สรุปสั้นๆ หลังจากใช้ Sony Vaio E 11"

ผมได้ Sony Vaio E 11” มาในราคาไม่แพงจากร้าน PS. Computer ที่จังหวัดอยุธยา เพราะเค้าลดล้าง stock มา (ราคาหลังไมค์) ตอนนี้คงหมดแล้วเพราะมีไม่เยอะ แต่บอกได้ว่าไม่ถึงหมื่นครับ ถูกกว่าหน้าร้านทั่วไปที่ราคาตอนนี้ 12,900 บาท หรือราคา Sony Shop ที่ 14,900 บาท

เหตุที่ซื้อ Vao E 11″ เพราะเอามาเป็น sub notebook ใช้แทน Tablet (ตูคิดไม่เหมือนชาวบ้านเค้าซินะ) เพราะจากที่เคยใช้ tablet มาก่อนหน้านี้สุดท้ายก็ต้องซื้อคีย์บอร์ดแบบปรกติมาเพิ่ม เพราะมันพิมพ์งานลำบากมาก รวมถึงมันทำงานพวก coding ไม่ได้ คือแบก tablet ที่พก keyboard ไปด้วยมันกลายเป็นว่าน้ำหนักเกือบ 1kg แน่นอนว่าการหยิบใช้สะดวกกว่า แต่พองานยากๆ งานซีเรียสก็ต้องเปิด notebook อยู่ดี (สรุปผมต้องแบก 2 เครื่อง) ตอนนี้ผมแก้ไขด้วยการโยนงานบางอย่างใน tablet พวกนี้ขึ้น Windows phone 8 แทน เช่นพวกระบบ monitor ขึ้นเว็บ เขียน push/notification เข้าอีเมล และ remote ssh/windows remote desktop ไปไว้ใน app แทน ซึ่งก็ทดแทนงานพวกนี้ใน tablet เกือบหมดแล้ว สุดท้ายส่วนงานที่ซีเรียสมากๆ ก็เอามาใส่ใน sub notebook เป็นส่วนสุดท้าย

WP_20130602_010

ต่อไปนี้ไปเที่ยวก็เอาไปเฉพาะ sub notebook ก็เพียงพอสำหรับงานแก้ไขปัญหาเป็นหลัก (ไปเที่ยวไม่ได้ไปทำงานไม่ต้อง full function) เพราะตอนนี้เอกสารและ code โปรแกรมต่างๆ ย้ายขึ้น cloud และ git ไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นส่วนที่จำเป็นจริงๆ จะถูก sync ไป-มาได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติคราวๆ เป็น

  • CPU AMD E2-1800
  • APU Radeon HD 7340M
  • RAM 2GB
  • HDD 320GB จอภาพ 11.6″ (1366×768 LED Backlit)
  • น้ำหนัก 1.5kg

อย่างแรกคือ มันเบาดีครับ ความเร็วไม่ได้แรงมากเท่าไหร่ คะแนน WIE ส่วนของ CPU 3.9 เท่านั้น แต่คะแนนส่วนของ VGA ทำได้ดีมาก แต่ RAM ที่ได้มาน้อยไปหน่อย เดี่ยวต้องไปหามาใส่เพิ่มจะได้ทำงานได้ไหลลื่นมากขึ้น

เปิดกล่องครั้งแรกที่รู้สึกคืองานประกอบนั้นแน่นหนาดีมาก เป็นพลาสติกที่รู้สึกว่ามันไม่แตกหักง่าย

สิ่งที่ชอบอย่างแรกคือมี port VGA และ HDMI มาให้ ไม่ต้องซื้อสายต่อเพิ่มสำหรับงาน present แต่อย่างใด ต่อมาคือมี HD webcam, SD-card reader, powered USB และ USB 3.0 มาให้ด้วย ในส่วนที่รู้สึกว่าโอเคคือจอภาพ สวยงามมาก ไม่คิดว่าจอ 11.6″ จะให้ resolution จอมาแบบไม่งกที่ขนาด 1366×768 pixel ทำให้ทำงานย้ายไปมาระหว่าง ThinkPad กับ Vaio ง่ายขึ้นมาก เพราะ ThinkPad T420 จอ 14.1″ ก็เท่านี้ (Lenovo งก resolution จอจนน่าเบื่อ เครื่องเก่าผม ThinkPad Z61t ยังได้ 1,440×900 เลย)

