กว่าจะรวบรวมสติและสมาธิในการเขียนผ่านล่วงเลยมาประมาณ 5 วันหลังจากเขื่อนริมน้ำที่นครสวรรค์แตกในวันที่ 10 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมาแตกลง วันนั้นผมติดตามข่าวตลอดทั้งวันผ่านช่องทาง social network ใน facebook ผ่าน group แจ้งข่าวสถานการณ์น้ำนครสวรรค์ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาประมาณ 10 โมงเช้า (ตั้งแต่เริ่มทราบเรื่องใน twitter ว่าเขือนแตกแล้ว) ตอนนั้นผมทราบและโทรเข้าที่บ้านผมก่อนเลย เพราะตอนนั้นแม่ผมยังนอนอยู่และผมเข้าไปบอกข่าวเพื่อให้แม่ผมเข้าไปช่วยที่บ้านในตลาดตัวเมืองนครสวรรค์ก่อน เพราะอยู่ใกล้กับแนวสันเขือนป้องกันน้ำที่แตกอยู่ประมาณ 1 กิโลเมตร และห่างจากริมแม่น้ำไป 300 เมตรเท่านั้น ซึ่งการเข้าไปนั้นยากลำบากพอสมควรเพราะการขี่รถมอเตอร์ไซต์เข้าไปถือว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถนำรถออกมาได้ แต่เป็นวิธีเดียวที่รวดเร็วที่สุดแล้ว จึงได้เข้าไป และเคลียร์ของที่เหลืออยู่และปิดบ้านออกมาจากหลังในตลาดได้ ทุกอย่างโอเค ทุกคนปลอดภัยดี รถสามารถนำออกมาได้ ของที่นำออกมาและความเสียหายไม่เยอะ เพราะว่าเตรียมตัวพร้อมสำหรับกรณีน้ำท่วมอยู่พอสมควร
หลังจากนั้นน้ำเริ่มทะลักเข้ามาจากทุกทิศทุกทางครับ ตอนนั้นแม่ผมเล่าว่า ต้องไปช่วยที่บ้านฝั่งถนนดาวดึงส์อีกหลังไปช่วยขนของอีกเล็กน้อยและนำคนออกมาครับ มีเวลาอยู่พอสมควรในการเก็บและขนของ ต่อจากที่จุดนี้แล้ว น้ำเริ่มนิ่ง แต่ยังไม่นิ่งดีครับ ผมตัดสินใจบอกแม่ผมเลยว่าให้ก่ออิฐกันน้ำเข้าบ้านก่อนเลย ไม่ต้องรออะไรแล้ว ไม่งั้นจะไม่ทัน เนืองจากแม่ผมลักเลอยู่พอสมควรใน เพราะตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2538 นั้นไม่ท่วมถึงบ้านผมในจุดนี้ และคิดว่าในจุดที่บ้านผมอยู่คงไม่ท่วม แต่แล้ว …. เช้าวันที่ 11 ตุลาคม 2554 น้ำเริ่มมาถึงบ้านผมแล้วครับ ตอนนั้นช่างก่ออิฐมาแต่เช้า เริ่มก่ออิฐไปพร้อมๆ กับระดับน้ำที่ท่วมสูงขึ้นระดับเข่าแล้ว การก่ออิฐก่อไปได้หน่อยน้ำเริ่มเข้า เริ่มกลัวว่าอิฐที่ก่อนจะพังก่อนได้ทำหน้าที่ป้องกันน้ำเข้าบ้านในวันนั้น แต่สุดท้ายก็ก่อนสำเร็จ ความสูงที่ก่อประมาณ 140-150cm โดยประมาณครับ ตอนนั้นเวลา 11 โมวเช้า ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมตัดสินใจโทรฯ ลางานทันที เพราะสภาพในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ที่บ้านต้องการคน แน่นอนว่าแม่ผมอยู่บ้านคนเดียวมาตลอดตั้งแต่ผมมาทำงานที่กรุงเทพฯ และมีญาติๆ อยู่ที่นั้นอยู่หลายคน แต่ว่าการเพิ่มกำลังคนเข้ามาอีก 1 คนซึ่งคือผม และเป็นหลักของครอบครัวของผมที่มีกันอยู่ 2 คนนั้นสำคัญมาก ผมเลยเตรียมของทั้งหมดที่จำเป็นจาก กรุงเทพฯ ไปที่นครสวรรค์ทันที ผมตรวจสอบเส้นทางจากใน group ของ facebook และตรวจสอบเส้นทางล่าสุดจากคนขับรถตู้กรุงเทพฯ – นครสวรรค์อีกทีนึงเพื่อความแน่ใจว่าจะควบคุมเวลาที่เดินทางได้
การเดินทางจากกรุงเทพฯ – นครสวรค์นั้นใช้เส้นทางที่แตกต่างจากที่เคยเดินทาง เพราะน้ำท่วมถนนสายหลัก โดยไปทางสุพรรณฯ ออกถนนเอเชียที่อ่างทองทีหลัง และจึงวิ่งตรงเข้าเส้นทางเดิมมุ่งสู่นครสวรรค์ ตลอดเส้นทางเจอน้ำท่วมข้างทาง และตามถนนเป็นระยะๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนมาถึงนครสวรรค์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง จากปรกติไม่เกิน 3 ชั่วโมง มาถึงแล้วนั้น การหารถสองแถวอย่าได้ถาม เพราะไม่มีแน่นอน สิ่งที่พึ่งได้ตอนนั้นคือรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างครับ แน่นอนว่าพี่คนขี่ไม่คิดราคาแพงพาไปส่งจนสุดเส้นทางที่จะพาเข้าไปได้ และผมลุยน้ำระดับเข่าเข้าไปต่ออีก 200 เมตร ตอนไปถึงที่บ้านน้ำเข้าบ้านไม่มากนัก เพราะน้ำออกจากตามช่องกำแพงในบ้านมากกว่าที่ออกจากที่กั้นน้ำท่วม ญาติๆ น้องๆ มาช่วยกัน 4 คน (รวมแม่ผมเป็น 5 คน) ขนของขึ้้นชั้นสอง ไปถึงขนของไปได้เยอะแล้วครับ ผมเลยรีบเข้าไปช่วย รอยยิ้มของแม่ที่เห็นผมมา มันยิ่งใหญ่ครับในตอนนั้น ตอนนั้นยังคงช็อคๆ อยู่บ้าง ยังทำอะไรไม่ถูกนัก พยายามรวบรวมสติครับ แต่ค่อยๆ ทำเท่าที่ทำได้ ตอนนั้นมีจุดนึงในบ้านที่อันตรายคือจุดปลั๊กไฟฟ้าที่อยู่ต่ำอยู่ 1 จุด อยู่สูงกว่าพื้นเพียง 1 ฟุตเท่านั้น ผมจึงทดสอบปิดจุดนั้นแล้วทดสอบว่ามีไฟฟ้าอยู่หรือไม่ ทดสอบแล้วไม่มีไฟฟ้าวิ่งผ่านเมื่อตัดไฟจุดนั้นไปครับ ผมจึงตัดไฟจุดนั้นทันที
ระดับน้ำตอนนั้นในบ้านไม่มีอะไรน่าห่วงครับ แต่ด้านนอกประมาณเข่าแล้ว ด้านในน้ำรั่วเข้ามาประมาณผิวๆ พื้น แต่น้ำขึ้นเร็วมากครับ กำแพงที่ทำไว้ยังกั้นอยู่ได้ แต่เสี่ยงจะพัง เพราะปูนยังไม่แห้งดี แต่ตอนนั้นญาติๆ ก็ต้องกลับแล้ว เพราะต้องไปดูอีกบ้านในเขตศูนย์ราชการจังหวัดนครสวรรค์ครับ เพราะมีความเสี่ยงเช่นกัน ผมเลยอยู่กับแม่สองคนในบ้าน ค่อยๆ เห็นของเก็บของที่เหลืออยู่ในบ้าน ประมาณ 5 ทุ่มสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกินขึ้นท่อระบายน้ำในห้องน้ำชั้นล่างแตกครับ เราไม่สามารถปิดกั้นได้ ได้เพียงแต่พยายามเอากระสอบทรายที่ไปขอจากข้างบ้านมาอุดไว้เพื่อบรรเทาความแรงของน้ำเท่านั้น น้ำไหลเข้าในตัวบ้านเร็วกว่าเดิมมาก ผมและแม่เลยตัดสินใจขนของอีกครั้ง หลังจากคิดว่าจะขนกันต่อวันรุ่งขึ้น (วันที่ 12 ตุลาคม 2554) แต่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง จึงต้องเร่งมือทำให้จบในคืนนั้น เราขนของให้สูงเหลือแต่เฉพาะที่ต่ำกว่าระดับเดียวกับกำแพงกั้นด้านนอกทั้งหมดขึ้นชั้นสอง อาหาร ฯลฯ ต้องถูกนำออกจากบ้าน เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายเข้ามาในบ้านเพื่อกินอาหารพวกนี้ทันที
เราสองแม่ลูกขนของกันจนอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยพอสมควรแล้ว เราจึงวางใจ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จุดที่เป็นปลั๊กที่ต่ำสุดของบ้านดันมีเสียงเหมือนไฟฟ้าช็อตเกิดขึ้น แต่ไฟฟ้าในบ้านก็สำคัญสำหรับการอยู่ในตอนกลางคืน แน่นอนว่ามีความเสี่ยงมาก เราอยู่ในความเสี่ยงของไฟฟ้ารั่วอยู่ทั้งคืนครับ เราทดสอบก่อนเข้าไปในจุดนั้นก่อน และผ่านจุดนั้นด้วยการสับสะพานไฟใหญ่ของบ้านก่อนผ่านทุกครั้ง
ตอนนั้นอุปกรณ์ที่ต้องติดตัวใส่ในกระเป๋าเสมอ
- ไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย (มีไฟฉาย 3 ชุด)
- มีดพกอเน็กประสงค์
- เครื่องตรวจสอบไฟฟ้ารั่วแบบอิเล็คทรอนิกส์ (90-1,000V ไวระดับแค่สัญญาณมือถือเข้ายังดัง)
- กุญแจบ้านและรถ
- เงินจำนวณนึง
- ค้อน (เอาไว้เผื่อจำเป็นต้องทุบประตูบ้านถ้าบ้านเข้าไม่ได้ เพราะประตูเป็นประตูไม้ มันบวมน้ำแล้ว)
- ท่อพลาสติกยาวประมาณ 1.5 เมตร ไว้สำหรับเคาะพื้นไล่สัตว์ร้ายใต้น้ำ และไว้หาหลุ่ม/ป่อใต้น้ำ และเอาไว้ให้ให้เครื่องตรวจสอบไฟรั่วผูกเพื่อตรวจสอบไฟรั่วระยะไกล และยังไม่เป็นสื่อน้ำไฟฟ้าด้วย เอาไว้สะกิดปิดหรือเปิดสะพานไฟในบ้านได้ด้วย ซึ่งจะใช้ไม้ก็ได้ แต่ว่าถ้าเปียกน้ำจะทำให้แห้งยากกว่า แต่ดีกว่าที่ทนความร้อนได้เยอะ ส่วนถ้าเป็นโลหะจะเป็นสื่อน้ำไฟฟ้าแทน แต่แข็งแรงทนทาน เหมาะเอาไว้สู้กับสัตว์ร้ายได้ดีกว่า
- ถังน้ำ 6 ลิตร บรรจุน้ำสะอาดไว้ล้างขาเวลาขึ้นชั้นสอง เพราะเราต้องการให้ชั้นสองสะอาดที่สุด ไม่งั้นจะมีปัญหาที่ว่าเราจะอยู่และกินข้าวด้านบนไม่ได้
- โทรศัพท์มือถือจะห้อยคอไว้ตลอดเวลา การสื่อสารสำคัญมากในสภาพแวดล้อมแบบนี้
อุปกรณ์ในกระเป๋าพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ตลอดเวลา 3-4 วันที่ผ่านมา
