เรื่องเล่าของ Bluetooth Keyboard ที่ใช้งานร่วมกับ Android ได้อย่าง RAPOO E6500 และ Microsoft Wedge Mobile

อยู่ๆ ก็อยากได้ Keyboard มาใช้งานร่วมกับ Android Tablet ที่ผมมีอยู่อย่าง ASUS Nexus 7

วันนี้เลยไปเดินดู ตอนแรกผมได้ Rapoo E6500 Ultra-thin Blade Wireless Bluetooth 3.0 for Android มาก่อน เลยเอามานั่งเล่น โดยรวมมันเล็กดีครับ แต่พอพิมพ์และเล่นไป รู้สึกว่ามันเล็กไป (อ้าววว ไอ้บ้า ตอนซื้อไม่คิด) ก็เลยไปเดินเล่นใน IT City ไปสะดุดกับ Microsoft Wedge Mobile Keyboard เข้า พลิกกล่องไปๆ มาๆ มันไม่ได้บอกว่าใช้กับ Android ได้แฮะที่กล่อง ผมเลยเปิดมือถือค้นหาดูว่ามีใครเขียนรีวิวเรื่องนี้ไว้แล้วเค้าใช้ Android ได้ไหม สรุปว่าได้ แต่ด้วยความไม่มั่นใจ เลยขอทางร้าน IT City เค้าทดสอบอีกที เค้าก็เลยแกะกล่องใหม่มาให้ลอง Pair กับมือถือผมเลย แล้วผมก็ลองพิมพ์ดู สรุปว่าได้แฮะ แถมการ Pair ก็ไม่ได้ยุ่งยาก สรุปเหมือนมัดมือชก ถ้าได้ก็ต้องซื้อ (ร้านแผนสูงนะเนี่ย) สรุปเลยจัดมาเลยอีกตัว ><” (แกลบครับเดือนนี้)

DSC_1771

ด้านล่างเป็น Rapoo E6500 Ultra-thin Blade Wireless Bluetooth 3.0 Android ส่วนด้านบนเป็น Microsoft Wedge Mobile Keyboard จะเห็นว่ากล่องใหญ่แตกต่างกันอย่างมาก ><”

ด้านราคาแล้วนั้น RAPOO E6500 ค่าตัวอยู่ที่ 1,490 บาท ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วไม่แพงมากสำหรับ Bluetooth Keyboard ที่ใช้งานร่วมกับ Smartphone และ Tablet ค่าย Android ครับ

ด้านราคาของฝั่ง Microsoft Wedge Mobile Keyboard นั้นอยู่ที่ 2,590 บาท ถือว่าราคาแรงพอสมควรสำหรับหลายๆ คน แต่ถ้าพูดถึงความสามารถในการเชื่อมต่อกับหลายๆ OS แล้ว ผมถือว่าชนะขาดหลายๆ ค่ายเลย ซึ่งตัว Wedge Mobile Keyboard นั้นสามารถเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เข้ากับ Windows 7/RT/8 ได้สบายๆ และยังสามารถใช้กับ Mac OS X สำหรับ Desktop/Notebook โดยทั่วไป และยังสามารถเชื่อมต่อกับ iOS และ Android ได้โดยไม่แยกรุ่นแบบของ RAPOO ที่มีรุ่นสำหรับ iPad และ Android แยกขายคนละรุ่น ซึ่งถ้าซื้อมาใช้พกพาแล้ว Wedge Mobile Keyboard จบในตัวเองเลยด้านการเชื่อมต่อหลายๆ OS