ส่วนต่อมาที่ไม่เกี่ยวกับตัวเครื่องโดยตรงคือ ประกันที่ให้เป็นประกันอุบัติเหตุ และประกันเครื่องหายของบริษัทประกันภัยในประเทศไทยด้วย ซึ่งทั้งหมดให้ประกันมา 1 ปีเต็มๆ นี่ไม่แน่ใจว่าซื้อประกันเพิ่มมันจะต้องจ่ายเท่าไหร่แฮะ

WP_20130602_012

ส่วนที่รู้สึกไม่ชอบคงเป็นเรื่องมันช้า แต่เข้าใจได้ เพราะจ่ายเงินตามคุณสมบัติที่ได้ (มันไม่ชอบ แต่ไม่ใช่ข้อเสียอะไร)

สำหรับ RAM นั้นมีช่องใส่ RAM มาให้ 2 ช่อง สามารถเปลี่ยน HDD ได้ง่ายๆ เพราะมันอยู่ข้างๆ RAM เลย แกะตัวฝาปิดด้านล่างก็เปลี่ยนหรือเพิ่ม RAM และ HDD ได้สบายๆ สำหรับ HDD ที่ให้มานั้นเป็น 5400rpm ขนาด 320GB ความหนา 7mm แต่ช่องใส่สามารถใส่ 9mm ได้นะ เพราะลองใส่ HDD 7200rpm หนา 9mm นั้นฝาปิดก็ปิดได้สบายๆ

ในส่วนของ Software ที่แถมมาเยอะพอสมควร คือเกือบจะดี แต่ว่ามันไม่ค่อยล่าสุดเท่าไหร่ แล้วไม่มีให้เลือกเอาออกตอนเปิดเครื่องครั้งแรก ต้องมานั่งไล่ uninstall คือหงุดหงิดเล็กๆ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ตัว Windows ที่ให้มาเป็น Windows 7 Home basic 64bit แบบ license ซึ่งโดยรวมเอามาใช้งานทั่วไปที่กำลังจะเอาเครื่องนี้ไปใช้งานอยู่นั้นโอเค แต่กำลังคิดอยู่ว่าสิ้นเดือนจะไปไปถอย Windows 8 มาใช้ทีหลังดีไหมเพราะมันอาจจะมีปัญหาเรื่องการทำงานย้ายไป-มากับ ThinkPad ที่เป็นเครื่องหลัก

WP_20130602_014

สุดท้ายในด้านคีย์บอร์ดนั้น หลังจากปรับตัวเข้ากับคีย์บอร์ดที่จัดวางปุ่มตามสมัยนิยมที่ไม่ใช่ ThinkPad Classic รุ่นหลังปี 2011 มาหลายแบบมากๆ ตอนนี้ผมเริ่มเฉยๆ กับการยึดติดกับวิธีคิดแนวนี้แล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้เหตุผลในการเลือก notebook ใหม่นั้นลอยตัวจากแนวคิดนี้และสรรหาอะไรที่ดีที่สุดในด้านอื่นๆ แทน สำหรับคีย์บอร์ดของ Vaio นั้นฟิลลิ่งของตัวเครื่องขนาดเล็กแบบนี้ก็ทำได้ดีพอสมควร แน่นอนว่าดีพอๆ กับ Bluetooth Mobile Keybaord 5000 และ Wedge Keyboard ของ Microsoft เลยทีเดียว ทำให้ผมปรับตัวไม่ยากเท่าไหร่นัก (ผิดกับตอนแรกที่ใช้จาก ThinkPad มาใช้ Bluetooth Mobile Keybaord 5000 ต่อภายนอกแบบจริงจัง ตอนนั้นลำบากอยู่เป็นเดือน)

