที่ผมเอาไปเรียนก็ว่าเยอะแล้วนะ แต่ตอนมาเรียน มหาลัยฯ เยอะกว่าหลายเท่า และในปัจจุบัน หนังสือเรียนรุ่นๆ ใหม่ๆ ของเด็กประถม ก็น่าอ่านกว่าแต่ก่อนเยอะ แต่เนื้อหามากขึ้นลึกขึ้น พอสมควร ผมถามว่า Notebook ไม่ใช่สิ่งที่มาแทนที่หนังสือ และไม่สามารถทดแทนได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ผมยังเห็นคนที่เรียนด้านคอมฯ และคนทำวิจัยเก่งๆ ที่มี Notebook ดีๆ มี External H/D ความจุสูง ยังซื้อหนังสือ Text Book มาอ่านอยู่เลย ทั้งๆ ที่มีให้โหลดแบบ PDF กันดาดดืน ด้วยเหตุผลที่ว่า ความรู้สึกที่ได้อ่าน และโน๊ตลงไปมันทดแทนไม่ได้ และความสะดวกในการหยึบอ่านมันมีมากกว่า อ่านที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดมาก

อีกอย่างที่ผมว่าไม่เหมาะสมคือ ความรับผิดชอบในสิ่งของ ของเด็กๆ ระดับเล็ก แม้แต่ ม.ต้น บางคนก็มีความรับผิดชอบที่ต่ำ และเกรงว่าจะเป็นภัยต่อตัวเด็กในเรื่องของอาชญากรรม ด้านการลักขโมย และลักทรัพย์ครับ เรื่องนี้น่าเป็นห่วงมากกว่าครับ

ต่อมาคือค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา และการสอนการใช้งาน อย่าลืมว่าระบบที่แน่นอนแล้วคือ Linux แน่นอน ซึ่ง ok linux ในปัจจุบันใช้งานง่าย และไม่ซับซ้อน แต่ปัญหาไม่ใช่อยู่เพียงแค่นี้ ปัญหาคือความเคยชิน มากกว่า ระบบ linux นั้นทำงานได้ดีในการทำงานระดับ Office ครับ คือทำงาน Word Processing, Speadheet, Presentation Slide , ฯลฯ ซึ่งซอฟต์แวร์พวกนี้ รองรับระบบไฟล์บางอย่างของ microsoft ได้ยาก เช่นไฟล์ .doc ซึ่งเป็นของ microsoft word เป็นต้น ซอฟต์แวร์ openoffice หรือ koffice ของ linux ยังคงอ่านไฟล์ของ microsoft word ยังไม่สมบูรณ์ และดีพอ ซึ่งต้องทำให้นักเรียน และคุณครูทั่วไปเคยชินต่อระบบ linux ก่อน และยอมรับ format ไฟล์ของ openoffice หรือ koffice ก่อน ซึ่งระบบราชการไทย ยังใช้ ms word กันอยู่เลย -_-” แถม font พวก Angsana New หรือตระกูล UPC ทั้งหลายใน Linux ไม่มีครับ ต้องหา Copy จาก Windows ซึ่งผิดลิขสิทธิ์เต็มๆ แต่ก็เหอะ พี่ไทยเราคงไม่สนใจ จริงแมะ ……

ส่วนเรื่องการเอามาลง Windows คงเป็นไปได้ยาก เพราะ Memory และ H/D คงไม่เอื้อให้คุณสามารถลงได้เต็มที่ ไม่แน่แค่ลง Windows ก็เหมาะเนื้อที่แล้ว

ซึ่งผมมองว่า เห็นโครงการขายฝันมากกว่า ดูดีครับ แต่ใช้งานได้ยาก และไม่มีเหมาะกับสังคมไทย ที่ยังใช้เทคโนโลยีอย่างแฟชั่น และการใช้งานแบบ All-in-one ซึ่ง MIT Notebook ตัวนี้คงไม่ตอบโจทย์ และความต้องการเท่าไหร่

และไม่เหมาะกับเด็กไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ผมสังเกตุว่าประเทศหลายๆ ประเทศ อย่างญี่ปุ่น เค้าไม่เห็นสนใจโครงการนี้เท่าไหร่ ….. อีกอย่างญี่ปุ่นยังใช้กระดาน กับช็อค เรียนกับหนังสือ และสมุดอยู่เลย ….