DSC_1776 DSC_1778

ในด้านการใช้งานแล้วนั้น Rapoo E6500 Ultra-thin Blade Wireless Bluetooth 3.0 Android มี Layout ของการจัดวางปุ่มที่แปลกสักหน่อย ถ้าใครซื้อมาเป็นแบบ Screen ปุ่ม US แนะนำให้หาสติกเกอร์มาแปะสักหน่อย ไม่งั้นพิมพ์ไทยหลงปุ่มแน่ๆ ในด้านการพิมพ์ภาษาอังกฤษอันนี้สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าพิมพ์ภาษาไทยเนี่ยลำบากพอสมควรเลย เพราะบางปุ่มที่ภาษาอังกฤษใช้เป็นสัญลักษณ์ในภาษาอังฤษจะโดนลดบทบาทลงด้วยการย้ายปุ่มไปตำแหน่งอื่น แต่ในภาษาไทยไอ้ปุ่มที่โดนย้ายไปเนี่ยมันเป็นปุ่มที่โดนควบด้วยปุ่มภาษาไทยที่ใช้บ่อยๆ อยู่หลายตัว เพราะฉะนั้นอาจลำบากสำหรับคนที่ซื้อมาพิมพ์ภาษาไทย (แนะนำให้หาสติกเกอร์ภาษาไทยมาใช้ควบคู่ด้วย)

ส่วนเรื่องการพิมพ์และการตอบสนองนั้นไม่มีอาการยวบของตัวคีย์บอร์ดให้เห็น เพราะฐานเป็นตัวแสตนเลสอย่างหนาเลย กดไม่ยวบ ทำให้พิมพ์แล้วไม่รู้ว่าต้องเกร็งนิ้วมือเพราะกลัวว่ากดลงไปแรงๆ แล้วคีย์บอร์ดจะหักกลาง

ส่วนเรื่องของ Battery นั้นตัว Rapoo E6500 นั้นเป็น Battery แบบ Li-ion แบบใส่มาในตัวเลย การชาร์จก็ใช้ผ่าน microUSB ง่ายๆ สำหรับการ Pair ตัวคีย์บอร์ดตัวนี้ไม่ยากอะไร และ Pair ได้เร็ว แต่ใช้ได้กับ Android OS และ HID Profile บน Desktop/Notebook เท่านั้น ไม่สามารถใช้บน iOS ได้

DSC_1793 DSC_1794

ตัวต่อมาเป็นตัวที่ผมรู้สักประทับใจมากเมื่อได้สัมผัส ก็คือ Microsoft Wedge Mobile Keyboard จากที่บอกไปแล้วว่าตัวคีย์บอร์ดตัวนี้สนับสนุน OS หลากหลายกว่า Rapoo และแน่นอนว่าขนาดของตัวคีย์บอร์ดตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่า Rapoo E6500 ที่วางเทียบๆ โดย Rapoo มีขนาด 21cm x 8cm ส่วน Wedge Mobile Keyboard มีขนาด 25.5cm x 10cm จะเห็นว่าระยะความกว้างของ Wedge Mobile Keyboard นั้นกว้างกว่าพอสมควร ทำให้การจัดเรียงตัวปุ่มนั้นทำได้ใกล้เคียงกับคีย์บอร์ด Notebook ขนาดเล็กเลย และสำหรับ Layout ภาษาอังกฤษนั้นไม่มีการโยกย้ายปุ่มแบบ Rapoo ทำให้เวลาเปลี่ยนมาพิมพ์ภาษาไทยนั้นทำได้ง่ายกว่ามาก รวมถึงระยะปุ่มก็ห่างก็พอกัน ทำให้ไม่พิมพ์ผิดได้ง่ายเท่า Rapoo ที่ตัวเล็กกว่า (แถมโยกย้ายปุ่มอย่างที่บอกไป)

สำหรับในด้านการตอบสนองการพิมพ์นั้น Wedge Mobile Keyboard นั้นปุ่มนิ่มกว่า เลยไม่ต้องใช้แรงกดเยอะ แต่การตอบสนองทำได้ดี และฐานตัวคีย์บอร์ดทำได้แข็งแรงกว่า Rapoo อีก ทำให้พิมพ์แล้วไม่ยวบลงไป ซึ่งกดพิมพ์แล้วมั่นใจมากๆ อันนี้ ถ้าเทียบกันทั้ง Rapoo และ Wedge Mobile Keyboard ทำได้ดีทั้งสองตัวเลย