ตอนนี้ก็นั่ง setup ตัว Vaio เครื่องนี้ให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพจริงๆ น่าจะไม่นานนักคงเรียบร้อยดี ;)

fotor_WP_20130602_009_jpg

สรุปสั้นๆ Canon EOS 100D

DSC_5895c

  • คุณภาพไฟล์อยู่ในขั้นดีระดับประมาณ 650D ด้วยไฟล์ 18 ล้านพิกเซล
  • เล็ก เบา ใช้งานไม่เป็นภาระกับมือ รู้สึกเหมือนถือ iPad ถ่ายรูปอยู่
  • การจับถือทำออกมาได้ดีเกินคาด กระชับมือมาก กับนิ้วก้อยผมได้ผมโอเค (การออกแบบส่วนนี้โอเคกว่า Nikon D80 ตัวเก่าผมอีก)
  • ปุ่มกดอยุ่ในมุมที่ดี มีปุ่มไม่เยอะ แต่เป็นปุ่มที่จำเป็น เมนูบางส่วนย้ายไปอยู่ที่จอภาพ
  • จอภาพสีสันสวยงาม เป็น touchscreen แบบ capacitive multitouch การใช้งานเลื่อนรูป ซูมเข้า-ออกเหมือนใช้ smartphone เลย การสั่งงานบางส่วนย้ายมาอยู่ที่จอภาพและสั่งงานผ่านการ touch บอกจอได้
  • การเลือก exposure ค่า f หรือ ISO มีผลให้เห็นทันทีถ้าใช้ LiveView ไม่ต้องเดา หรือมโนไปเอง
  • เลนส์คิต 40mm f/2.8 ใช้ดีมาก เข้ากับตัวกล้อง คุณภาพเลนส์ดี ละลายหลังเยี่ยม ที่ f/2.8 ใช้งานได้ดี
  • ที่ระดับ ISO 3200 ส่วนตัวแล้วโอเคกับไฟล์ที่มีมา noise ก็คงมีมาอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวมองว่าภาพที่ได้ใสดี แต่แนะนำว่า ISO 1600 ถือว่าเนียนกริป
  • ช่องมองภาพเมื่อใช้ตาส่องเข้าไปไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด รู้สึกดีกว่า EVIL หลายๆ ตัวในตลาดเสียด้วยซ้ำ
  • มันคือ DSLR ขนาดย่อส่วน แต่คุณภาพของภาพที่ได้ไม่แพ้รุ่นพี่ ใช้กับเลนส์ EF ในตลาดได้เยอะมากทั้งถูกจนถึงแพงมาก แต่อาจมีปัญหาเรื่องสมดุล แนะนำใช้คู่กับคิตถ่ายเอาสนุกโอเคเลย

