การเปลี่ยนแปลง Facebook และ Google+ ในช่วงนี้ เราคนใช้งานต้องปรับตัว

ผมมองว่าเราต้องทำใจให้ชินครับ ….

แต่เสียงบ่นในช่วงวันที่ผ่านนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า ทำไมคนยุคใหม่ที่บอกตัวเองว่าทันโลก เป็นคนที่ติดตามข่าวสาร ที่ทันท่วงทีจาก twitter และหรือช่องทางอื่นๆ ที่รวดเร็วทันใจ รู้ทันทีว่ามีอะไรใหม่ๆ พวกทันหมด ไม่ว่าจะ ข่าวลือ iPhone 5/iPad 3 การออกใหม่ของ Windows 8 พวกต่อแถวซื้อ BB 9900 หรือข่าวฉาวดาราต่างๆ ออกมา นี่ทันไปหมด รู้กันรวดเร็วมาก แต่ทำไมเรื่องบางเรื่องกลับไม่สามารถทันได้ ปรับตัวไม่ได้ มันน่าแปลกใจ … หรือเพราะมันโชว์ไม่ได้ มันเลยไม่ Cool!!! อันนี้ผมก็ยังงงๆ อยู่

ในตอนนี้ผมเชื่อว่าถ้า Facebook ยังทำอะไรเดิมๆ ไม่ปรับเปลี่ยน ตกหลุมความสำเร็จและไม่ยอมลองผิดลองถูก กับสิ่งใหม่ๆ ที่คู่แข่งมีและก้าวออกมาหยิบมันกลับไปสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง ผมว่าเค้าอยู่ในสภาพที่แข่งขันไม่ได้ ไม่เติบโต ผมว่าพวกเราหลายๆ คนคงจำ MySpace หรือ Hi5 ได้ ความยึดมั่นกับตัวเองว่าตัวเองมีดี สุดท้ายเป็นไง ไม่พัฒนา ไม่ต่อยอด ตอนนี้โดน Facebook แซงไปไกล และเหตุที่ทำให้ Facebook เพิ่มเติมคุณสมบัติใหม่ๆ เข้ามาในตอนนี้ เพราะ Google+ กำลังมาแรง แน่นอนว่าลูกเล่นหลายๆ อย่างอาจจะยังไม่เข้าที่ แต่เปิดตัวมาก็ไม่ใช่เล่นๆ อัตราการใช้งานเริ่มเยอะ ถ้า Facebook ไม่ทำอะไรสักอย่าง ให้ตัวเองมีคุณสมบัติที่ทัดเทียมแบบเดียวกับคู่แข่ง (คู่แข่งยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ถ้าไม่ต่อยอดก็กลายเป็นถอยหลังแทน) สุดท้ายคนจะเริ่มหาสิ่งที่เค้าคิดว่าเหมาะสมกว่าแล้วจากไปเช่นเดียวกับที่ Facebook ทำกับคู่แข่งคนอื่นๆ ในอดีต

ในฐานะที่เราเป็นคนใช้งาน และยังใช้งานฟรี บางครั้งก็ต้องทำใจยอมรับและเรียนรู้กันไป และยังเชื่อว่าโลกนี้มี Social Networking ทางเลือกอีกเยอะ ถ้าเริ่มรู้สึกไม่ใช่ แน่นอนว่าถ้าอยากแนวก็หาทวีปใหม่ได้เลยครับ

ความคิดเห็นต่อ “Google+เป็นภัยต่อช่างภาพ!?”

จากข่าว “Google+เป็นภัยต่อช่างภาพ!?