DSC_1803 DSC_1801

แน่นอนว่า Wedge Mobile Keyboard เป็นแบบ Wireless การใช้พลังงานนั้นแตกต่างจาก Rapoo E6500 เพราะใช้ Battery Alkaline ขนาด AAA ทั้งหมด 2 ก้อนมาใส่ที่ฐานแล้วเปิดใช้งาน ตัวคีย์บอร์ดมีปุ่มสำหรับเชื่อมต่อ Bluetooth เท่านั้น ไม่มีปุ่มปิดเฉพาะแบบ Rapoo แต่อย่างใด แต่ใช้ Multi-purpose Cover มาเปิดตัวคีย์บอร์ดแทน ก็คือการปิดการใช้งาน แต่เจ้าตัว Multi-purpose Cover ที่ให้มานอกจากจะเป็น Cover ของตัวคีย์บอร์ดแล้ว ยังเป็น Stand ให้กับตัว Tablet ให้เราได้อีกด้วย ซึ่งซื้อคีย์บอร์ดตัวนี้คิดซะว่าได้แถม Stand มาอีกตัวในชุด (ผมว่าคุ้มนะ Stand ตัวนึงก็ราคาหลายร้อยอยู่)

ส่วนตัวแล้วจากที่ใช้ๆ ก็แนะนำสำหรับคนที่อยากพิมพ์สบายๆ และหลายๆ คนที่ไม่ถนัดพิมพ์บนจอสัมผัส ซึ่งผมก็รู้ว่ามันลำบากชีวิตในการพิมพ์อะไรยาวๆ อยู่เหมือนกันนะ ถ้าคิดว่าคุ้มก็จัดเลยครับ

ลองเล่น Windows 8 บน Samsung Tablet PC 11.6” ที่เป็น CPU Intel!!!

เพิ่งได้ลองเล่น Windows 8 บน Samsung Tablet PC ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับในงาน Build ของ Microsoft เมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา แน่นอนว่าได้เล่นแบบผ่านๆ ได้ลองหลายๆ อย่าง ต้องบอกว่า Windows 8 มันออกแบบมาสำหรับ Tablet จริงๆ ให้ตายเหอะ!!!

คือตัว Tablet ตัวนี้ถ้าซื้อตอนนี้จะได้ Windows 7 ติดมาครับ แต่ตัวนี้ได้ลง Windows 8 มาเลยทำให้ได้อะไรที่สุดๆ กับสิ่งที่ผู้ผลิต H/W ต้องการมากกว่า Windows 7 เยอะมาก

IMG20120903122547 (1)

ตัวคุณสมบัติคราวๆ ของ Samsung 700T1A-A03AU Tablet PC ก็ตามนี้

  • CPU: Intel Core i5-2467M 1.6GHz
  • VGA: Intel HD 3000 Graphics Card
  • Display: 11.6 Capacitive Multi-Touch Display (8 touch sensor)
  • RAM: 4GB
  • SSD: 64GB

IMG20120903122557

ตัวคีย์บอร์ดและภาษาไทยนั้นมาแบบเต็มที่ครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้ไม่ได้ ตัวคีย์บอร์ดเท่าที่พิมพ์นั้นสะดวกและแม่นมาก ไม่มีอาการหน่วงเลย กดปุ๊บมาปั๊บแบบเร็วทันใจมากๆ

IMG20120903122811

ได้ลอง Windows 8 ที่ทำงานบน Tablet แล้วต้องอุทานว่า "นี่มัน!!!!" ส่วนตัวแล้วบอกกับตัวเองเลยว่า "เก็บเงินซื้อ ThinkPad Tablet 2 ได้เลย!!!!" มันเร็ว แรง และมันคือ Windows Base ที่ทำงานบน Tablet ได้อย่างแท้จริง!

