Google ถอด EAS (Exchange ActiveSync) ออกจาก Free Account ของ Gmail ผู้ใช้ทั่วไปเสียประโยชน์มากกว่าได้

จากการที่ Google ตัดสินใจหยุดให้บริการ Exchange ActiveSync ลงสำหรับลูกค้าทั่วไป  นั้นพอเข้าใจได้ในด้านของตัวองค์กรขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการ Free E-mail กับบุคคลทั่วไป เพราะ Google ต้องเสียค่าใช้จ่ายในด้าน License ตัว Protocal ของ EAS ที่จะใช้ให้กับผู้ใช้ทุกรายที่เปิดใช้บริการให้กับ Microsoft และการแบกรับภาระตรงนี้มองว่าเป็นการเพิ่มภาระนอกจากส่วนพื้นที่เก็บอีเมลที่ต้องแบกรับภาระอยู่แล้ว แต่นั้นไม่ได้มีผลใดๆ กับการใช้งานของ EAS ใน Account พวก Google Apps for Business หรือตัวที่ไม่ใช่ Free Account เพราะในส่วนนั้นยังคงยังใช้ได้เหมือนเดิม สรุปง่ายๆ คือ ถ้าจ่ายเงินให้ Google ใน Account ที่ใช้งานสำหรับธุรกิจ (Google Apss for Business ) คุณก็ยังใช้งาน EAS ได้ตามปรกติ

แต่เหตุผลอีกอย่างที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ การใช้ EAS นั้นทำให้การรับ-ส่งอีเมลของผู้ใช้งานเข้าผ่านตัว client App ที่รับ-ส่งอีเมลได้อิสระ แถมได้ระบบ push ที่ทำงานได้ดีและแทบจะไม่ต้องเข้าหน้าเว็บเมลของ Gmail อีกเลย เพราะทุกอย่างสามารถจัดการได้ผ่าน client บนมือถือหรือ App ที่รองรับได้เกือบทั้งหมด ทำให้รายได้ในการแสดงผลโฆษณาบนเว็บนั้นหายไป งานนี้เป็นการบังคับคนใช้งานที่เป็น Free E-mail ว่าอยากใช้ EAS ก็จ่ายเงินมา เพราะต้องมองว่า client App ถ้าเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมดโดยไม่ผ่านหน้าเว็บใดๆ ที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ทำให้ไม่ต้องเข้าเว็บ แล้วผู้ใช้งานไม่จ่ายเงินก็เหมือนกับ Google ไม่ได้อะไรจากหน้าเว็บที่ตัวเองมีโฆษณาแสดงผลบนเว็บตามข้อมูลที่เกี่ยวกับอีเมลนั้นๆ ได้เลย

แต่ผลพวงอีกด้านนั้นผมมองว่า Google เอา EAS ออกนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ Google กำลังถอยจากแพลตฟอร์ม Windows Phone  และเป็นการบีบ Microsoft มากขึ้นในตลาด Windows 8 และ Windows Phone 8 ที่มีระบบที่สามารถใช้การเชื่อมต่อกับ Google Service ได้ เพราะบริการหลายๆ ตัวที่เชื่อมต่อได้ใน Windows 8 และ Windows Phone 8 นั้นใช้ผ่าน EAS ได้ เช่น People (Contact), Calendar และ Mail โดยสามารถ Push/Sync ได้ แต่เมื่อ Google ถอด EAS ออกจากบัญชีผู้ใช้ทั่วไปแบบ Free E-mail ทำให้ต้องปรับการเข้าถึงอีเมลผ่านทาง IMAP/POP3 และนั้นหมายถึงมันจะไม่ push มาให้ผู้ใช้งาน รวมถึง Contact และ Calendar ต่างๆ จะไม่สามารถ Sync เข้ามาได้ตามปรกติ เพราะ Google ถอด EAS ไปแล้ว โดยถ้าต้องการ Sync ก็ต้องทำผ่าน Protocal ที่เป็น open standard อย่าง CardDAV (Sync ตัว Contact) และ CalDAV (Sync ตัว Calendar) ซึ่งในตอนนี้ Microsoft ยังไม่รองรับ โดยระหว่างที่ปรับหรือหาทางออกในช่วงนี้ Microsoft คงเสียจังหว่ะในการพัฒนาตัว Windows 8 และ Windows Phone 8 ให้สมบูรณ์ในด้านอื่นๆ อยู่สักพักใหญ่ๆ มาปรับปรุงหรือหาทางออกให้กับผู้ใช้ของตัวเองให้กลับมาใช้งานได้ปรกติเหมือนเดิม เพราะต้องอย่าลืมว่าตัว Service ของ Google เองก็มีคนใช้ทั่วโลกอยู่เยอะ และผู้ใช้งานใน Operating System ของตัวเองก็ต้องทำให้รองรับให้ได้เพื่อให้ยังคงแข่งขันได้ในตลาดที่อุปกรณ์อย่าง Tablet และ Smartphone ที่ต่างแข่งขันกัน Push/Sync ได้แบบทันที เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ Microsoft แปลกใจที่ Google หยุดสนับสนุน Exchange ActiveSync, แนะลูกค้าย้ายมา Outlook.com  และต้องทำให้ Microsoft เผยรายละเอียดเพิ่มเติมและตอบคำถามเกี่ยวกับ Outlook.com และ Micorosft เผย ผู้ใช้ยังคงสามารถใช้งาน Gmail ได้ต่อ ด้วย IMAP เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งานในระบบ Operating System ที่ตัวเองพัฒนาอยู่ทั้งใน Windows 8 และ Windows Phone 8 ต่อไป

