ดู Tech Spec ของ iPhone 4S Camera แล้วมาเล่าสักหน่อย

ยังไม่ได้ของจริง แน่นอนผมจั่วหัวมาแบบนี้ เพราะผมอ่าน spec มาพูดในเชิงคนถ่ายรูปล้วนๆ จากการที่ได้ใช้งานกล้องถ่ายรูปมาได้สักเกือบๆ 4 ปีแล้ว

คำเตือน! … ต่อจากนี้ Keyword เพียบ คนอ่านอาจธาตุไฟเข้าแทรกได้ แนะนำให้เตรียมตัวรับและหาคำตอบจาก Keyword บางตัวเองนะครับ เป็นศัพท์เทคนิคล้วนๆ ใครอ่านแล้วเข้าใจเกือบหมดแสดงว่าถ่ายรูปมาพอสมควร

ทำความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า การถ่ายรูปหรือการเก็บภาพลงบนสื่อใดๆ คือ “การเก็บแสงที่สะท้อนเข้าตาเรา โดยที่เราแทนที่ตาเราด้วย เลนส์ และ Image Sensor มีสมองเป็นตัวประมวลผลภาพ ซึ่งเราให้ Image Processor เป็นตัวแทน” เพราะฉะนั้นแสงยิ่งสว่าง หรือมีแสงเพียงพอต่อการถ่ายรูปจะยิ่งดี

เพราะฉะนั้น ผมของแยกออกมาเป็น 3 ส่วนคือ เลนส์, Image Sensor และ Image Processor

เลนส์ของกล้อง iPhone 4S เป็นชิ้นเลนส์ 5 ชิ้นมาประกอบกันเป็นชุดเลนส์ 1 ชุด (Five element lens) จากของเดิมใน iPhone 4 เป็น 4 ชิ้นเลนส์ ซึ่งในความเป็นจริงๆ ปรกติเลนส์ของกล้องถ่ายรูปนั้นจะมีชิ้นเลนส์หลายๆ ชิ้นมาประกอบกันเพื่อโฟกัสและรวมแสงเข้า Image Sensor อยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะใส่กี่ชิ้นและจัดระยะห่างกันอย่างไร การเพิ่มชิ้นเลนส์ตามความเข้าใจคนทั่วไป อาจจะมองว่าอาจทำให้แสงเดินทางผ่านตัวกลางเพิ่มขึ้นจนทำให้คุณภาพของแสงที่วิ่งผ่านเข้าสูง Image Sensor ลดลง แต่ในความเป็นจริง การเพิ่มชิ้นเลนส์อาจเพื่อแก้ไขปัญหา หรือเพื่อทำให้แสงที่เดินทางผ่านเข้ามานั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้ อาจจะเพื่อบีบแสงให้รวมกลุ่มกันดีมากขึ้นไม่ให้ฟุ้ง หรือลดแสงสะท้อนต่างๆ (คล้ายๆ กับการเพิ่มชิ้นเลนส์ ED ของ Nikon ที่ลดความคลาดแสง หรือเพิ่มชิ้นเลนส์ Nano Coating เพื่อลดการเกิดแสงโกสหรือแฟร์ เป็นต้น) เพราะฉะนั้นการเพิ่มชิ้นเลนส์อาจจะหมายถึงคุณภาพของแสงที่วิ่งเข้ามาดีขึ้น ขจัดแสงที่ไม่พึงประสงค์ออกไปทำให้ภาพดูชัดและคมมากขึ้น

เมื่อตัวชิ้นเลนส์ที่มีตัวกลางเพิ่มขึ้น แม้จะช่วยได้มากในการรวมแสงที่มีคุณภาพดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาว่าในสภาพของแสงที่น้อย การเพิ่มรูรับแสง (Aperture) ให้ได้คุณภาพดีนั้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ผมมองว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็เลยเพิ่มขนาดความกว้างของรูรับแสงใน iPhone 4S กว้างขึ้นเป็น f/2.4 จาก f/2.8 ใน iPhone 4 จึงทำให้ชดเชยสิ่งที่เสียไปด้วยอีกทางเช่นกัน