สรุปย่อๆ กับการใช้งาน BlackBerry Z10

DSC_5893c

  • เรื่องวัสดุตัวเครื่องนั้นดีมาก แม้ไม่ใช่โลหะแต่ก็รู้สึกได้ถึงความแน่นและแข็งแรง ฝาหลังเปิดออกเพื่อเปลี่ยนแบตและใส่หน่วยความจำเพิ่มได้ด้วย น้ำหนักเบาและบาง (น่าจะพอๆ กับ iPhone 5)
  • ช่องต่อ microUSB และ Micro HDMI แยกจากกัน ทำให้ชาร์จไฟไปด้วยและนำเสนองานหรือดูวิดีโอบนจอภายนอกไปด้วยได้สบายๆ
  • การใช้งานเรื่องสั่งงานต่างๆ นั้นต้องทำความเข้าใจใหม่พอสมควร คือถ้าเป็นเครื่องมือหนึ่งเพิ่งแกะออกจากกล่องเลยแนะนำให้ทำตามคำแนะนำตอน เปิดเครื่องว่าใช้งานอย่างไร
  • การเปิดเครื่องครั้งแรกนั้นใช้เวลานานมากประมาณ 10 นาที (จากที่รู้สึก) และหน้าจอยินดีต้อนรับต่างๆ นั้น skip ไม่ได้ทำให้การใช้งานตั้งแต่เปิดเครื่องนั้นทำให้เร็วได้ยากมาก คนเพิ่งซื้อคงต้องใจเย็นสักหน่อย (แต่จะใช้งานมาหลายเครื่องแล้วก็ตาม)
  • ลำดับการลำดับใช้งานตอนแรกจะหลงไป-มาระหว่าง App พอสมควร แต่ถ้าใช้ไปสักพักจะเริ่มชิน
  • ถ้าใช้ Windows phone มาก่อนจะสับสนน้อยลง แต่ถ้าคุ้นกับ iOS และ Android มา แล้วมาใช้งานเลยจะงงมากในช่่วงแรกๆ ส่วนตัวใช้ Windows phone มาก่อนยังงงๆ และหลงทิศทางอยู่ 2-3 วัน กว่าจะเข้าที่ก็ปาไปวันที่ 4
  • ไม่มีปุ่ม Home ไม่มีปุ่ม Back การกลับหน้าหลักจะกลับไปที่หน้า App/Task Listing (App ที่เปิดค้างอยู่) ของ BB10 ไม่ใช่หน้ารวม App อยากไปเปิด App ต้องปัดนิ้วเพิ่ม 1 รอบ ซึ่งอาจทำให้หงุดหงิดสำหรับคนที่ใช้ OS มือถือทั้ง 3 ค่ายก่อนหน้านี้มาก่อน (เพราะวิธีคิดไม่เหมือนกัน)
  • การปลดล็อคเครืองเป็นแนวคิดที่ดีมาก ที่ไม่ต้องใช้ปุ่มจริงในการปลดล็อคก็ได้ ส่วนตัวชอบมากๆ เปิดมาเจอ App Listing ที่เปิดเลย หรือ App ล่าสุดที่เปิดค้างอยู่
  • ความไหล่ลื่นของการใช้งานดีมาก แต่ไม่ลื่นมากเท่า Windows phone อยู่กลางๆ ระหว่าง iOS มากกว่า อาการกระตุกไม่เจอแบบใน Android (เท่าที่ใช้งานมา) ส่วนตัวใครใช้ iOS อยู่อาจจะรู้สึกช้านิดๆ เพราะ Transition ในการเลื่อนนั้นจะช้ากว่าน้อยๆ ทำให้ดูช้า ถ้าความต่อเนื่องมีเยอะ ไม่กระตุกหรือแข็งจนรู้สึกกระพริบ
  • จำนวนของ App ยังไม่เยอะ อาจจะต้องใช้เวลา ใครต้องการใช้ App เสริมที่โหลดเยอะๆ อาจจะต้องเช็คก่อนซื้อว่ามีครบไหม ถ้าเอามาใช้งานด้านธุรกิจและ Social อย่าง twitter/facebook นั้นโอเค เรื่องอีเมลยังเป็นเลิศอยู่ในด้าน push ที่มองว่าเชื่อถือได้ รวดเร็ว ไม่หน่วง สำหรับ LINE และ Instagram ยังไม่มี ส่วน Skype คงต้อรออีกสักพักแต่มาแน่ๆ (ข่าว official ออกหน้า screen แล้ว)
  • การใช้งานด้านโทรศัพท์และการติดต่อสื่อสารด้าน 2G ต่างๆ ทำได้ยอดเยี่ยม การไหลของ UI พวกนี้ทำได้เนียนและเข้าใจง่ายดี
  • ด้านของกล้องไม่มีอะไรเด่นมาก เพราะฉะนั้นเรื่องรูปภาพที่ได้นั้นไม่แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ เท่าไหร่นัก คิดว่าคงต้องปรับปรุงเรื่อง Camera App เพิ่มเติมสักหน่อย

เอาเท่านี้ก่อนนะครับ…

DSC_5890

ลองจับ LG Optimus G

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2556 ที่ผ่านมา LG ประเทศไทย เชิญผมเข้า Workshop มือถือระดับ flagship ชื่อ LG Optimus G (รหัส E975) ซึ่งกำลังนำเข้ามาขายเร็วๆ นี้ ส่วนตัวยังไม่ทราบราคาแน่ชัดนัก แต่เดาๆ เอาว่าราคา 19,900 บาท (ผมเดาครับ ไม่ได้รับการยืนยันใดๆ ทั้งสิ้น) โดยเปิดตัวครั้งแรกที่เกาหลีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา และผ่านมาได้ 4 เดือนกว่าๆ ก็ได้เวลาสำหรับประเทศไทยกันเสียที (ก่อนหน้านี้เปิดตัวที่เกาหลี ญี่ปุ่น แคนาดา และอเมริกา)