แต่จากเหตุการณ์นี้ ถ้าเรามองจะเห็นว่า Google ทำแล้วเกิดผลกระทบเยอะ เป็นข่าวค่อนข้างวงกว้าง นั้นคงเพราะเป็นลักษณะของการบีบผู้ใช้ให้เลือกข้างนั้นเอง โดยมุ่งไปที่ตลาด Smartphone ที่ Microsoft กำลังปลุกปั้นขึ้นมาใหม่อย่าง Windows Phone 8 อย่างชัดเจน โดยมองว่าผู้ใช้งานรายเก่าที่ใช้ Android หรือ iOS อยู่ก่อนแล้ว และกำลังคิดจะเปลี่ยนไปใช้ Windows Phone 8 คงต้องชะงัก และหันกลับมาใช้ Android ของตัวเองเป็นหลักตามเดิม หรือถ้ายังไม่พร้อมแต่ใช้ iOS อยู่ก็ให้เสพติด App ที่ตัวเองส่ง App เข้าไปเพื่อตีแนวๆ trojan อยู่ใน iOS อยู่เนืองๆ ซึ่งเห็นได้ชัดใน Google Maps ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานหลังจาก Maps บน iOS 6 นั้นไม่ได้ดีดังที่คาด และ Gmail App ที่ทำให้โหลดมาเพื่อเตรียมการประหาร Microsoft เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งถ้าดูๆ จากตลาดโลกในตอนนี้ Android มีส่วนแบ่งตลาดเยอะ และ Gmail ก็ติดลมบนและได้แรงส่งจาก Android ด้วย มันเลยสมประโยชน์กันพอดี เพราะทุกคนที่ใช้ Android ก็ต้องมี Google Account เพื่อใช้งานอยู่ด้วยเสมอ

หันมาดูทางฝั่ง iOS เองนั้น ถ้าโดนกินส่วนแบ่งไปเรื่อยๆ ส่วนตัวผมมองว่าผู้ใช้ iOS เองก็เตรียมตัวได้เลย เพราะตัวอย่างเห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้า Google หยุด support ตัว Gmail App ที่ push Mail ได้ แล้วบอกกับผู้ใช้ iOS ว่า ย้ายมา Android ซะเพื่อใช้ App ที่พวกคุณเสพติดกันได้ดีมากขึ้น หรือมี support จริงๆ ในอนาคต งานนี้ออกแนวตีหัวเข้าบ้านกันจังๆ เลย เพราะต้องอย่าลืมว่า EAS เลิก Support ระบบ push ที่ทำงานได้ใน iOS ผ่านการตั้งค่าใน Exchange ทั้ง Contact, Calendar และ Mail นั้นต้องถูกยกเลิกไปด้วย และต้องใช้ผ่าน Gmail App สำหรับ Push ตัว E-mail ของ Google บน iOS เท่านั้น และต้องลำบากชีวิตมากขึ้นเพื่อค่า CalDAV สำหรับ Calendar และ CardDAV สำหรับ Contact อีกที ส่วนใครไม่อยากใช้อีเมลรับ-ส่งผ่าน Gmail App ก็ต้องใช้ผ่าน IMAP/POP3 เอาเอง ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็น interval sync (polling) ไม่ใช่ push แบบที่เคยใช้งานบน EAS ตามปรกติที่รวดเร็วทันใจ งานนี้ก็ทำใจกันล่วงหน้าได้เลย