เช้าวันที่ 12 ตุลาคม 2554 เรายังคงเก็บของและขนของที่จำเป็นและมีค่าออกจากบ้านไปบ้านที่เชิงเขา ที่ที่น้ำท่วมไม่ถึงแน่นอนอีกที่แทน เราค่อยๆ ขนไปทีละ 2-3 แพ็คกว่าจะเสร็จ ในวันนั้นเราโดนตัดไฟช่วงเช้าครับ และต่อมาก็โดนตัดน้ำต่อ เพราะปะปานครสวรรค์น้ำท่วมถึงแล้ว เครื่องสูบน้ำและหม้อแปลงไฟน้ำกำลังจะท่วมถึงครับ จึงจำเป็นต้องตัดน้ำทั้งหมดออก ทำให้เราต้องเร่งขนของครับ ตรวจสอบความแน่นหนาของบ้านเพื่อป้องกันขโมยที่จะเข้ามาขโมยของในบ้าน วันนั้นเลยรีบออกมาซื้ออาหารที่จำเป็นต่อการอยู่ในบ้านตลอดคืนและเติมน้ำมันครับ วันนี้ปั้มน้ำมันเหลืออยู่ปั้มเดียวแล้ว และต่อแถวเพื่อเติมน้ำมันอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมงครับ กว่าจะเตรียมอาหารและน้ำมัน ขนของที่จำเป็นก็จบวันแล้ว ตกเย็นน้ำไม่มาครับ เรารีบออกมาจากบ้าน ก่อนออกจากบ้านเราสับสะพานไฟลงมาก่อน เพื่อไม่ให้ในบ้านเรามีไฟไหล่เวียนอยู่ คือนแรกที่เราสละบ้านออกมาใจไม่ค่อยดี กลัวโจรเข้าบ้านพอสมควรเลย พอออกมาแล้วในบ้านเชิงเขายังพอมีน้ำสำรองพอที่จะอาบอยู่บ้างเลยค่อยสบายใจหน่อยในวันนี้ครับ
เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2554 เราเข้าไปตรวจสอบของในบ้านต่อไปครับ น้ำทางฝั่งบ้านผมขึ้นอีกประมาณ 20-30 cm ได้แล้วในตอนนี้ ตอนเข้าไปในบ้าน เลยตัดสินใจกระชากสายไฟและปลั๊กไฟที่จมน้ำอยู่ออกจากจุดของมันแล้วแขวนมันขึ้นที่สูงได้ แล้วยกสะพานไฟบ้านขึ้นเสียงไฟฟ้าช็อตที่เรากลัวกันก็หายไป แต่จุดที่เป็นจุดที่ผมเพิ่งกระชากปลั๊กไฟออกยังคงตัดไฟอยู่ต่อไป เพื่อป้องกันความผิดพลาดอื่นๆ ก่อนแก้ไขปัญหาพวกไฟฟ้าจะเอาที่ตรวจสอบไฟรั่วตรวจสอบเสมอ รวมถึงจุ่มลงไปในน้ำเพื่อดูว่ามีไฟรั่วอยู่ที่ผิวน้ำหรือเปล่าอีกครั้ง วันนี้เราเข้ามาขนของอีกครั้ง และด้วยความที่แม่เป็นห่วงบ้านเลยไม่อยากทิ้งบ้านไปไหนเท่าไหร่ แต่รอบนี้เราออกจากบ้านมาช้าครับ กว่าจะออกก็ 6 โมงเย็นแล้ว เราจึงรีบออกมาเพราะไฟฟ้ายังไม่มาเลย และน้ำก็ไม่ไหลอีกด้วย จบวันรวมตัวกันที่บ้านพักเชิงเขา เราก็รวมตัวกันไปอาบน้ำกันที่วัดใกล้ๆ บ้านแทนครับ เพราะที่นั้นมีน้ำบาดาลที่สามารถอาบได้อยู่ ใครไม่ได้อาบน้ำวัดก็ได้อาบน้ำในวัดก็คราวนี้แหละครับ