ท่ามกลางข่าวสารคึกคักเกี่ยวกับเสียงตอบรับถล่มทลายจากชาวออนไลน์ทั่วโลก ล่าสุดสื่อนอกเตือนภัยการโพสต์ภาพบนเครือข่ายสังคมใหม่ล่าสุดของกูเกิล กูเกิลพลัส (Google+) ว่าจะเป็นภัยต่อช่างภาพมืออาชีพเนื่องจากเง…

มันก็ตั้งแต่โลกมี Digital Data ที่ Copy ได้โดยที่ต้นฉบับยังคงอยู่ครับ ผมมองว่า Google+ คือ Flickr หรือเว็บแชร์รูปทั่วไป ที่มีข้อกำหนดเพื่อปกป้องตัวเองจากการทำ Copyright เป็นหลัก ซึ่ง Facebook, Flickr, Multiply หรือเว็บอื่นๆ ก็มีระบบ Share หรือ Embed รูปก็มีข้อกำหนดที่ไม่แตกต่างกันทั้งนั้น เพียงแต่ Google+ ทำให้มันง่ายขึ้นแบบเดียวกับ Facebook นั้นแหละ

ถ้ามองในความเป็นจริงสิทธิ์ในตัวรูปภาพยังอยู่กับคนเป็นเจ้าของ การเอารูปไปใส่ใน Social Network ใดๆ เป็นการยอมรับการแจกจ่ายด้วยตัว Function หลักของมัน แต่เมื่อใดที่คนใน Social Network นั้นๆ ทำการสำเนา (Save As to …) ออกมาโดยไม่ใช่ Function Share แล้วเผยแพร่ไปที่เว็บอื่นๆ หรือสื่ออื่นๆ นั้นแหละถือว่าละเมิดแล้ว

ประกอบกับด้วยความที่มันเป็น Cloud Storage มันจึงถูกทำให้เกิดข้อกำหนดนี้แบบเดียวกับ Dropbox ฯลฯ บริการอื่นๆ ที่มันสามารถ Public ออกไปด้วย เพราะตัวรูปแบบของ Cloud นั้นจะมีการทำสำเนา หรือวิธีจัดเก็บที่อาจจะต้องปรับปรุงหรือสำเนาต้นฉบับไปหลายๆ ที่เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึง เช่นย่อรูป, ทำให้คุณภาพรูปลดลงเพื่อจำกัดพื้นที่ หรือนำไฟล์ไปกระจายตามเครื่องแม่ข่ายต่างๆ ทั่วโลก

ซึ่งจริงๆ มันเป็นเรื่องของข้อกำหนดของกฎหมายที่ให้สอดคล้องกับวิธีทางเทคนิคภายในที่คนทั่วไปไม่รู้ ถ้าเข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์จริงๆ จะทราบว่าสิขสิทธิ์ของรูปภาพขึ้นอยู่กับความยินยอมของผู้เป็นเจ้าของนั้นๆ ซึ่งมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะเกินกว่าแค่การทำสำเนารูปไปมาแล้วจบ ซึ่งมันก็อ้างอิงถึงเรื่องผลประโยชน์ของผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นหลัก

เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) ถ้าดีก็จ่ายเงินเค้าเหอะ

เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) นั้นเริ่มทำให้ผมต้องจ่ายเงินรายปีมาตั้งแต่ต้นปี 2009 แล้วหล่ะครับ ส่วนตัวแล้วมี Server เป็นของตัวเองวึ่งเป็น Co-locations อยู่ แต่ที่ผมใช้บริการพวกนี้ อาจจะเพราะต้องการอะไรที่มากกว่าพื้นที่เก็บข้อมูลหล่ะมั้ง

ตอนนั้นผมสมัครใช้บริการเว็บให้บริการบนกลุ่มเมฆที่คุณสมบัติมากกว่าที่เค้าให้บริการฟรีอยู่ 1 เว็บเป็นการประเดิม นั้นคือ Multiply ในรูปแบบ Premium Member เป็นเว็บที่ผมจ่ายเงินให้เป็นเว็บแรก เพียงเพื่อใช้งานในการเก็บรูปภาพของผมได้ไม่จำกัด การไม่แสดงผลโฆษณาในหน้าเว็บที่ผมใช้งานอยู่ (ป้ายมทันใหญ่ใช้ได้เลย รำคาญน่ะ) และยังคงข้อมูลไฟล์รูปภาพทั้งหมดไว้ตราบที่ผมยังคงจ่ายเงินใช้บริการรายปีต่อไปเรื่อยๆ ในราคาค่าบริการปีละประมาณ 700 บาทได้ ($19.95/Year) ด้วยข้อเด่นที่ยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้คือชุมชนคนถ่ายภาพที่เยอะจึงเหมาะแก่การจ่ายเงินเพื่อคงข้อมูลรูปภาพต่างๆ ไว้อย่างดีที่สุด (จ่ายเงินแล้วก็น่าจะได้บริการการ backup ข้อมูลที่ดีกว่า)