ส่วนตัวตอนนี้อีเมลที่ใช้ทำงานจริงจังจะใช้อีเมลที่อยู่ภายใต้ domain (@thaicyberpoint.com) ตัวเองเป็นหลัก ส่วนอีเมลที่เป็น domain พวก Free E-mail จะใช้เฉพาะเข้าถึงบริการของแต่ละบริษัทพวกนี้มากกว่า (@gmail.com, @yahoo.com หรือ @hotmail.com) แล้วตั้ง Forward ตัว E-mail เข้าตัว domain หลักของผมอีกทีทีนี้ก็ง่ายในการย้ายและรับ-ส่งอีเมลได้สบายๆ (ผมใช้วิธีนี้กับ @gmail.com @outloook.com และ @hotmail.com) แต่ถ้าบริการของบริษัทไหนสามารถตั้ง account บริการพวกนี้ด้วย domain ของตัวผมเองได้ จะใช้ domain ตัวเอง เพราะมันย้ายง่ายมากๆ เช่น .NET Passport หรือตอนนี้ชื่อว่า Microsoft account ที่ผมใช้อีเมลภายใต้ domain ผมเองอยู่เป็นต้น ซึ่งส่วนตัวจากข่าวข้างต้นทั้งหมดนั้นดูไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะปรกติใช้ Google Mail แบบเสียเงิน เป็น Google Apps for Business ที่ต้องจ่ายเงินปีละ 1,500 บาทต่อ 1 account อยู่แล้ว ซึ่งเหตุผลหลักๆ ที่ย้ายจริงๆ ก็คือไม่อยากเสียเงิน Google Apps for Business ที่ได้ความสามารถเพิ่มเติมมาเยอะ แต่ใช้ส่วนตัวจริงๆ ผมใช้แค่ให้มัน Sync กับ Microsoft Outlook ได้ (เหมือนเป็นค่า License ตัว API ของ Google ที่จ่ายให้ Microsoft ในการเข้าถึง API ของ Microsoft Outlook) แต่ตัวที่ทำให้การย้ายมา Hotmail มันเร็วขึ้นจากแผนที่วางไว้ 2-3 เดือนก็เพราะเรื่องภาษาไทยใน Google Mail ที่มี bug กับ Windows Phone 8 เลยทำให้ต้องย้ายเร็วกว่ากำหนด

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ คือ Gmail ย้ายมาใช้ Hotmail เนี่ยแหละ อ่านได้จาก ย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center (Custom addresses)

ซึ่งในการทำงานนั้น อีเมลผมจะใช้ domain ตัวเอง ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ ส่วนตัวผมก็แค่ย้าย MX Record จาก Gmail มาใช้ Hotmail แล้วก็ทุกอย่างก็จบ ผมรับ-ส่งเมล หรือคนส่งมาก็ยังใช้อีเมลเดิม แต่ระบบด้านหลังเปลี่ยนไปแล้ว เค้าไม่รู้สึกเลยว่ามีการเปลี่ยนอีเมลไปใช้ Hotmail แต่ถ้าใช้อีเมล Free E-mail ที่เป็น domain คนผู้ให้บริการ Free E-mail  ต่างๆ ชื่อ domain มันจะผูกติดกับบริษัทนั้นๆ ไปเรื่อยๆ เค้าบังคับให้ใช้อะไรก็ต้องใช้ไป จะย้ายจะเปลี่ยนก็ต้องอีเมลบอกกันเป็นร้อยเป็นพันคน เหมือนกรณี Gmail ในตอนนี้เนี่ยแหละ ที่ถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ก็ตัวใครตัวมันหล่ะ ซึ่งหลายคนใช้ @gmail.com กันเยอะขึ้น การย้ายทีก็บอกใหม่ทีซึ่งในอนาคตผมเชื่อว่ามันจะลำบากมากจริงๆ เพราะวันดีคืนดีบอกหยุดให้บริการหล่ะงานเข้ากันใหญ่ เพราะต้องมาย้ายหาที่อยู่ใหม่ เหมือนโดนไล่ที่