นโยบาย Notebook สำหรับนักเรียนประถม ของท่านผู้นำ …

จริงๆ ได้ข่าวมาสักพัก วันนี้เลยซัดลง Blog เลยดีกว่า

เด็กประถม จะให้ใช้ Notebook ผมว่ามันเกินไป มันมีความจำเป็นซะขนาดนั้นหรือไงท่านผู้นำ ขนาดประเทศที่พัฒนาแล้วยังไม่ทำเลยไม่ใช่ว่า Notebook จะทำให้เด็กไทยมัน ฉลาดขึ้นนะ การสอนอย่างมีระบบ ระเบียบมากกว่ามั้งคุณท่านผู้นำ

ผมว่านะ เอาให้เด็กตามสถานที่ชนบทให้เค้ามีข้าวกินครบมื้อ มีจักรยานให้ถีบมาเรียนก่อนจะดีกว่ามั๊งครับ

ผมว่างานนี้เหมือนรัฐแจกรถให้คนละคันให้ขี่ไปทำงาน บางคนรถไม่ต้องการเลย มีแล้ว ที่ต้องการคือบ้าน บางคน รถไม่ต้องการเลย ข้าวใส่ท้องยังไม่มี บางคน ที่ทำงานอยู่ใกล้ เดินไปก็ได้

เอางบไปปฎิรูปการศึกษา เพิ่มเงินเดือนครูให้สูงเท่าอาชีพ อย่างวิศวกร ไม่ดีกว่าเหรอไง จะได้ดึงดูดคนเก่งๆ มีความสามารถมาสอนกันลูกสอนหลาน กันเยอะๆ ถ้าไอ้ Notebook เนี่ยมันทำให้เด็กไทย ทั้งหมดเป็นอัจฉริยะ ได้นี่ ต่อให้คนละแสนก็น่าลงทุนครับ แต่ …..

มันไม่ได้เป็นแบบนั้น Notebook มันเป็นแค่เครื่องมือ ครับ เป็นตัวช่วยมากกว่าเป็นทุกๆ อย่าง

Notebook ที่ท่านผู้นำจะมอบให้กับเด็กๆ มันไม่ใช่คำตอบของการแสวงหาความรู้ทั้งหมดครับ …

ประเทศอย่าง อเมริกาและญี่ปุ่น คงหัวเราะกันท้องแตกไปเลย เมื่อเจอ การพัฒนาการศึกษาของไทยแบบนี้

เค้าคงมองว่าผู้คิดขึ้นมานั้น เป็น รัฐบุรุษโลกเลยล่ะครับ 5555555555 โอ้ย ……… แม้ คิดมาได้นะครับ ….

อยากให้ท่านผู้นำ และท่านๆ ที่สนับสนุนอ่านเหลือเกิน

มาเล่าเรื่อง โรงเรียนชนบท

ช่วงไม่กี่วันมานี้ ผมได้มีโอกาสออกไปต่างจังหวัด หลายๆจังหวัด กับเพื่อนๆและคณะข้าราชการเกษียณอาวุโสหลายท่าน เพื่อนำสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้ากีฬา อุปกรณ์กีฬา และสันทนาการต่างๆ ไปให้แก่โรงเรียนชนบทที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญ หลายแห่ง

ก็เลยมีความคิดจะนำเรื่องบางเรื่องมาเล่าสู่กันฟังเป็นอีกมุมมองหนึ่งในเรื่อง ความเป็นอยู่และการศึกษาของเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดารและไกลความเจริญ

มีหลายสถานที่มากมายทั่วทุกภาคครับที่ห่างไกลความเจริญ โดยเฉพาะ ทางด้านการศึกษาของเด็กๆ เท่าที่ผู้ร่วมคณะท่านหนึ่งซึ่งเคยเป็นข้าราชการเก่าในกระทรวงศึกษาธิการเล่าให้ฟังว่า ภาคใต้นั้น การศึกษาพื้นฐานจะดีที่สุด ภาคที่มีปัญหาคือ ภาคอีสาน และภาคเหนือ อันเป็นแดนดินถิ่นท่านนายกฯ note book