IMG20120903123216

ลองเขียนอะไรเล่นๆ บน OneNote ใน Windows 8 โดยใช้ Stylus ก็เขียนได้ง่ายๆ สบายๆ แบบนี้นี่เอง สามารถเอามือวางเหมือนเขียนหนังสือปรกติได้สบายๆ ไม่มีปัญหาที่ตัวจอสัมผัสมันไปสัมผัสส่วนอื่นๆ โดยไม่ตั้งใจ

IMG20120903124404

Windows 8 หมดปัญหากับการต้องมานั่ง format ใหม่ เพราะมันมี function ช่วยในการติดตั้ง Windows ให้ใหม่มาในตัว Windows แบบใช้ง่ายๆ ทั้งแบบติดตั้ง Windows ใหม่แบบลงใหม่เฉพาะตัว Windows/Apps หรือจะ Factory Reset ก็ได้ (ข้อมูลหายหมด)

IMG20120903125340

ถ้าถามว่าตัว Tablet ตัวนี้บางไหม ก็ไม่บางมากครับ เอามาวางเทียบกับ Lenovo ThinkPad X1 Carbon แล้วบางกว่านิดหน่อย (ดูความสูงของ port USB 3.0 ก็ได้) แต่แน่นอน อย่าลืมว่ามันคือ Tablet ที่ข้างในเป็น CPU Intel ตัว Core i5 นะครับ

สำหรับเรื่องความร้อนนั้นก็อุ่นๆ ครับ ลองใช้อยู่ประมาณ 30 กว่านาที ต้องยอมรับเลยว่าลื่นมาก แรกๆ จะงงๆ หน่อย แต่พอสักพักจะเริ่มชิน ลองสลับมาโหลด Desktop แทน Modern UI ก็ทำได้ครับ ทำงานแบบ Desktop ทั่วไปได้เลย คือตัว Keyboard/Mouse แบบ Bluetooh แล้วใช้งานแบบ Notebook ทั่วไปได้ทันที!!!

IMG20120903125505

เอามาวางเทียบกับ Lenovo ThinkPad X1 Carbon สักหน่อย

Windows 8 เข้าสู่สถานะ RTM แล้ว!!!

เมื่อเวลา 23:00 น. โดยประมาณของวันที่ 1 สิงหาคม 2555 (ตามเวลาประเทศไทย, GMT +7.00) นาย Brandon LeBlanc ตำแหน่ง Windows Communications Manager บริษัท Microsoft USA ได้โพสแจ้งใน blog ของเขาว่า Windows 8 ได้เข้าสู่สถานะ RTM หรือสถานะส่งมอบให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว นั้นหมายความว่าตอนนี้การพัฒนาและทดสอบอันยาวนานของ Windows 8 ที่ผ่านมาร่วม 2 ปีได้สิ้นสุดลง

Windows 8 has reached the RTM milestone, by Brandon LeBlanc

2012-08-01_232655

โดยตามกำหนดวันวางจำหน่ายของ Windows 8 นั้นจะจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคม 2555 นี้ โดยมีราคา $39.99 สำหรับราคา upgrade หรือซื้อพร้อมกับเครื่องใหม่เลยก็ได้ แต่ถ้าซื้อเครื่องใหม่ในตอนนี้ สามารถใช้ Windows Upgrade Offer สำหรับ upgrade ได้ในาคา $14.99 สำหรับรายละเอียดที่แน่นอนอื่นๆ สำหรับในตลาดประเทศไทย คงต้องรอการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Microsoft Thailand อีกครั้ง

สำหรับ Microsoft Partner ต่างๆ นั้นมีกำหนดวันที่ไว้คราวๆ ดังต่อไปนี้ (แต่คาดว่าไม่หนีไปจากเหล่านี้มากนัก)