จากทั้งหมดทั้งมวลเอาเข้าจริงๆ ผู้ใช้ก็เหมือนโดนโยนกันไปโยนกันมา ในฐานะที่เป็นผู้ใช้งานต้องเตรียมตัวรับกับสิ่งเหล่านี้ให้ดี อย่างน้อยๆ ก็ต้องพร้อมที่จะย้ายบ้านได้ถ้าเจอบริษัททำวิธีการแบบนี้อยู่เนืองๆ กรณีนี้ Google น่าจะเห็นชัดสุดๆ ในปัจจุบัน เพราะผลกระทบเยอะและวงกว้างเห็นได้ชัดเจน คืออย่างน้อยๆ ก็คนใช้ iOS เนี่ยแหละต้องปรับตัว แต่ไม่ใช่ว่า Apple หรือ Microsoft ไม่ทำ สองบริษัทหลังนี่ก็ทำเหมือนกัน แต่ยังไม่เห็นผลชัดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เราผู้ใช้ต้องรู้เท่าทัน และสามารถที่ย้ายการใช้งานไป-มาได้ด้วยตัวเองด้วย เพื่อไม่ให้บริษัทพวกนี้มีอำนาจเหนือเรามากเกินไป (หรือง่ายๆ คือใช้ความเคยชินและข้อมูลของเราเป็นตัวประกัน) ส่วนตัวแล้วนั้นเชื่อว่าเราในฐานะคนใช้บริการมีทางเลือกเสมอ อย่าไปจมกับบริษัทพวกนี้มาก ถ้ามันรวมระบบกันแล้วไม่สนิทและทำงานแล้วลำบากก็ย้ายเสียแต่เนิ้นๆ เถอะครับ สรุปใช้ของฟรีมันก็แบบนี้แหละ ทำใจยอมรับกันไป คือทางเลือกมันมีนะ แต่อยู่ที่จะเลือกแบบไหน ><"

8 เรื่องราวของ Windows 8

จาก เล่าสู่กันฟังกับการ upgrade จาก Windows 7 มา Windows 8 ก็ผ่านมาได้ประมาณ 40-50 วันได้แล้ว ส่วนตัวผมเป็นการ upgrade มาจาก Windows 7

แน่นอนว่าหลายคนคงพอทราบแล้วว่า Windows 8 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ในตอนแรกที่จะนำเสนอคือส่วนของส่วนติดผู้ใช้จะเจอเสมอๆ หรือ User Interface นั้นเอง

ก่อนอื่นสิ่งที่หลายคนคงยังสับสนกับชื่อคือตัวหน้าตาหรือรูปแบบส่วนของ App (ขอใช้คำว่า App แทนคำว่า ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน) บน Windows 8 นั้นจะเรียกว่า  Windows 8 style UI (ชื่อเก่าถูกเรียกว่า Metro UI และ Modern UI ตามลำดับ) โดยใน Windows 8 นั้นมีอยู่ 2 รูปแบบในการแสดงผลคือ Windows 8 style UI ที่เป็นรูปแบบของ App แบบใหม่ และ Desktop mode ที่เป็นรูปแบบของ App ที่เราคุ้นเคยกันมาอย่างดีตั้งแต่ Windows 95 จนถึง Windows 7

มาวันนี้เลยอยากแนะนำว่าแต่ละส่วนที่เปลี่ยนแปลงมีอะไรบ้างกัน โดยส่วนที่ผมอยากแนะนำแบบจริงจังเพื่อให้การใช้งานสะดวกมากขึ้น 8 อย่างด้วยกัน ได้แก่

  1. Start screen & Live Tile
  2. Windows 8 UI Control
    – Charm Bar
    – AppBar
    – Settings pane
    – App switching
  3. Pin to Start
  4. Desktop Mode
  5. Personalization
  6. Network pane
  7. Language preferences
  8. Multitasking & LifeCycle in Windows 8 Apps