ช่วงการออกตระเวน ภาระกิจหลักก็คือ การนำเอาสมุดและหนังสือเรียนที่มาจากการบริจาคจากทุกที่ รวมทั้งอุปกรณ์การสอน การเรียนและเสื้อผ้า รองเท้า ไปแจกจ่ายให้แก่ นักเรียนในถิ่นกันดารต่างๆ ส่วนใหญ่นั้น โรงเรียนแทบจะไม่มีสภาพของอาคารเรียนเลย มันเป็นเพียงเพิงที่สร้างขึ้นแค่คุ้มแดดและฝนให้แก่นักเรียนเท่านั้น
…………โรงอาหาร ไม่มี แต่อาศัยเอาร่มไม้ในบริเวณเป็นที่นั่งรวมกันรับประทานอาหาร
ดีว่ายังมี………..ห้องส้วม ที่ครูอาสาและครูอัตราจ้างพิเศษในแดนกันดาร ที่ท่านมีวิญญาณของ “ครู” อย่างแท้จริง ได้สร้างขึ้นเอง ด้วยเงินบริจาคอันน้อยนิดที่ได้รับมา

ครูชายท่านหนึ่ง บอกผมว่า เรื่องสุขอนามัยนั้น ถือว่าสำคัญ เพราะ หากเด็กๆไม่สบาย ก็จะไปทำการรักษาลำบาก เพราะอยู่ห่างจากสถานพยาบาลมากนัก ต้องเดินและไปต่อรถอีกหลายต่อ ไม่มีโรงอาหารยังอาศัยกินกันใต้ต้นไม้หรือในห้องเรียนได้ แต่ไม่มีส้วมที่ได้สุขลักษณะนั้น ไม่ดีเลยต่ออนามัยของเด็กๆ……………ครูดีแบบนี้ ปัจจุบันยุคนี้ปี 2548 หาได้สักกี่คน????

ครูชายท่านนี้ อายุอานามเพียง 20 ต้นๆ แต่อุดมการณ์นั้น เปี่ยมไปเฉกดั่งพ่อครูที่ผ่านโลกมาช้านาน ครูตัดสินใจเขียนจดหมายแบบเดาสุ่มมาที่บริษัทฯของผม และมันถูกฝ่ายบุคคลที่บริษัทฯดองเค็มนานถึง ห้าเดือนเต็มๆ ก่อนที่มันจะถูกพบเห็น โดย auditor ภายนอกที่มาตรวจประจำระบบคุณภาพ อันเป็นมาตรการรักษาไว้ของ certificate ที่ทางบริษัทฯได้รับมานานแล้ว อย่างต่อเนื่องทุกปี
ผมจึงทราบเรื่อง และดำเนินการติดต่อ และให้คนสืบเสาะ ไปจนพบครูท่านนี้ ซึ่งได้รับการชี้แจงว่า จะมีคณะบุคคลมาให้ความช่วยเหลือเช่นกัน ผมจึงได้ติดต่อขอเข้าร่วมทันที และเป็นที่มาของการเดินทางร่วมไปด้วยกันในการตระเวนช่วยเหลือเด็กชนบททางด้านการศึกษา

…..ก่อนหน้านี้ ผมก็บริจาคเงินและสิ่งของเนืองๆผ่านทางองค์กรเอกชนบ้าง มูลนิธิบ้าง เพราะทราบดีว่า ยังมีเด็กไทยที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาในประเทศเรานั้นมากนัก จากรายการสารคดีต่างๆ จากสื่อ. แต่ก็ไม่มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตนเองสักครั้ง นับจากที่เคยสัมผัสสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ซึ่งมันก็นานกว่า 25 ปีมาแล้ว

…ครับ……25 ปีมาแล้วที่สภาพของโรงเรียนชนบทของไทยในถิ่นกันดาร แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย อะไรกันเนี่ย? ผมงงจริงๆ
ผมประเมินว่า มันน่าจะมีความเจริญหรือดีขึ้นมาบ้างในเรื่องนี้ แต่ปรากฏว่า 25 ปีผ่านไป เด็กๆในท้องถิ่นกันดาร กลับได้รับการดูแลจากรัฐ ในด้านการศึกษาเหมือนเดิม

ผมและเพื่อนๆในคณะหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง และตั้งใจกันว่าจะเริ่มทำกันเป็นกิจลักษณะเพื่อช่วยเหลือทุกด้านแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดไร้การดูแล ซึ่งขณะนี้ ก็กำลังให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งไปดำเนินการในเรื่องการจัดตั้งมูลนิธิ อย่างถาวรไปเลย ไม่ใช่แค่เพียงรวมตัวเฉพาะการ ดำเนินการเฉพาะกิจแบบที่พวกคนบางคนชอบทำตัวเป็นข่าวให้โก้