  • วันที่ 15 สิงหาคม 2555 สำหรับ TechNet subscriptions และ MSDN subscriptions
  • วันที่ 16 สิงหาคม 2555 สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Microsoft Software Assurance สำหรับองค์กรเพื่อเข้าไปดาวน์โหลด Windows 8 Enterprise edition ผ่านช่องทาง Volume License Service Center (VLSC) และลูกค้า Microsoft Partner Network อื่นๆ
  • วันที่ 20 สิงหาคม 2555 สำหรับลูกค้า Microsoft Action Pack Providers (MAPS)
  • วันที่ 1 กันยายน 2555 สำหรับลูกค้าที่ซื้อซอฟต์แวร์แบบ Volume License customers ที่ไม่ได้ซื้อ Software Assurance โดยเป็นลักษณะการจ่ายเงินซื้อสิทธิ์ Windows 8 ผ่าน Microsoft Volume License Resellers

และแน่นอนว่าในวันที่ 15 สิงหาคม 2555 นี้สำหรับ MSDN subscriptions ถ้าเป็นไปตามกำหนดการณ์ด้านบนนี้จะสามารถเข้าไปดาวน์โหลด Microsoft Visual Studio 2012 ตัว Final Release เพื่อนำมาออกแบบและพัฒนา Apps พร้อมทั้งส่ง Apps เข้าขายใน Windows Store ได้ทันที

Review – Targus Wireless Mouse Blue Trace (AMW50AP)

ผมได้เมาส์ตัวนี้มาใช้งานสัก 3 วันเห็นจะได้ ส่วนตัวแล้วนั้นใช้ Microsoft Wireless Mouse 2000 (Blue Track) อยู่ก่อนแล้ว จึงคุ้นชินกับ Blue LED Tracking เป็นอย่างดี ประกอบกับจากประสบการณ์ใช้ Optical Mouse มาตั้งแต่ยุดแรกๆ ตั้งแต่ Red LED ความละเอียดเพียง 400dpi จนมาถึง 800dpi ตอน Microsoft Notebook Wireless Mouse ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับจอภาพขนาด 1024×768 pixel ในสมัยก่อน สัก 7-8 ปีที่แล้ว จนมาถึง Laser Tracking เมื่อสัก 4 ปีก่อน ตอนสมัย Microsoft Arc Mouse และสักเกือบๆ 1 ปีสำหรับ Blue Tracking

P1000358 IMAG0754

DSC_5453 

จาก Red LED Tracking ในสมัยก่อนนั้น จะเน้นเรื่องความแม่นยำบนพื้นฐานเดิมๆ จาก Ball Tracking มากกว่าการทำงานบนพื้นผิวที่มีสภาพแย่ๆ หรือไม่ใช้แผ่นรองเมาส์ แม้ว่าจะมีการพูดถึงว่ามันทำงานได้เกือบทุกสภาพพื้นผิว แต่พออยู่บนพื้นผิวมันๆ ก็ทำงานได้แย่เอามากๆ เพราะมันจับพื้นผิวว่าทำงานบนตำแหน่งใดๆ ไม่ได้เลย เพราะแสงมันกระเจิงหลุดออกจาก sensor ไม่เป็นระเบียบ

ประกอบกับด้วย Red LED Tracking นั้นประสิทธิภาพนั้นจำกัดอยู่ที่ 3,000 dpi แต่ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่เคยพอ จึงได้พัฒนามาเป็น Laser Tracking ใช้การยิงแสง Laser แทนแสง Red LED และอาศัยการสะท้อนของพื้นผิวให้วิ่งเข้า CMOS Sensor ทำให้เราได้ Mouse ที่ละเอียดขึ้นถึง 6,000dpi แต่ข้อเสียก็คือต้องอาศัยการสะท้อนแสงที่ต่อเนื่องตลอดเวลา ทำให้ยังคงมีปัญหากับพื้นผิวที่แย่ๆ และสกปรก เพราะแสง Laser มันสะท้อนกลับมาได้ไม่หมดและไม่ต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการทำงานลดลง แม้จะทำงานได้บนพื้นผิวต่างๆ นอกจากแผ่นรองเมาส์ได้ดีขึ้นมากก็ตาม

