รูปจาก Nikon D40, 18-200 VR, SB-900 (พอดีว่าไม่ได้ถ่ายรูปติดไว้ในเครื่องเลยหารูปที่มี CC มาแปะแทน -_-“)
เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นตอนที่ให้พี่ที่ไปถ่ายรูปรับปริญญาด้วยกันถือแฟลชแยกออกจากกล้องสร้างผ่าน Wireless เพื่อถ่ายภาพ แน่นอนว่าการถือนั้นต้องตรงมุม และได้ระยะทำการของแฟลชเพื่อให้ได้ภาพที่ดี ประเด็นคือพี่เค้าไม่ค่อยชำนาญในการกะระยะ และจับถือแฟลช จึงทำให้ต้องจับมือและกะระยะให้พี่เค้าว่าควรจะอยู่ในมุมไหนระยะเท่าไหร่ เหตุการณ์ก็ทำให้เมื่อชูมือขึ้นแล้วจัดระยะ เหมือนมือพี่เค้าหมดแรง หรือว่าอะไรสักอย่าง ดันปล่อยมือลง (หรือลื้นก็ไม่รู้) แฟลชตกลงจากระยะชูมือขึ้นสูงประมาณ 2 เมตรลงกับพื้น แต่ก่อนตกเหมือนจะมีเท้าผมหรือใครเนี่ยแหละ กันไว้นิดนึง แต่ไม่ได้ทำให้การตกหยุดลง ฐานแฟลช (Hot Shoe) ก็ยังมีแรงพอที่จะกระเด็นและกระแทกกับพื้นอีกครั้ง เหตุการณ์ไวมาก ฝาใส่แบตหลุดออกมา แบต 3 ก้อนหลุดกระจายออกมา สวนอีกก้อนยังคาอยู่ ตอนนั้นยังงงๆ ออกแนวช็อคกับเหตุการณ์ แฟลช SB-900 ราคา 15,900 ตกกระแทกอย่างงั้นหัวใจแทบสลาย หลังจากนำขึ้นมาตรวจสอบเบื้องต้น สภาพภายนอกไม่มีอะไรเท่าไหร่ มีแต่ลังที่ใส่แบตมันมีอาการเกยกันเล็กน้อยทำให้ใส่แบตก้อนที่ 3 ยากกว่าปรกติ (ในใจก็คิดแค่ว่าคงไม่มีอะไรกลับไปคงไขแล้วจัดเข้าที่ก็โอเค) ภายนอกมีลอยถลอกนิดหน่อย โอเค สภาพจิตใจดีขึ้น เช็คการทำงานของระบบซูมแฟลช TTL ปรกติ ถ่ายต่อ!!!
พอสักพัก จำเป็นต้องใช้แฟลชติดกับกล้อง คว้าแฟลชมาจะใส่กับหัวกล้องปรากฎว่า ….
ฐานแฟลชงอครับ งอแบบเสียบลงไปไม่ได้ …. งานเข้า!!!!
ก็เลยต้องถ่ายแบบแยกแฟลชไปตามเดิม จนจบงาน คือยังดีที่มันทำงานได้ปรกติดีอยู่ (แสงแฟลชออก ซูมแฟลชแล้วได้ระยะเท่าเดิม ทุกอย่างทำงานปรกติหมด) ตอนนั้นภาพก็ต้องถ่าย เหมือนกับว่าถ้าเราพะวงแต่แฟลชทุกคนที่ไปก็จะพะวงไปด้วย คือของมันเสียไปแล้ว พะวงไปก็เท่านั้น มันต้องเดินหน้าต่อไป ก็เลยปล่อยวางแล้วถ่ายไปทั้งๆ แบบนั้น เพราะตอนนั้นคนที่ไปด้วยกันก็มีคนนึงมี SB-900 อีกตัว ถ้าจำเป็นจริงๆ ยืมเค้าใช้งานก่อนก็ยังได้ อย่างน้อยๆ งานนี้ต้องทำให้ดีที่สุดไว้ก่อน
พอจบงานก็รีบโทรหา “ช่างดำ” ก่อนเลย เพราะเป็นช่างที่ทำให้ Nikon AF Nikkor 80-200mm f/2.8D ED ผมคืนชีพจากการที่ AF พัง ซึ่งแม้แต่ Niks Thailand ยังไม่ซ่อมเพราะรุ่นเก่าแล้ว!!! สุดท้ายคำตอบคือ “ไม่มีอะไหล่ในตอนนี้และรอนานเพราะช่วงนี้ของสั่งยากมาก” T_T ที่พึ่งต่อมาคือ “Foto Thailand” ไปถึงร้านให้เค้าดูสภาพแฟลช ก็ได้คำตอบเดียวกันกับช่างดำ เสียใจ 2 รอบติด …. ที่พึ่งต่อไปคือ Niks Thailand ที่เป็น authorized dealer ของ Nikon ที่มี ศ.ซ่อมโดยตรงในไทยแห่งเดียว!!! คือของมันเป็นของที่ทำตลาดอยู่แล้ว ยังเป็นรุ่นท็อปของแฟลช Nikon เพราะงั้น ศ. ยังไงก็ต้องมีอะไหล่แน่นอน ตอนนั้นอยู่ MBK อยู่แล้ว ก็เลยเดินต่อไปอีกนิด ก็ถึงร้าน Sunny Camera ซึ่งเป็นร้านในเครือเดียวกับ Niks Thailand ให้เค้าฝากส่งให้