พอสักพัก ผมรู้สึกว่าผมอยากได้พื้นที่สำหรับเก็บภาพสำหรับอัพรูปเป็นรายครั้งมากกว่ารายอัลบั้มที่มีลักษณะเป็น Stream ซึ่ง Flickr ตอบวิธีคิดนี้ได้ดีมากๆ ในค่าบริการรายปีเช่นกัน โดยมีค่าบริการแพงกว่า Multiply Premium อยู่แลกน้อย แต่สิ่งที่ดีมากกว่า Multiply คือคุณภาพของการเก็บไฟล์และแสดงผลรูปที่มีคุณภาพดีกว่ามาก (ไม่เบลอหรือบีบอัดไฟล์รูปแบบย่อลงไปจนเสียคุณภาพ) พร้อมระบบ Web Services API ที่ล้ำสมัยกว่า Multiply มาก ทำให้การจ่ายเงินจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยจากความต้องการ ประกอบกับ Pro Member ของ Flickr นั้นได้ความแตกต่างจาก Free Member เยอะกว่า Multiply อย่างเห็นได้ชัด ทำให้ราคาประมาณเกือบ 800 บาท ($24.95/Year) จึงไม่แพงจนเกินไปนัก

ผมใช้ Services ทั้งสองเว็บมา 2 ปี และไม่มีเว็บไหนโดนใจในการจ่ายเงินผมลงไปจนกระทั้งปลายปี 2010 Extension ของ Firefox อย่าง XMarks ที่ผมใช้ในการ Sync Bookmarks ทั้ง 3 Web Browser นั้นเข้ามาทำให้ผมต้องจ่ายเงิน เพราะผมทำงานด้าน Web Developer การต้องมานั่งใช้ Bookmarks ที่ไหนที่นึงเป็นหลักแล้วโยกไปโยกมาระหว่าง Browser เป็นเรื่องปวดหัวมากๆ การมีระบบ Sync ข้ามกันไปมาย่อมดีกว่ามากๆ แถมระบบ Open Tab Sync ที่ช่วย Sync ระหว่าง Browser ทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นเยอะมาก โดยผมไม่ต้องกรอก url ใหม่ตลอดเวลา ก็เลยสะดวกและทำงานเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นการจ่างค่าบริการ XMarks Premium ในราคาเกือบ 400 บาทต่อปี ($12/Year) จึงสมเหตุสมผลมากๆ ซึ่งได้เรื่องการ Sync เข้า iOS, BlackBerry และ Android ได้ด้วย แถมระบบ Backup ย้อนหลังได้ 3 เดือนทำให้ผมมีระบบ Backup Bookmark ที่ดีไปในตัว ซึ่งสำหรับผมแล้ว Bookmark ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะมันคือการเก็บบันทึกการใช้งานเว็บผมไปในตัวด้วย

พอมาปี 2011 ก็สมัคร Google Apps for Business ปีละประมาณ 1,500 บาท เพื่อทำ Cross sync ตัว Contact/Calendar/Mail ระหว่าง Microsoft Outlook กับตัว Google Apps เพื่อให้ทำ Wireless Sync กับอุปกรณ์ทั้งหมดที่ผมพกพาตั้งแต่ BlackBerry, iPod Touch 4 และ HTC Pharos อีกทีนึง แน่นอนเป็นราคาใช้บริการรายปีที่แพงมากสำหรับผม แต่เมือ่ได้ทดลองใช้มาเกือบ 3 เดือน (trial 1 เดือนด้วย) ช่วงแรกจะปวดหัวมากในการปรับตัวและ Clean Sync มี Contact/Calendar ซ้ำเยอะ ต้องไล่ๆ ปรับอยู่หลายวัน แต่สุดท้ายก็เป็นไปได้ด้วยดี เวลามี Contact/Calendar ใส่เพิ่มหรือแก้ไขเข้ามา ทุกอย่าง Sync ถึงกันหมดผ่านอากาศ โดยไม่ต้องพึ่งสาย กลายเป็นสายเป็นแค่ที่ชาร์จแบตฯ ของอุปกรณ์เท่านั้นในตอนนี้ คือถ้าใครไม่ได้สัมผัสการใช้งาน Wireless Sync จะไม่รู้เลยว่ามันสะดวกแค่ไหนในการใช้งาน อีกอย่างทำแบบนี้แล้วข้อมูลของเราไม่ว่าจะเป็น Contact/Calendar จะปลอดภัยเพิ่มขึ้นในเรื่องเวลาอุปกรณ์โดนขโมยอย่างน้อยๆ ก็ยังมีข้อมูลเหลือให้เรานำไปใช้ต่อไปได้ในอนาคต