จึงความคิดในการขจัดความไม่ต่อเนื่องของการรับภาพที่ได้จากแสง Laser ออกไปด้วยการแก้ปัญหาจากการใส่แสงต่อเนื่องลงไปเพื่อให้เกิดการสะท้อนภาพกลับมาแทนเพื่อชดเชยความไม่ต่อเนื่องของ Laser แต่ด้วยข้อจำกัดในการทำงานที่ละเอียดของ  Red LED ทำให้มีความคิดที่จะใช้แสงที่มีความเสถียรในการจับภาพที่ดีกว่าเข้ามา จึงเอาแนวคิดทั้งสองอย่างมาทำงานร่วมกัน คือนำเอา Blue LED (LED สีน้ำเงิน) ทำงานร่วมกับ Laser Tracking (Diffuse Beam) บน Specular Optics ที่จะยิงแสงทั้งสองรูปแบบสะท้อนพื้นผิวเพื่อให้ CMOS sensor รับภาพด้วยแสงสีน้ำเงินที่สะท้อนพื้นผิวได้ดีกว่า ทำงานร่วมกับแสง Laser เป็นแบบไม่ต่อเนื่องมาผสม ทำให้ทำงานได้บนพื้นผิวที่สกปรกและที่มีแสงสะท้อนได้ดีมากขึ้น

image

รูปจาก What you need to know about Microsoft’s BlueTrack mouse

image

รูปภาพจาก Microsoft BLUETRACK Mouse: Microsoft Explorer Mouse and Mini Mouse

จากการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำให้เราได้ Mouse ที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นมากๆ ทำงานได้แม่นยำมากขึ้นทีเดียว บนพื้นผิวที่หลากหลายเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นวันนี้เลยเอา Targus Wireless Mouse Blue Trace มาใช้งานและนำมาแนะนำว่าดีและทำงานได้เท่ากับต้นตำหรับอย่าง Microsoft หรือไม่

DSC_5461

ตัวเมาส์ออกแบบเป็น Dualpurpose และ Ergonomic Design เท่าที่ลองจับจะดูแบนๆ หน่อย ไม่สูงมากนั้น ทำให้เหมาะกับใช้ทำงานบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไป หรือพกพาทำงานนอกสถานที่ได้สบายๆ ด้วยคุณลักษณะที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป เหมาะมือพอดีๆ เนี่ยแหละ

ในส่วนของการคลิ๊กปุ่มนั้น ต้องบอกว่าต้องปรับตัวสักหน่อย เพราะต้องใช้แรงกดมาสักนิด อาจจะเพราะการออกแบบที่ให้ฝาหลังของเมาส์นั้นถอดเปลี่ยนได้เลยทำให้กดได้ไม่หนักแน่นเพียงพอก็ได้

โดยเจ้าตัว USB Wireless Micro receiver นั้นมีขนาดเล็กดีมาก ทำงานบนคลื่นความถี่ RF 2.4GHZ รองรับการทำงานได้ไกลถึง 33 ฟุต จากการออกแบบแบบนี้ผมบอกเลยว่าชอบมากๆ มีขนาดเล็กไม่รำคาญเวลาใช้งานกับ Notebook

DSC_5460 DSC_5459

ตัวแบตเตอร์รี่ใช้ AA จำนวน 2 ก้อนด้วยกัน มีสลักยึดไว้ให้มั่นคงไม่หลุดออกมาได้ง่ายๆ โดยที่เจ้าตัว Mouse ตัวนี้ไม่กินไฟจากแบตเตอร์รี่มากนักครับ ในเสปคเขียนไว้ 12 เดือน แต่ก็ต้องรอดูว่าจะอยู่ได้ถึงเท่าไหร่ หลายๆ คนอาจจะบอกว่าใช้ AA ทำให้เมาส์หนักขึ้น ซึ่งผมก็มองว่าจริง แต่ถ้าชินกับเมาส์รุ่นก่อนๆ ที่ใช้แบบเดียวกันแล้วจะเฉยๆ มากกับน้ำหนักประมาณนี้