ย้อนกลับมาที่โรงเรียนที่ไป ขอยกมาสักโรงเรียนหนึ่งทางภาคเหนือ นะครับ โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในดินแดนสีแดงเก่า (เขตผู้ก่อการร้ายในอดีต) ที่จังหวัดน่าน
โรงเรียนนี้เองที่ครูชายท่านที่ผมกล่าวถึงทำการสอนอยู่ มีเพียงครูท่านนี้ และ บัณฑิตจากจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ที่จบมาเพียงสองปีเองเท่านั้น ทำการสอนอยู่
ผมถามเธอว่า จบจากสถาบันดี เกรดก็ดี ทำไมมาอยู่ที่นี่
เธอตอบผมสั้นมากๆ ครับ ” หนูเป็นครู ลูกศิษย์อยู่ไหน หนูก็จะไปสอนค่ะ”
..ผม…..ชื่นชมทั้งพ่อแม่ที่สั่งสอนอบรม ชื่นชมทั้งสถาบันที่เธอศึกษาและผลิตเธอออกมาเป็นบัณฑิตที่มีคุณค่า ชื่นชมในความดีของเธอครับ

โรงเรียนนี้ เด็กๆ ไม่มีรองเท้าใส่ ผมนึกว่าจะมีแต่ในละคร อยู่กับก๋ง ซะอีก สำหรับปี พ.ศ. นี้ ที่ไหนได้ ละครชีวิตจริงกลับอยู่ที่น่านนี่เอง
ชุดนักเรียนบางคนก็มีบางคนที่มีก็ปะแล้วปะอีก

ที่สำคัญ ตำราเรียนและสมุดนั้นหายากมา เรียกได้ว่าหนังสือหนึ่งเล่ม เรียนกันสามคน ส่วนสมุดนั้น หากมีการบ้าน 5 ข้อ ก็ช่วยกันเขียน ช่วยกันทำคนละข้อ เพราะ ไม่ใช่ว่าจะมีทุกคน

ผมสอบถามก็ได้ความว่า โรงเรียนนี้ มันไกลเกินกว่าที่ท่านข้าราชการจะเดินทางมาแจกของ ของที่มีอยู่ก็เป็นส่วนที่ ต.ช.ด. ของสมเด็จย่าฯ ปันมาให้ แต่ก็ไม่ทั่วถึง

หลังจากที่พวกเราจากมา ได้มอบเงินไว้สร้างอาคารเรียนและซ่อมแซมส่วนหนึ่ง และ บอกว่าเราจะกลับไปอีกช่วงเดือนตุลาคม เพื่อดูแลในส่วนที่ยังขัดสนอื่นๆ

…………………
…………………….
ผมกลับมากรุงเทพฯ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์
นั่งฟังและดูข่าว ท่านนายกรัฐมนตรีเรื่องจะแจกเครื่องคอมพิวเตอร์ note book แก่เด็กๆ นัยว่ามันเป็นมิติใหม่ของการศึกษาเลยทีเดียว

ผมน้ำตาซึม ครับ
ไม่ใช่ดีใจ
แต่ผมเสียใจ
ผมเสียใจที่มีนายกรัฐมนตรีที่คิดแบบนี้

มีเด็กไทยอีกไม่น้อยที่ยังไม่มีโอกาสแม้จะศึกษา
มีเด็กไทยอีกมากที่ไม่มีแม้รองเท้า เสื้อผ้า สมุด หนังสือ แต่เด็กๆเหล่านั้นอยากเรียน

ทำไมท่านไม่ชวยเด็กเหล่านี้ก่อนครับ
ทำไมต้อง note book ด้วย

ลูกหลานคนไทยจนๆ เขาไม่อยากได้มันหรอก เขาขอแค่มีเรียน มีหนังสือ มีสมุด มีครู เขาก็พอใจแล้ว

คิดแบบนี้นี่เอง………………..ใต้มันถึงลุกเป็นไฟ ไม่ยอมดับ

พิโธ่เอ๊ย นายกฯnote book

จากคุณ : นายชด – [ 8 ส.ค. 48 18:42:53 ]

REF : http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P3656749/P3656749.html