เข้าไปบอกเค้าว่ามาซ่อมแฟลช ให้เค้าดูอาการต่างๆ ให้ตอนนั้นเนี่ยด้วยความที่ อะไรก็ได้ยอมๆ ราคาเท่าไหร่ว่ามา ตอนนั้นคิดราคาค่าซ่อมไว้ว่า ถ้าเกินกว่าราคา 50% ของราคาปรกติที่ซื้อมาคงซื้อใหม่แน่ๆ เพราะใช้มาจะ 2 ปีค่าเสื่อมปีละ 15-20% ตอนนี้ค่าตัวมันคงประมาณ 60-70% ของราคาหรือประมาณ 12,000 บาทได้แหละ เพราะงั้น ถ้าราคาค่าซ่อมเกินกว่า 50% ก็ถือว่าซ่อมไม่คุ้มแหละ ตอนนั้นผมตีไว้ว่าไม่น่าเกิน 5,000 บาท (ผมตีโหดสุดไว้ก่อน จะได้ทำใจได้เวลาจ่ายเงิน)
สรุปคือตีค่าซ่อมเบื้องต้น 2,500 บาท !!! โอเค …. จัดไป ส่งซ่อมโดยไม่คิดอะไรมาก เพราะไม่มีทางเลือก ระยะเวลาตรวจสอบอะไหล่และราคาที่แน่นอนคือ 2 อาทิตย์ (คงเป็นเรื่องของคิวการซ่อม การสั่งของและเช็คสต็อก) ซึ่งแน่นอนสำหรับแฟลชประกันร้าน (ซื้อมาเป็นของหิ้วจากญี่ปุ่น) เพราะงั้นทำใจเรื่องระยะเวลาในการซ่อมว่าจะมันจะต้องช้าแน่นอน
ผ่านไป 2 อาทิตย์ ตรงเวลาสุดๆ ศ. โทรมาสรุปค่าซ่อมทั้งหมด 4,000 บาทถ้วน (ไม่มีเศษ สมแล้วที่เป็น ศูนย์บริการ ไม่มีปัดเศษ ให้ได้ใช้แบงค์ย่อย … ฮา …) ผมก็โอเค ต่ำกว่าที่คาดไว้ 20% และคิดเป็นค่าซ่อมที่ราคาประมาณ 30% ของมูลค่าของ ณ.ปัจจุบัน ถือว่าการซ่อมครั้งนี้ผ่านและไม่แพงจนเกินไป (เทียบกับเหตุการณ์ที่ทำให้มันพัง) ศ. แจ้งว่าอีกประมาณ 5 วันน่าจะซ่อมเสร็จ
มาวันที่ 15 มีนาคม 2554 ศ. แจ้งว่าแฟลชซ่อมเสร็จแล้ว เข้าไปรับของได้เลย โดยเปลี่ยนไปทั้งหมด 3 ชิ้นคือ ฐานแฟลชที่งอ, หลอดไฟแฟลชที่ร้าว!!!, และแผ่นกระจกด้านหน้าที่ไหม้ (เค้าเขียนว่า “ไหม้” แต่อาการนี้พวกผมเรียกว่า “เหลืองเพราะใช้งานหนัก”) โอเค ตอนเย็นก็เลยรีบไปรับของทันที และทดสอบที่ร้านที่ฝากเค้าส่ง กล้องก็ไม่ได้เอาไป แต่เค้าก็ให้ยืมกล้องให้ลองจนพอใจ สุดท้ายโอเค กลับเข้าสู่สภาพเดิมดี ก็เลยเก็บของกลับบ้าน มาลองต่ออีกหน่อยทั้งระบบ Wireless Flash, ระบบ TTL ฯลฯ งานนี้ ศ. ประกันงานซ่อม 2 เดือน ถ้ามีปัญหาก็เข้าไปซ่อมและเช็คได้ฟรี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ลองใช้งานในสภาพใช้งานจริงหรือหนักๆ คงต้องหาโอกาสลองสักหน่อย
รอบนี้โดนสาหัสมากนับแต่ซ่อม Nikon AF Nikkor 80-200mm f/2.8D ED ที่รอบนั้นโดนไป 4,700 บาท รอบนี้อีก 4,000 บาท อืมมม T_T
ภาพอะไหล่ที่เปลี่ยนออกมา