DSC_5463

ที่ด้านล่างนั้นมีตัว Sensor ที่เป็น Blue Trace ครับ จะไว้อยู่ด้านขวาของตัวเมาส์ จากการใช้งานแล้วนั้นเทียบกับ Microsoft นั้น ต้องบอกว่ามันเร็วกว่าครับ ด้วย Setting Profile ใน Control Panel เดียวกัน บนเครื่องเดียวกัน ในระยะทางในการลากเมาส์เท่าๆ กัน Targus ให้ระยะที่เยอะกว่า ซึ่งผมใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายวันกว่าจะชิน เพราะมันเร็วเกินไป เหมือนมาขับรถที่มีแรงม้าเยอะๆ มันจะเร่งๆ ให้เราออกตัวไปเร็วๆ แทนที่จะออกตัวช้าๆ แบบเมาส์ตัวเก่าครับ ส่วนตัว Microsoft นั้นให้ความนุ่มนวลในการลากมากกว่าครับ อาจจะเพราะขนาดของเมาส์นั้นใหญ่กว่า ฐานของเมาส์กว้างกว่าของ Targus เลยทำให้มันนุ่มนวลกว่าในการลาดไปบนพื้นผิวต่างๆ ส่วน Targus นั้นดูกระชากกระด่างกว่าครับ แต่ที่แน่ๆ ความแม่นยำนั้นไม่ต่างกัน คือบทจะลากให้ไปก็คือไปเลย ไม่มีอาการกระตุก หรือลักเลจะไปดีไม่ไปดีครับ ตรงนี้ต้องแยกให้ออกระหว่างความแม่นยำกับความนุ่มนวลในการลาก ความหมายไม่เหมือนกันนะครับ

ที่ด้านล่างถัดจาก Sensor ก็จะมีที่เสียบแบบแม่เหล็กสำหรับดูดเจ้าตัว USB Wireless Micro receiver ไว้กับตัว Mouse ซึ่งจากที่ได้ใช้งานและเคลื่อนย้ายก็ไม่เกิดอาการหลุดหรือทำตกหล่นแต่อย่างใดครับ

ส่วนตัวแล้วใช้งานพึงพอใจพอสมควรในเรื่องความเล็กและการเก็บตัว receiver ที่พกกาง่าย ได้ความแม่นยำที่คุ้นเคยในราคาที่ไม่แพงมากนัก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำงานนอกสถานที่และพกพาไปกับ Notebook มากๆ ครับ

สำหรับราคา Targus Wireless Mouse Blue Trace (AMW50AP) นั้นขายอยู่ที่ 810 บาท (ราคา ณ.วันที่ 25 มกราคม 2555)
จัดจำหน่ายโดย SiS Distribution มีขายตามร้านขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั่วไปครับ