ข้อสังเกตอย่างนึงก็คือ เลนส์ iPhone 4 แต่เดิมนั้นมีทางยาวโฟกัส (Focal length) ที่ 3.85mm แต่ใน iPhone 4S ปรับให้แคบลงมาเป็น 4.3mm ซึ่งทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกว่าถ่ายได้พื้นที่สำหรับเก็บภาพที่กว้างน้อยลง (ทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นองศารับภาพลดลง)

image

ส่วนของ Image Sensor ของ iPhone 4S เป็น CMOS Backside illumination ให้ขนาดของภาพที่ 8 Megapixel  (3264×2448 pixel) โดย Back-side illumination (BSI) นั้นเป็นการให้ Photodiode สลับมาอยู่ด้านบน ทำให้แสงสามารถตกลงบน Photodiode ได้ดีกว่าเดิม

 image
รูปจาก i-micronews.com

ซึ่งขนาดของ Image Sensor ของ iPhone 4S นั้นมีขนาดอยู่ที่ 4.54 x 3.39 mm2 (5.67 mm diagonal) ซึ่งเท่ากับของ iPhone 4 โดยถ้าเทียบกับกล้อง Film (Full-frame พวก SLR หรือ DSLR) ขนาด 35mm จะได้ crop factor ที่ 7.64x ถ้ามานั่งคำนวณต่อว่าจะได้ความชัดลึก-ชัดตื้นเท่าไหร่ (Depth of field/DOF) ด้วยชุดเลนส์ที่ให้รูรับแสงกว้างถึง f/2.4 และทางยาวโฟกัสที่ 4.3mm ถ้าเทียบกับกล้อง Film (SLR หรือ DSLR) ขนาด 35mm จะได้ทางยาวโพสกัสที่ 33mm และค่าของรูรับแสงที่ f/22 เพราะฉะนั้นจะหน้าชัดหลังเบลอแบบเอาไปเทียบกับ SLR/DSLR คงทำได้ไม่ดีนัก เพราะปัจจัยในการได้ภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอนั้นไม่ใช่แค่เลนส์แล้วจบ แต่มันเกี่ยวกับขนาดของ Image Sensor เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่ทาง Apple ไม่ได้ระบุว่า ISO และ Speed Shutter เท่าไหร่ แต่คิดว่าถ้าบอกว่าสว่างขึ้นและเร็วขึ้นจาก iPhone 4 เพราะฉะนั้นลองเอามาเทียบๆ กับ iPhone 4 ที่สามารถใช้ ISO 80-2000 และ Speed Shutter 1/1000sec นั้นอาจจะถ่ายภาพด้วย ISO ที่สูงขึ้นได้อีกและ Speed Shutter และ Frame per Second ที่ดีมากขึ้นด้วย

ส่วนที่น่าสนใจคือ Hybrid IR Filter ที่เป็นการกรองคลื่นแสง Infrared ในแสงธรรมชาติหรือแสงจากแหล่งอืนๆ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพได้สีสดใสมากขึ้น (ปรกติพบอยู่ในกล้อง DSLR เป็นปรกติอยู่แล้ว)

สุดท้าย Apple A5 ที่ออกแบบและพัฒนาตัว Image Signal Processor (ISP) ไว้ใน CPU ตัวนี้ เป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ภาพนั้นมีคุณภาพดีขึ้น ควบคุมโทนสีต่างๆ และความคมชัดที่ถูกปรับแต่งผ่าน Image Processor นั้นถูกตาถูกใจคนใช้งานได้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในโหมดของ HDR ที่ปรกติจะเป็นการถ่ายภาพ 3 ภาพใน Exporsure ที่แตกต่างกันและนำมาทำ Tone Mapping เพื่อให้ได้ Dynamic Range ของภาพที่มากขึ้นกว่าถ่ายภาพปรกติ

อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Apple ใช้ ISP บน A5 ในการปรับแต่งภาพให้ได้สมดุลสีขาว (White Balance) ที่ถูกต้องมากขึ้นอีก 28% และรองรับ Face Detection ในตัวไปเลย (ใช้ Apple A5 ในเรื่องการถ่ายภาพคุ้มค่ามาก)

ซึ่งเจ้า Image Processor ที่ที่กล่าวมานั้นมีอยู่เป็นเรื่องปรกติในวงการถ่ายภาพด้วยระบบ Digital อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ละค่าย แต่ละยี่ห้อก็จะมีสูตรและวิธีคิดปรุงแต่งตัวภาพที่ได้จาก Image Sensor ที่แตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละค่ายนั้นเอง (ขอไม่พูดถึงไฟล์แบบ RAW Format เดี่ยวจะงงไปใหญ่)

สุดท้ายเหมือนเป็นของแถมจากการใช้ CPU ที่เร็วขึ้น และด้วยการที่พัฒนา Apple A5 ให้มี ISP ที่ดีขึ้น ทำให้สามารถถ่ายรูปแรกนับตั้งคลิ้กเริ่มถ่ายได้ในเวลาเพียง 1.1 วินาที และรูปต่อมาในเวลาเพียง 0.5 วินาที โดยที่สามารถถ่ายวิดีโอขนาด 1080p บน iPhone 4S ได้อีกด้วย

New Nikon "1 System" mirrorless cameras

image image

สิ่งที่ทำให้ค่ายอื่นๆ ร้อนๆ หนาวๆ คือ Mount Adapter FT1 ของ Nikon 1 System!!! พวกลากเอา NIKKOR Lenses AF-S ยกบริษัทมาใช้งานได้เลยนี่ดิ!! แถมมัน Autofocus ได้