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วใช้บริการ services แบบ cloud พวกนี้อีกหลายตัวที่ยังใช้งานฟรีอยู่อย่างเช่น Dropbox (cloud storage), Evernote (cloud notable) และ Picasa Web (cloud photo album) ส่วนตัวอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงก็คือใช้ออกแนวเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอย่างตัวที่ได้กล่าวๆ มา จริงๆ แล้วอยากใช้ Dropbox และ Evernote นะ แต่ว่าตัวเลือกมีน้อย ตัวต่ำสุดก็แพงยังคงไม่เห็นจุดคุ้มในการใช้งาน ส่วน Picasa Web ก็ดูจะเป็นแค่ตัวสำรองสำหรับ Flickr มากกว่า แฮะ ….

เร็วๆ นี้ผมก็กำลัง ย้ายจาก Multiply ไป Flickr อย่างเต็มตัว และรูปภาพเซ็ตหลังๆ ผมจะอยู่ที่ Flickr เท่านั้น ส่วนภาพเก่าๆ จะทยอยใส่ลง Flickr ทั้งหมด ส่วน Multiply ก็ดูแล้วจะคงได้เวลาหมดสัญญาไปเสียทีหล่ะมั้ง ส่วนเรื่องชุมชนคนถ่ายภาพนั้นก็ยังคงอยู่ แต่คงเป็นแค่ลักษณะโพสภาพเล็กๆ น้อยๆ เรียกคนเข้า Flickr แทน ;P เพราะเหตุผลแท้จริงๆ ในการทำอัลบั้มรูปคือคุณภาพของรูปที่แสดงเป็นหลัก ซึ่งผมลืมข้อนี้ไปเสียสนิท และนั้นก็ยังผลมาถึงคำถามต่อคุณภาพของ Multiply ที่แย่ลองและเมื่อเทียบกับ Flickr แล้ว นับวันยิ่งเห็นความต่างเยอะ อีกทั้งความคมชัดของภาพก็แย่ลงเรื่อยๆ และผมเริ่มรับไม่ได้ อีกทั้งระบบจัดการรูปก็ไม่พัฒนา มีแต่อะไรก็ไม่รู้ที่ก็ไม่ได้เรื่องสักอย่างมากขึ้นทุกวัน ส่วนรูปใน Flickr กว่า 3,000 รูปก็กำลังจัดระเบียบพวก tags/sets/collections ใหม่ทั้งหมด และ Backup Original ไว้อีกชุดนึง ผ่านโปรแกรม Bulkr ที่ได้ชื่อว่าเป็น Flickr Organizer บน Windows ที่พึ่งซื้อมา (ประมาณ 800 บาท) แล้วทำการ Sync เพื่อ Backup เข้าเครื่องคอมฯ แล้วก็ส่งเข้า Folder ของ Dropbox เพื่อ Sync Backup อีกชั้นนึงด้วย (ซับซ้อนโคตร)

ส่วนตัวแล้วคือใช้ Flickr เป็นแผนระยะยาว เพราะต้องการที่จะใช้ Flickr ในส่วนของ Web Service API ในการทำ Photo Gallery ต่อไป ส่วน Multiply ระบบ Web Service API ไร้ซึ่งทิศทางมาสักพักแล้ว เพราะตอนออกมาใหม่เหมือนจะดี แต่สุดท้ายก็ เงียบ และผมหมดความอดทนที่จะรอใช้แล้วน่ะครับ