ความรู้สึกหลังจากการสัมผัส Windows 8 Developer Preview

มาเป็น bullet เลย ไม่มีภาพใดๆ ฮา…

  • Windows 8 Developer Preview (DP) มันคือ Windows 8 ที่ยังไม่เสร็จ อย่าใช้คำว่าเสร็จ ใช้คำว่า มันยังไม่เริ่มอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า ไม่เหมาะกับการนำมาใช้งานใช้ชีวิตประจำวัน แนะนำให้ใช้เพื่อศึกษาและลองของเป็นหลัก ถ้ายังอยากให้ชีวิตการทำงานอย่างสุขสบาย
  • ทุกอย่างที่เห็นใน Windows 8 DP นั้นปรับเปลี่ยนได้ทั้งหมด ขนาดตอน Windows 7 Beta กับ Windows 7 RC ยังมีข้อแตกต่างกันเยอะมากๆ ในหลายๆ จุด จนสงสัยว่า RTM มันจะเปลี่ยนอีกไหม และจนสุดท้ายก็เปลี่ยนจริงๆ ใครได้ลองตอนนั้นคงเข้าใจ ยิ่งเป็น Developer Preview ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงั้นอย่าไปไปเทียบกับ Major Release กับ OS ใดๆ อย่างจริงจังมากนัก ของขายแบบจริงจังกับของที่โหลดฟรีๆ แถมยังแปะป้ายว่าลองชิม ถ้าเกิดท้องเสียขึ้นมาเค้าคงไม่รับผิดชอบหรอกครับ
  • อย่างแรกหลังจากติดตั้งเสร็จ ….. งง!!! เป็น Windows ตัวแรกที่ต้องมี Account ของ Windows Live ID เพื่อ Sync อะไรหลายๆ อย่าง ก่อนจะสร้าง Account Profile แล้วใช้งานได้ แต่ผมไม่รู้ว่าต้องต่อเน็ตทุกกรณีไหม แต่คิดว่าไม่ต้องต่อเน็ตก็ติดตั้งได้และใช้การสร้าง Account Profile ได้ตามปรกติ แต่เพื่อประสบการณ์ที่ดีคงต้องมี (คำพูดตามสมัยนิยม)
  • การสลับระหว่าง Metro Style UI กับ Desktop UI โคตรงง ไม่งงธรรมดา แบบ เฮ้ยยย จะเข้า Desktop UI พี่ท่านดันสลับมาใช้ Metro ซะงั้น ผมคิดว่าใน Bata หรือ DP2 น่าจะปรับปรุงตรงนี้แน่นอนเพราะมันทำให้ผู้ใช้งงแน่ๆ
  • การปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ UI ล้วนๆ ครับ เน้น Metro ล้วนๆ เลย ผมใช้ Mouse ไปสักพักก็เอานิ้วไปทัสหน้าจอซะงั้น ออกแนวชินกับระบบ Touch Screen บนมือถือแล้วมี icon ใหญ่ๆ แบบนี้ (แล้วก็มานั่งฮาตัวเอง ทำไปได้ไง) ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ลองก็เป็น ถ้ามันทัสได้ มันจะดีมากๆ เลย
  • ส่วนอื่นๆ ก็ล้อๆ จาก Windows 7 เกือบทั้งนั้นครับ ส่วนของ Windows Explorer ที่เป็น Ribbon UI นั้นบอกตรงๆ มันควรจะมาตั้งแต่ Windows 7 ผมรอมานานและไม่ทำให้ผิดหวัง!!! แต่ …. อาจจะต้องปรับลำดับของปุ่มนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าโอเคผ่าน
  • ระบบ Copy/Cut/Paste ที่ปรับปรุงใหม่ ทำได้ดี เร็วขึ้นจาก Windows 7 เยอะ เสถียรขึ้นด้วย รู้เลยว่า IO ตัวไหนช้าและเร็วยังไง ทำให้เราสามารถปรับแก้ไขหรือพักการ Copy ได้เป็นตัวๆ ทำให้เราได้ความรู้ในการจัดการเรื่องพวกนี้ได้ดีขึ้น
  • ระบบ Control Panel อะไรพวกนี้จะซ่อนไปทำไม หายากมาก งงอีกต่างหาก ><” ตรงนี้ต้องปรับด่วนมาก!!!
  • โดยรวม ไม่ฟันธงใดๆ มันยังไม่เสร็จ ยังไม่ได้เริ่มอะไรเท่าไหร่ ออกแนวเปิดตัวเพื่อบอกว่า เฮ้ย Windows 8 จะมาแล้ว พวกเจ้าจงรู้ไว้ซะ ปีหน้าเจอกัน!!!