เช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2554 วันนี้เรารุดเข้าไปในบ้าน เพื่อขนของรอบสุดท้าย วันนี้น้ำขึ้นอีก 15cm โดยประมาณได้ วันนี้เราได้พี่เรือจ้างใจดีมาช่วยให้ผมกับแม่ไม่ต้องเข้าบ้านอย่างยากลำบากแบบวันก่อนๆ ครับ คิดราคาไม่แพง พอถึงบ้าน ระดับน้ำใกล้ถึงตัวเครื่องปั้มน้ำเข้าบ้าน และมันท่วมปลั๊กไฟเครื่องปั้มน้ำแล้ว การยังให้เครื่องปั้มอยู่ตรงนั้น ไม่มีประโยชน์แน่อน เลยขอร้องพี่ๆ (เค้ามากันสองคนครับ) มาช่วยเอาออกให้และมาไว้ที่สูงในบ้านผม และช่วยเปิดประตูที่บวมน้ำให้ ซึ่งเค้าช่วยเต็มที่ครับ ก็เลยขอเบอร์โทรศัพท์เค้าไว้ เพราะตอนเย็นเราคงต้องขนของหนักและเยอะแน่นอน ตลอดทั้งวันก็วุ่นๆ กับการเก็บของ แต่ผมก็ออกจากบ้านมาก่อนเพื่อไปหาเพื่อนผมที่บ้านน้ำท่วมเหมือนกันที่โรงเรียนลาซาลโชติรวีนครสวรรค์ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าผมครับ ที่นี่อยู่ติดแม่น้ำเช่นกัน และน้ำท่วมส่วนหน้าของโรงเรียนไปแล้วพอสมควร (โรงเรียนนี้ด้านหน้าติดแม่น้ำ ด้านหลังเป็นเขา) เข้าไปก็เจอครูเก่าๆ ที่ผมรู้จักอยู่หลายคนครับ ก็ได้มานั่งคุยกันสักพักก็กลับแล้ว ผมรีบไปซื้อเครื่องสูบน้ำขนาดเล็กมาเพื่อที่จะสูบน้ำออกจากบ้านเมื่อน้ำเริ่มลดระดับที่ไม่มีปั้มใดๆ ในบ้านจมน้ำแล้วจึงค่อยดูดออก เลยไปซื้อไว้ก่อน เพราะไม่งั้นหมดแน่ๆ ซึ่งที่ Home Mart แถวๆ ศ.ท่ารถนครสวรรค์ครับ น้ำยังท่วมไม่ถึง (แต่ก็ใกล้แล้ว) ซื้อเสร็จก็รีบๆ จัดแจงเอาไปไว้ที่บ้านเชิงเข้า แล้วก็ต้องรีบไปหาแม่ รอบนี้พาแม่ออกมาง่ายและขนของง่ายครับ มีพี่เรือจ้างใจดีมาช่วยผม รอบนี้โทรเรียกพี่เค้ามารับที่หน้าบ้านเลยครับ แล้วก็โรยของที่จะนำออกมาจากบ้านผ่านชั้นสองแทน รอบนี้ขนของสำคัญและจำเป็นออกมาได้ทั้งหมด แม่ผมก็สบายใจไปเยอะครับ ผมก็โอเคในระดับนึง พี่ๆ เรือจ้างเค้าใจดีครับ ช่วยเยอะมาก เลยให้ทิปค่าจ้างและเบีบร์เค้าไปอีก 2 กระป๋องเป็นน้ำใจเล็กๆ ไปครับ รอบนี้พี่เค้าไม่คิดจะเอาค่าจ้างด้วยซ้ำ บอกตอนเช้าผมให้เยอะแล้ว รอบนี้ฟรีแล้วกัน แต่ว่าพี่เค้าก็บ้านน้ำท่วม ก็ช่วยๆ กันไปครับ เราขนของออกจากบ้านมา แต่วันนี้น้ำยังไม่ไหลต่อไป ก็เลยต้องไปอาบน้ำที่วัดต่อไปอีกวันครับ แต่พอประมาณเกือบๆ 3 ทุ่ม น้ำปะปาที่บ้านเริ่มไหลแล้ว เราก็เริ่มโอเค แต่ก็อาบมาแล้วก็เอา เลยตามเลย
จากวันที่ 11 – 14 ตุลาคม 2554 เป็นประสบการณ์ที่ถ้าไม่เจอกับตัวเองนี่ไม่รู้เลยว่ามันมีเรื่องให้ตื่นเต้น ให้เครียด ให้ต้องตัดสินใจบนความเป็นความตายแค่ไหน สิ่งที่เรียนๆ มาตอนเป็น นศท. นี่ได้ใช้หลายๆ อย่าง ความรู้หลายๆ อย่าง เอามาใช้เยอะมาก หวังว่าเหตุการณ์นี้จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ที่แน่ๆ …. งานนี้เสียเงินซ่อมบ้านอีกเยอะแน่นอนครับ T_T