ฝากนิดนึง สำหรับคนใช้งานแนวๆ ผมหรือใช้บางตัวนั้น ถ้าเราใช้แต่ของฟรีในเน็ตกันจนเคยตัว แล้วเมื่อมีอยู่วันนึงที่เราอาจจะจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อบริการที่ดีกว่ากลายเป็นไปต่อว่าเค้า หาว่าเค้าหน้าเลือด ลืมไปหรือเปล่าว่าคนทำงานเหล่านั้นเค้าก็คนที่กินข้าว มีภาระและความจำเป็นเท่าๆ กับเรา ผมว่าคำพูดพวกนี้สำหรับบางคน “เอาแต่ได้กันเกินไปหรือเปล่า” … เราในฐานะคนใช้บริการ เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ใช้ถ้าไม่พอใจในราคาดังกล่าว (เราจ่ายไปแล้ว เรายังขอเงินคืน ก็ยังได้เลย) และแน่นอนถ้าเราพอใจ เราก็สมควรที่จะจ่ายไม่ใช่หรือครับ ^^

มุมมองของผมสำหรับ Smart Phone ของ 4 ยักษ์: Apple/Blackberry อาจสะดุดขาตัวเอง, Google ไปได้สวย และ Microsoft ก็ดูจะใจเย็นเช่นเดิม

จาก CEO ของ Netgear ระบุ “ระบบปิดจะสร้างปัญหาให้แอปเปิลภายหลัง”, “เกมจบแล้วสำหรับไมโครซอฟท์” เลยมาเขียนขยายสักหน่อย

Apple ก็คือ Apple ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนอาจสะดุดขาตัวเองและจบลงไม่สวยเหมือนเดิม แบบเดียวที่เกิดกับตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อน เพราะระบบปิด ถ้าไม่คิดจะเปิด ก็น่าจะกลับไปอยู่ในจุดเดิม แน่นอนจำนวน App ที่เยอะ ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนพัฒนา App ใหม่ๆ น้อยลง เพราะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ออกแนวตลาดเริ่มวาย ไม่ตาย แต่ก็โตช้าลง อีกทั้งตัวอย่างของระบบปิดแล้วไม่รุ่งที่สดๆ ร้อนๆ ก็ดูจะเป็น iAds ก็ไม่รุ่ง ดูจะเงียบๆ Ping ก็ดูจะเฉยๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ มันปิดมากไป คนใช้งานก็ดูจะไม่ค่อยพูดถึง ฯลฯ จริงๆ ก็มีอีกหลายอย่างที่ดูจะไปไม่ถึงฝั่ง (แต่คนไม่ค่อยพูด) ถ้าไม่มีการปรับอะไรและยังดื้อดึง ก็คงรู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร

Blackberry อันนี้ออกแนวเดียวกับ Apple แต่ดูจะเปิดกว่าเยอะในเรื่องของการส่งและตั้งราคาขายตัว App ให้เข้า Store แต่ด้วยความที่เป็นระบบที่ปิดเกือบจะทั้งหมดเช่นเดียวกับ Apple รวมไปถึงระบบ push/bbm ที่ใช้ได้กับของตัวเอง ถ้าไม่นับเรื่องความปลอดภัยในการเข้ารหัสอีเมล, ระบบ push ที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง ถ้ายังไม่สร้างอะไรใหม่ๆ ที่ฉีกแนวไปจากนี้ ก็ดูจะไปรอดได้ยากถ้าตลาดในปัจจุบันมุ่งไปทางผู้ใช้ทั่วไปเป็นหลัก และตลาดองค์กรก็ดูจะโดนผู้เล่นเจ้าอื่นๆ ตีขนาบเข้ามาเช่นกัน ทำให้ดูจะโดนบังคับต้องออกมาเล่นบนทะเลเลือดของคนอื่น เช่นเดียวกับที่ตัวเองก็เคยบังคับให้คนอื่นๆ วิ่งเข้ามาเล่นในทะเลเลือดของตัวเอง (ตลาด push/enterprise services) งานนี้ถ้า OS6 ไม่รุ่ง คาดว่า OS7 คงมีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบผลิกฝ่ามือแน่นอน เพราะดูจากทิศทางของ Playbook ที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมาช้าไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ OS7 ก็น่าจะแนวนั้น!