WP_20130227_015

มาดูที่ตัวเครื่องกันเลยดีกว่า ตัว LG Optimus G นั้นเป็นส่วนผสมของ LG Optimus 4X HD และ Nexus 4 เข้าด้วยกัน มองง่ายๆ คือ ตัว Form Factor หลักๆ เป็นแบบ LG Optimus 4X HD ที่ค่อนข้างเหลี่ยมและแบน และผสมเข้ากับกระจกด้านหลังมีเกล็ดสะท้อนแสงคล้าย Nexus 4 ซึ่งทำให้ในชุดที่จำหน่ายมีแถมฟิล์มกันรอยให้ทั้งด้านหน้าและหลังมาในกล่องด้วย (ถ้าไม่มีก็เรียกจากร้านได้เลย)

WP_20130227_048

WP_20130227_029 WP_20130227_035

ในด้านหน้าจอนั้นเป็น “True HD” IPS LCD (768×1280 pixels; 318ppi) ขนาด 4.7” โดยเป็น “gapless” panel โดยตัวกระจกเป็น Corning Gorilla Glass 2 ที่หลังกระจกเป็นจอ LCD เลยไม่มีฟิล์มขั้นกลางให้สีและแสงถูกตัดทอนไปแบบจอ LCD ปรกติ

ในด้านหน่วยประมวลผลกลางนั้นเป็น quad-core CPU จาก Qualcomm Snapdragon S4 Pro APQ8064 (1.5 GHz quad-core Qualcomm Krait) ที่ถือว่าเร็วมากสำหรับตลาดระดับบน พร้อมกับ RAM ที่ให้มาถึง 2GB และ Storage ที่ 32GB ให้เต็มๆ (ความเร็วดูได้จากวิดีโอด้านล่าง)

น้ำหนักตัวเครืองประมาณ 145 กรัม ขนาดตัวเครื่องใหญ่พอๆ กับ Nokia Lumia 920 แต่เบากว่าเยอะ

Battery ที่ให้มานั้นเป็น Li-Ion ที่ไม่สามารถถอดออกจากตัวเครื่องได้ ซึ่งมีความจุ 2,100 mAh ที่ LG พัฒนาตัว Battery ให้สามารถใช้ได้นานถึง 800 Cycle Charge แถมตัว Android ของ LG นั้นได้ปรับแต่งโดยมี “power saver” settings ซึ่งสามารถปรับการใช้งานไป eco mode เพื่อช่วยประหยัดพลังงานด้วย

ในด้านตัว OS นั้นเป็น Android ICS อยู่ แต่ LG บอกว่าตัวขายจริงอาจมีการปรับแต่ง ROM เพิ่มเติมอีกครั้งเพื่อให้พร้อมขายกับคนไทยด้วย แต่ในงานก็ได้ลองปรับดูว่ามีคีย์บอร์ดไทยหรือไม่ ซึ่งก็ปรากฎว่ามี ก็ลองดูกันว่าคีย์บอร์ดทีให้มาพร้อมตัว OS นั้นโอเคหรือไม่ (แต่โหลดเพิ่มได้อยู่ดี)

WP_20130227_040 WP_20130227_037

WP_20130227_047

สำหรับของแถมอีกอย่างที่จะแถม คงเป็นเคสที่ให้มาในกล่อง ซึ่งเป็นเซ็ตของ LG Optimus G ที่ขายในไทยเลย รูปแบบไม่แตกต่างจาก LG Optimus 4X HD  ที่ขายไปเมื่อไม่นานมานี้แต่อย่างใด คล้ายๆ กันนะเท่าที่ดู