Read more

ย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center (Custom addresses)

หลายคนคงยังไม่ทราบว่า Hotmail (Windows Live Mail) ของ Microsoft มีบริการชื่อ Windows Live Admin Center ซึ่งเป็นบริการสำหรับใช้ชื่อโดเมนของเว็บอื่นๆ นอกจากชื่ออย่าง hotmail.com, windowslive.com หรือ outlook.com ในการใช้อีเมลของ Hotmail เอง ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Google Apps ของ Google ที่ให้บริการแบบนี้เช่นกัน

แน่นอนว่าส่วนตัวผมแล้วจะใช้ Google Apps มาก่อน แต่ด้วยความเข้ากันไม่ได้ของอีเมลภาษาไทยกับ Windows Phone 8 ในตอนนี้ที่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ (รอแก้แล้วย้ายกลับก็ได้ ฮาๆๆ) เลยต้องย้ายมาใช้ Windows Live Admin Center แทน ซึ่งก็ต้องใช้การย้ายข้อมูลที่ใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าคนที่มีความรู้ด้านเครือข่ายไอทีแล้วก็ใช้เวลาย้ายไม่เกิน 10 นาทีต่อโดเมนเท่านั้น (ถ้าทุกอย่างพร้อมและข้อมูลครบจริงๆ) แล้วเสียเวลาย้ายข้อมูลไปอีกนิดหน่อย (ขึ้นอยู่กับว่าเยอะแค่ไหน)

การเข้าก็เง่ายๆ ไปที่ https://domains.live.com/ แล้วก็สมัครไปตามปรกติ

image

ถ้ามี account อยู่แล้ว ก็ใช้ได้เลย ก็ Add domain เพิ่มได้เรื่อยๆ ตรงนี้มีข้อดีกว่า Google ตรงที่ 1 Live ID สามารถสร้าง domain แยกจากกันได้สบายๆ

2012-12-07_133728

โดเมนนี้เราสามารถนำไปใช้กับ Windows Mesenger (Windows Live Live, MSN) ก็ได้

image

แต่ละ domain รองรับจำนวนอีเมลได้มากถึง 500 อีเมล (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธ.ค. 2555)

2012-12-07_133020

ผมสรุปโดยทั่วไป ณ ตอนนี้

  • ข้อเสีย Windows Live Admin Center ก็คือไม่รองรับ Alias name ของ e-mail ใน UI บนเว็บ ถ้าจะใช้งานต้องทำผ่าน web service และทำได้เพียง 5 alias/e-mail เท่านั้น (เขียนโปรแกรมไป call services)
  • ตัวระบบ Windows Live Admin Center มีบริการทั้ง Mail, Calendar, People (Contact) และ SkyDrive เป็นหลัก
  • สามารถทำ Co-branding ได้ เผื่อเปิดให้บริการ Free e-mail สำหรับลูกค้าก็ได้ด้วย
  • ตัว SkyDrive รองรับไฟล์ Microsoft Office ผ่าน Web Interface (เทียบเท่า Google Docs)
  • ถ้าใช้ Outlook อยู่แล้ว สามารถ Sync ผ่าน Outlook ได้เลยทั้ง Contact, Mail และ Calendar แต่ข้อเสียคือไม่รองรับ Todo list ที่มีบน Calendar (แต่ถ้าใช้ Google Apps คุณต้องจ่ายเงินค่า App Sync เข้า Outlook ด้วย)
  • ถ้าชีวิตใช้แค่ Mail, Calendar และ Contact อยู่แล้ว การย้ายจาก Google Apps มา Windows Live Admin Center ก็สบาย

จิ๊กซอว์ของ Microsoft ที่เริ่มจะต่อกันติด!

จาก Xbox Surface: Microsoft’s 7-inch gaming tablet

ตอนแรกก็งงๆ ว่าทำไม Windows Phone มี Ratio ที่ 15:9 หรือ 800×480 และ 1280×768 ส่วน 1280×720 มันโผล่มาจากไหน 16:9 มันเอามาทำอะไร แถมก็มีหลายบริษัทมือถือบ้าจี้ทำซะด้วย เพิ่งอ่านข่าวเจอ (เก่าไปหน่อย เพราะตอนแรกไม่สนใจ) ว่ามี Xbox Surface ที่ใช้ความละเอียด HD 720p (1280×720) ด้วย!!