Google เห็นตรงนี้เลยใช้แนวทางอีกแนวที่เปิดเต็มที่ (เกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้) ก็ดูจะไปได้ดีและรุ่งใช้ได้เลย แต่ปัญหามันอยู่ที่การเข้ากันได้ของแต่ละรุ่นการพัฒนาซอฟต์แวร์จากรุ่นเก่ามารุ่นใหม่ เพราะ Google ทำให้มันแตกต่างมากจนยากจะ upgrade และใช้ต้นทุนสูงในการปรับแต่งอยู่พอสมควร ออกแนวเปิดเยอะ แต่ฟรีแค่ตอนต้น ถ้าอยากสร้างความแตกต่างก็ต้องลงทุนพัฒนาเพิ่มเอาเอง ตรงนี้แหละที่จะมีปัญหาความเข้ากันได้ในอนาคต ซึ่งผมก็คิดว่า Google ก็คงปล่อยไปแบบนั้น เพราะไม่งั้นจะเข้าแนวทางของ Apple และเสียความน่าเชื่อถือของตัวเองไป อีกอย่างที่ผมมองก็คือ Google อาจจะต้องตระหนักมากขึ้น คือการกำหนดคุณสมบัติขั้นต่ำของ OS ตัวเองไว้บ้าง มีการปล่อยตัวมือถือที่เป็นรุ่นเรือธงให้กับค่ายอื่นๆ ได้เป็นแบบอย่างเช่นเดียวกับที่ทำ Nexus ออกมา ไม่อย่างงั้นแล้ว ผู้ใช้ที่ซื้อมาใช้งานบนเครื่องที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม จะได้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ประทับใจกลับไปแทนสุดท้ายก็เสร็จ Microsoft และ Apple ตามระเบียบ!!!!

Microsoft ก็มาแบบช้าๆ ตามแนวทางพี่ใหญ่ตัวอ้วน ขยับตัวช้า แต่ดูแล้วรอบนี้จะใจเย็นเกินไป ถึงแม้ว่าของใหม่จะย่อมสดใสกว่าและยังเป็นเหมือนทวีปที่ยังต้องการค้นหาอะไรอีกเยอะ แต่ถ้าใจเย็นแบบนี้ กลัวจะไล่ตามคนอื่นเค้าไม่ทัน แต่แน่นอนครับ ผมมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอกได้ชัดเจนว่า Microsoft กำลังพ่ายแพ้ในตลาดนี้ เพราะดูจากการเปิดตัวและยอดจำหน่ายจากข่าวต่างๆ แล้วดูท่าจะขายได้เรื่อยๆ ประกอบกับเครื่องมือพัฒนา นักพัฒนาที่มีอยู่เยอะมาก และรวมไปถึงฐาน partner ตัวเองที่มีขนาดใหญ่และแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ใช่เจ้าตลาดแบบ Windows Mobile 6 ที่ทำไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่น่าจะหายไปไหนในระยะเวลา 2-3 ปีนี้ แต่ถ้า Windows Phone 8 มีอะไรที่ดีกว่าเดิม ก็ไม่ยากที่จะกลับมาเป็นเจ้าตลาดได้ เพราะเนื่องจาก Microsoft มีประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษาจากการเข้าตลาดช้า แต่สุดท้ายก็ยืนระยะจนกำไร (หรือเจ้าตลาด) ได้ในที่สุด

เรื่องราวของ Microsoft ถ้าคิดไม่ออก ก็มี
– IE vs Netscape
– XBOX vs PS
– Windows Server vs Netware
– Windows vs Mac OS
– Office vs Lotus, Word
– ICQ vs MSN Msg

คือไม่ได้ดีที่สุดในระดับเจ้าตลาด แต่ก็มีกำไรให้กับผู้ถือหุ้น (คิดตัวอย่างแบบเร็วๆ ได้ประมาณนี้) และการกลับเข้ามาเป็นเจ้าตลาด แน่นอน Microsoft ใช้แผนอาศัยสิ่งที่ตัวเองมีอยู่มาเชื่อมทำให้ตัวเองได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น OS, file format, แต่แน่นอนว่ามี partner ยอมเล่นด้วยแน่ๆ ถ้าทุกอย่างไปได้สวย