WP_20130227_017 WP_20130227_019

WP_20130227_021

ส่วนอื่นๆ ที่โน็ตๆ มานั้น ผมขอสรุปตามนี้

  • ตัวเครื่องนั้นต้องบอกว่าวัสดุคล้ายๆ กับ Nexus 4 เป็นส่วนใหญ่
  • งานออกแบบเอา LG Optimus 4X HD มาเป็นฐานแล้วเอา Nexus 4 มาแต่งๆ ใส่ลวดลายและกระจกหน้า-หลังลงไปให้ดูสวยขึ้น
  • จอภาพสวยงามสบายตาดี ถ้าให้เทียบกับ Nokia Lumia 920 แล้ว พอๆ กันเลย แต่สีของ LG จะจัดกว่าหน่อย คนที่ไม่ชอบ AMOLED อาจจะชอบตัวนี้ (ดูๆ แล้วไม่เหลืองด้วยนะ)
  • ในด้านความเร็วในการตอบสนองของ UI ดีมาก (ดูได้จากวิดีโอด้านบน) แต่ซึ่งถ้าเทียบกับ Nokia Lumia 920 แล้วคงต้องบอกว่า ลื่นในลักษณะที่ไม่เหมือนกัน (บอกไม่ถูก แต่มันติดนิ้วคนละแบบจริงๆ)
  • กล้องด้านหลัง 13MP ให้มาเกินพอ ภาพในที่แสงน้อยทำได้ดี ISO 800 ให้คุณภาพของภาพที่ถือว่าไม่ทำให้ผิดหวัง (ภาพจากกล้องอยู่ด้านล่าง)
  • กล้องด้านหน้า 1.3MP ตามสมัยนิยม ไม่มีอะไรใหม่เท่าไหร่ในส่วนนี้ (ถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าได้ 720p ด้วยนะ)
  • ตัววิดีโอที่ถ่ายออกมาแล้วภาพคมชัดดีมาก (ภาพจากกล้องอยู่ด้านล่างอัพขึ้น Youtube ให้แล้ว) รองรับ Full HD video (1080p) ที่ 30 fps
  • App ถ่ายรูปและถ่ายวิดีโอพัฒนาในด้านการใช้งานเพิ่มขึ้นและน่าสนใจ อย่างเช่น Time catch shot ถ่ายรูปภาพหลายๆ รูป แล้วเลือกรูปที่ดีที่สุด หรือ cheese shutter ใช้เสียงจากการออกเสียงที่เป็นการอ้าปากที่ทำให้ยิ้มแล้วกล้องจะถ่ายให้ ชื่อคุณสมบัติตรงๆ ตัวมาก
  • ช่องเสียบหูฟังเป็นช่องแบบ 3.5 mm stereo audio jack ส่วนตัวแล้วถือว่าโอเค ตัวหูฟังไม่เห็นตัวจริง เลยไม่รู้ว่าสวยแบบในรูปไหม (เห็นเค้าว่าหูฟังเสียงดีมากๆ แต่เสียดายไม่เห็นและฟังของจริง)
  • การเชื่อมต่ออย่าง Wi-Fi 802.11 a/b/g/n, Bluetooth 4.0 + A2DP และ NFC มีมาให้พร้อม เปิด Wi-Fi Hotspot ได้ รองรับ DLNA
  • ช่องเชื่อมต่ออย่าง micro-USB 2.0 (5-pin) ที่รองรับทั้ง MHL for USB หรือ HDMI connection
  • เรื่องความถี่ในการใช้งานนั้นคงทั่วๆ ไปก็คือ 2G, 3G และ 4G LTE

สรุปโดยส่วนตัวแล้วนั้น รอดูของจริงที่ Shop ใกล้บ้าน อยากให้ไปลองจับลองเล่นดูก่อน ส่วนตัวผมจากที่ให้แม่ใช้ LG Optimus 4X HD มา 2 เดือนกว่าๆ ต้องบอกว่า LG มาเงียบๆ แต่งานประกอบคุณภาพค่อนข้างดีครับ แม่ผมชอบงานประกอบมาก เมื่อเทียบกับ Samsung Galaxy S3 ของเพื่อนแม่ (´∇`)メ

ไฟล์วิดีโอจากกล้อง LG Optimus G

รูปภาพจากกล้อง LG Optimus G

ปล. สภาพแสดงในร้านอาหารตอน present อาจไม่คมชัดเท่าไหร่มัก เพราะ ISO 800 ครับ ต้องลองในสภาพแสงแดดปรกติดู

CAM00012

CAM00009

CAM00010