อืมมม ทำให้เข้าใจได้เลยว่าทำไมมันถึงมี 1280×720 ใน Windows Phone 8 SDK คงเพราะ Microsoft จะเอามาทำ Xbox Surface (HD 720p) นี่เอง!!! คิดมานานแล้วซินะ #เหนือชั้น

เพิ่งลองเปิดใน Windows Phone 8 SDK มันมี XNA Game Studio 4.0 อยู่ในนั้นทั้ง C# และ VB.NET แถมมันยังมี C++ Project สำหรับสร้าง Direct3D Library ฯลฯ ด้วยนะ

เพราะงั้นทำเกมส์ลง Windows Phone 8 เอามาลง Xbox Surface ได้เลย แถม Kernel ของ Windows Phone บางส่วนมีอยู่ใน Windows 8 และ Windows RT ด้วย คือทำ core ของเกมดีๆ port ไปได้หมดเลย (ในทางโครงสร้าง software มันทำได้ มันอยู่ที่จะทำไหม)

Microsoft เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แถมมีมีข่าว Xbox ตัวใหม่กำลังจะออกต่อจาก Xbox Surface ที่เป็นตัวต่อจาก Xbox 360 ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นด้วย หลังจากที่ Kinect ที่มารวมพลัง

ปล. ใครนั่งอ่านมองภาพตามคงเริ่มต่อติดนะว่า Microsoft กลับมารอบนี้น่ากลัวมาก ประเด็นคือจะ integrate ecosystem ทั้งหมดให้เนียนได้ยังไงเนี่ยแหละ เพราะ Microsoft มีปัญหาเรื่องนี้มากๆ ในระยะหลังๆ

เล่าสู่กันฟังกับการ upgrade จาก Windows 7 มา Windows 8

เป็นเวลาเกือบๆ ปีที่เฝ้ารอ Windows 8 แม้ว่าจะได้ลองใช้ Consumer Preview และ Release Preview มาสักพักใหญ่ แน่นอนว่าได้ไปเข้าร่วมงาน Windows 8 Developer Camps ที่ ม.เกษตรฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วย ได้พัฒนา Apps บน Windows 8 Style UI (Metro UI/Modern UI) แล้วก็ได้เล่นๆ แบบจับๆ วางๆ เพราะหน้าที่การงานมันยุ่งวุ่นวายตลอด แต่โดยรวม ถือว่าได้สัมผัสและรับทราบการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นระยะๆ

มาเมื่อคืนวันที่ 25 ต.ค. 2555 ที่ผ่านมา ผมก็ได้ดู Live เปิดตัว Windows 8 ผ่าน Internet ประมาณเวลา 22:15 น. ตามเวลาประเทศไทย พอดูจบ ผมก็เข้าเว็บเพื่อสั่งซื้อ ดูว่าได้ไหม สรุปว่าพอเที่ยงคืนก้าวเข้าวันที่ 26 ต.ค. 255 ที่ผ่านมา ก็สามารถซื้อได้ โดยคลิ้ก Buy $39.99 แบบ upgrade จาก Windows 7 ที่ผมมีอยู่ โดยเว็บได้ส่งไฟล์ Windows8-UpgradeAssistant.exe มาให้ผม แล้วให้ติดตั้งบนเครื่องเพื่อตรวจสอบก่อนว่าเครื่องเราพร้อมที่จะ upgrade หรือไม่

2012-10-25_215226

IMG20121025223210

เวลาผ่านไปเกือบตีหนึ่ง ผมนั่งรออยู่ที่หน้า checking compatible แล้วพบว่ามี Software และ Driver ต่างๆ ที่ไม่รองรับเป็นรายการที่เยอะมาก เมื่อเห็นเช่นนั้น ผมก็ไล่ปรับตามคำแนะนำ ทั้ง remove และเคลียร์ setting ต่างๆ จนผ่านขั้นตอนนี้ไป

มาถึงขั้นตอนการสั่งซื้อ ก็กรอกข้อมูลส่วนตัว-ที่อยู่ ลงไปพร้อมข้อมูลในการชำระเงิน เพื่อซื้อตัว upgrade