ผมมองว่าตลาด Smart phone มันยังไม่วายและการให้ความเห็นในข่าวต้นเรื่องแบบนั้นเป็นเรื่องของความได้เปรียบด้านราคาหุ้นมากกว่า ออกแนวปั้นราคาหุ้นหรือเปล่า เพราะถ้ามองในทิศทางอื่นๆ ก็ดูจะยังคงแข่งขันและกำลังไปได้อยู่ ตลาดเทคโนโลยีไปฟันธงเน้นๆ ก็ลำบาก ผมยังไม่เจอค่ายไหนเป็นเจ้าตลาดได้ตลอดไปได้ยาวนานโดยเฉพาะตลาดที่มีคู่แข่งมากกว่า 3 รายขึ้นไป

ขอสอนจับปลาใน Wikipedia

ขอสอนจับปลาแป๊บนะครับ…

การค้นหาข้อมูลด้วยตัวเองคราวนี้ ผมทำภายใต้สมมติฐานที่ว่า "ไม่แน่ว่ามันจะมีข้อมูลให้หรือเปล่าด้วย" นะ ลองดูนะครับ
1. ไปที่ Wikipedia ถ้าอ่านภาษาอังกฤษได้ หรือ วิกิพีเดีย ถ้าอ่านภาษาไทยง่ายกว่า
2. พิมพ์ลงไปในช่อง Search ว่า CMS
3. ถ้าเป็น Wikipedia นี่จะเจอเลย มันจะแสดงเนื้อหาในหัวข้อ Content Management System แทบจะทันที ส่วนเวอร์ชันภาษาไทยจะถามก่อนว่า มันมีหลายความหมายอยู่นะ… แต่ว่าหนึ่งในนั้นน่ะก็คือ ระบบจัดการเนื้อหา ใช่หรือเปล่า
4. อ่านเลยครับ แต่แนะนำเวอร์ชันภาษาอังกฤษมากกว่า เวอร์ชันภาษาไทยอ่านแล้วต้องแปลไทยเป็นไทยอีก งงพอสมควร

เท่านี้ล่ะครับ หัดใช้บ่อยๆ นะครับ จะได้หาความรู้ได้โดยไม่ต้องรอใครมาช่วย วิธีการเดียวกันนี้ใช้กับกูเกิลได้ด้วย ขอให้โชคดีครับ

จาก latesleeper comment #108041 ใน blognone.com

เจอบ่อยกับคำถามที่มักจะสามารถค้นหาได้ง่ายๆ ใน Wikipedia (และวิธีนี้ก็ใช้ได้กับ Google ด้วย) บางครั้งก็หงุดหงิดที่ต้องมานั่งหาให้ และบางครั้งก็ไม่หาให้ ปล่อยให้ถามไปอย่างงั้นแหละ

เรื่องบางเรื่องหาเอง เร็วกว่าถาม ถามแล้วบางครั้งต้องมานั่งรอคำตอบ เพื่ออะไร ?

ถ้าหาแล้วพยายามแล้วมันเจอแต่อะไรที่ไม่เข้าใจ เออ ค่อยน่าสนใจที่จะช่วยหน่อย จริงไหม ?

ผมเชื่อว่าประเทศไทยสอนวิธีการเข้าห้องสมุดและค้นหาจากสารบัญห้องสมุดและการจัดหมวดหมู่นะ แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจจะเข้าห้องสมุด เลยทำให้เราค้นหาอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ดีแต่ถามและนั่งรอคำตอบ ได้แต่นั่งฟังแล้วก็นึกไปเองว่าตัวเองเข้าใจแล้ว ทั้งที่จริงๆ ตัวเองแค่รับรู้ รับฟังผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 แต่ยังไม่เข้าใจ จนกว่าจะได้ทำมันลงไปจนรู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ที่ตัวเองต้องสัมผัส นั้นแหละถึงจะเรียกว่าเข้าใจจริง ๆ (เข้าใจว่าถูกหรือผิด ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จนั้นอีกเรื่อง)