2012-10-25_235923

ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี การซื้อต่างๆ ทำผ่าน Windows 8 Upgrade Assistant ได้อย่างราบรื่นในราคา $39.99 ผ่านระบบ ระบบจะส่งอีเมลพร้อม CD-Key มาให้ทางอีเมลที่กรอกไว้ตอนชำระเงิน ผมแนะนำว่าอีเมลนั้นควรจะเป็นอีเมลที่ปลอดภัยและใช้งานร่วมกับ Windows 8 ในอนาคตด้วย

image

ทุกอย่างผ่านในส่วนของ CD-Key แล้วก็ Download ตัว Windows 8 Pro ผ่าน Internet ใช้เวลา 2 ชั่วโมงโดยประมาณ

(สำหรับ Internet 4Mpbs)

2012-10-26_002835

สรุปว่า…… Windows 8 Install Failed!!! …….. T_T เศร้าครับ

เพราะขั้นตอนทั้งหมดไล่จนถึง Windows 8 Install Failed นั้นคือ ตี 3 แล้ว!!!

ผมยังไม่ละความพยายาม ลองอีกครั้ง คิดว่าเป็นที่ AntiVirus/Firewall ฯลฯ ไล่ปิดทั้งหมด แล้วลองใหม่ สรุปเหมือนเดิม T_T

ผมเปิด Administrator Tools แล้วใช้ EventViewer เพื่อเช็คว่าเกิดอะไรขึ้น ผมนั่งไล่ error log ของ Windows 8 Install ทั้งหมด พบว่าไฟล์ Installation ของโปรแกรมหลายๆ ตัวไม่มี ซึ่งคงเป็นเพราะผมไล่ลบมันออกเพราะประหยัดเนื้อที่ของ System Drive ที่ผมใช้เป็น SSD (มีพื้นที่จำกัด) มันเลย Migrate/Upgrade ไปไม่ได้ มี Fail อยู่หลายตัวด้วยกัน นั่งมึนๆ งงๆ ง่วงๆ อยู่พัก แต่โชคดีที่ Windows 8 Install มันเช็คก่อนว่ามีอะไรมีปัญหาไหม เพราะตอนนั้น Windows 7 ผมก็ยังทำงานได้อยู่เป็นปรกติ (แต่โปรแกรมไล่เอาออกไปเยอะเหมือนกัน)

เอาไงหล่ะ ><”

ผมตัดสินใจ เอาวะ!!! ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมก็ Backup ตัว Profile User ของ Windows 7 ทั้งหมด เพื่อที่จะทำการ Format เพื่อ Clean Install แทนครับ

แล้วไงต่อ ไม่มีแผ่น!  (><”)\

แต่เดี่ยวนะ ผมมี!

ผมจำได้ว่าผมมี en_windows_8_pro_vl_x64_dvd_917699.iso อยู่ มันเป็น DVD Image ของ Windows 8 Pro Volume License แบบ x86x64 บน MSDN ผมลองลงดู มันไม่ถาม CD-Key!!! ><”

ไม่ๆๆๆ มันแปลกๆ ผมว่ามันโดน Activation Block ในอนาคตแน่ๆ ผมไม่อยากมีปัญหา ผมเลยมานั่งคิดๆ

เออ ใช่! มีอีกไฟล์นี่น่า! (^O^)/

ใช่ ผมมี Windows_8_Pro_EN-US_x64.ISO ซึ่งเป็นไฟล์ DVD Image ของ Windows 8 Pro RTM อยู่แล้ว และได้มาสักพักใหญ่ๆ ซึ่งเป็นไฟล์ที่ได้จาก MSDN แต่ตอนนั้นผมไม่มี CD-Key แต่ตอนนี้องค์ประกอบครบ ได้ใช้แล้ว!!!

ตอนแรก Write ลง DVD ไว้ด้วยแผ่นหนึ่ง แต่ลืม ><”

IMG20121026193230

ผมใช้ Windows 7 USB/DVD download tool เอาตัวไฟล์ DVD Image อัดใส่ USB Drive ว่างๆ ขนาด 8GB ที่มีอยู่ทันที แล้วทำการ Format  เครื่องแล้วติดตั้งใหม่แบบ Clean Install เสียบ USB Drive แล้วตั้งให้เครื่องบูตจาก USB Drive เพื่อติดตั้ง

คราวนี้ไม่พลาด พอเข้าหน้าเริ่มติดตั้งถาม CD-Key ทันที!

ผมกรอก CD-Key ที่ได้ลงไป และผ่านไปได้ด้วยดี การติดตั้งไม่มีอะไรมาก คลิ้ก Format ตัว SSD ที่ผมจะติดตั้ง และคลิ้ก Install อีก 1-2 ครั้ง นั่งรอ ดื่มน้ำเย็นๆ สักพัก ให้หายง่วง หน้าจอ Windows 8 ขึ้นมา พร้อมแนะนำการใช้งานตัว Start Screen ตัวใหม่

ทุกอย่างติดตั้งไปอย่างราบรื่น Windows 8 Pro แนะนำให้ต่อ Internet เพื่อทำการ Install Apps ของ Windows 8 Style UI ใหม่และ update patch ต่างๆ

ระหว่างนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ผมไล่หา Driver ของ ThinkPad T420 เครื่องที่ผมใช้งานหลักอยู่ ทุกอย่างไม่มีปัญหาเพราะ Lenovo ไล่ Update ตัว Driver และ Utility เกือบทั้งหมดที่จำเป็นรอไว้แล้วในวันที่ 26 ต.ค. 2555

สำหรับ Driver นั้น ถ้ามีสำหรับ Windows 8 ก็ใช้งานได้เลย แต่ถ้าไม่มี ก็ใช้ Driver ของ Windows 7 ไปก่อนได้ เพราะเกือบจะทั้งหมดทำงานได้บน Windows 8 ครับ (ที่ใช้คำว่า “เกือบ” เพราะอาจจะมีบางส่วนเจอปัญหา แต่ผมยังไม่เจอปัญหา)

Tips: พอใช้ไปสักพัก ปุ่ม Start หายไป! (แน่นอน ผมรู้มานานแล้ว)

ผมเลยเข้า http://www.stardock.com/products/start8/ เพื่อกดไปซื้อ ปุ่ม Start ที่มันเคยมีกลับคืนมาในราคา $4.99 ><”

image

แล้วผมก็ได้มันกลับคืนมา!!!

win8

สำหรับการใช้งานโดยทั่วไป ซึ่งถ้าพูดเรื่องความเร็วแล้วถือว่าเร็วขึ้นทั้ง Boot Up, Sleep/Wake up และ Hibernate สำหรับในส่วนของการใช้งาน Start Screen อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวกันสักหน่อย และเรื่องการ Setting หลายๆ อย่างที่มันไปหลบซ่อนอยู่ (รวมถึง Menu ปิดเครื่อง)

Tips: การปิดเครื่องนั้นให้กดปุ่ม Windows เข้า Start Screen แล้วลาก Mouse ไปขอบจอด้านขวามือ (บนหรือล่างก็ได้) ให้ Charms Bar ขึ้นมาจากด้านขวา (หรือกด Windows + C ก็ได้ง่ายๆ)

image

แล้วเลือก Settings จะเจอ Menu “Power” อยู่ ก็เลือกได้ตามใจชอบครับ

image

 

Tips: สำหรับคนที่กังวลเรื่อง Color Profile ของจอภาพ Spyrder 3 Pro ยังคงทำงานได้ปรกติบน Windows 8 ครับ

IMG20121026193135

จาก Windows Experience Index รู้สึกคะแนน Graphics ตกลงไป ผมคิดว่าเป็นปัญหาของตัว Driver ที่อาจจะยังไม่เสร็จดี หรืออะไรสักอย่าง ><”

2012-10-26_192021

 

Tips: การลบไฟล์ใน Windows 8 ไม่มี dialog box "confirm" ขึ้นมาให้เป็นค่าเริ่มต้น คือลบแล้วมันไปอยู่ใน Recycle bin ทันที!! ถ้าอยากได้ dialog box "confirm" ขึ้นมาเหมือนเดิม (หลายคนไม่ชิน) ก็ตั้งตามภาพด้านล่างครับ

2012-10-27_211530

 

ตอนนี้ผมก็เล่าถึงประมาณนี้แล้วกันครับ ว่างๆ จะมาเล่าเรื่องอื่นๆ ต่อไป ^^