Nikon V1 and J1 (Same Feature)

  • 10.1 megapixel CMOS sensors CX-size (13.2mm x 8.8mm, 2.7x crop factor)
  • up to ISO 3200 (Hi-1 mode 6400)
  • New Dual-core EXPEED 3 processing engine
  • Nikon F-Mount Support via Adapter
  • 73-point AF system (Generous array of 73 phase detection AF points)
  • 10fps shooting photos
  • Electronic shutter (1/16,000 second)
  • X-sync is at 1/60 second (via electronic shutter)
  • Full HD 1080p (1,920 x 1,080 pixel)
    • 30 progressive-scan frames per second video capture
    • 60 interlaced fields per second from 60 frames per second
    • HD 720p (1,280 x 720 pixel) 60 frames per second video capture
    • VGA (640 x 480) 400 frames per second video capture
    • QVGA (320 x 240 pixel) 1200 frames per second video capture for a 40x super slow motion effects
    • Video use MPEG-4 / H.264 AVC
    • auto-noise reduction on movie clips
    • 29 minute cap on single movie files
  • HDMI / USB connectivity

Nikon J1

  • Built-in flash (Guide number of 5 meters or 16 feet at ISO 100)
  • 3-inch LCDs 460,000 dot (153,000 pixel)

Nikon V1

  • No built-in flash and supports an external flash
  • 3-inch LCDs higher-resolution 921,000 dot (307,000 pixel)
  • High-res electronic viewfinders (EVF) – 0.47” (1,440,000 dot electronic viewfinder)
  • Mechanical shutter (1/4,000 second)
  • X-sync 1/250 second (via mechanical shutter)
  • Stereo microphone input
  • Multi-accessory port
  • Magnesium alloy chassis

Nikon unveils V1 and J1 mirrorless cameras: 10.1MP CMOS, 1080p video, ships in October for $650+ (video)
Nikon announces Nikon 1 system with V1 small sensor mirrorless camera
Nikon V1, J1: Two new compact system cameras for Nikon’s mirrorless debut (รูปภาพ)

เมื่อ Nikon D90 vs Nikon D5100 ในระดับราคาที่ใกล้กัน ณ.ตอนนี้ (4/7/2011)

ณ.ตอนนี้ Nikon D90 (Body) ราคา 28,900 บาท ส่วน Nikon D5100 (Body) ราคา 22,900 บาท แน่นอนว่าราคา Nikon D90 ไม่ได้สะท้อนราคาจริงๆ เพราะถูกดันให้ราคาตกไปกว่านี้ไม่ได้แล้วสำหรับประกันศูนย์ไทย (ราคาเครื่องหิ้วถูกลงมาในระดับ Nikon D5100) ไม่งั้นมันไปทับกับราคา Nikon D5100 และทิ้งช่วงให้ห่างจาก Nikon D7000 ที่ราคาลงมาอยู่ที่ 37,900 บาท ซึ่งเป็นราคาเกือบเท่ากับช่วงเปิดตัวของ Nikon D90 เมื่อ 3 ปีก่อน (ก็บอกแล้วว่ามันตัวแทน Nikon D90)

เทียบกันตามอายุ Nikon D90 เปิดตัวเดือน 8 ปี 2008 ในระดับกล้อง Advanced Consumer (ระดับเดียวกับ Nikon D7000 ในปัจจุบัน) ส่วน Nikon D5100 เปิดตัวเดือน 4 ปี 2011 ในระดับ Mid-range Consumer และเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองตัวก็ได้มาบรรจบกัน Nikon D90 ในตอนนี้เป็นกล้องที่ได้ชื่อว่าค้างสต็อก!!! ซึ่งตกรุ่นและเลิกผลิตไปแล้ว แต่ยังมีพอให้หาซื้อได้อยู่บ้างในระดับราคาที่น่าสนใจ

ด้วยคุณสมบัติและเทคโนโลยีแล้วนั้นในด้านของการให้คุณภาพของไฟล์รูปภาพแล้วตัวที่ใหม่กว่าย่อมสดและดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในมุมของคนทำงานจริงจังแล้วอาจมองในอีกมุมนึงที่แตกต่าง

ส่วนตัวแล้วนั้นรับงานถ่ายภาพที่เน้นความรวดเร็วพวกงานพิธีการ งานอีเว้นต่างๆ ช็อตต่างๆ ถือว่าสำคัญ ซึ่งตรงนนี้เน้นความสามารถในการปรับแต่งที่รวดเร็วเป็นหลัก เพราะฉะนั้นการควบคุมตัวกล้องเพื่อให้ได้รูปจึงสำคัญไม่แพ้คุณภาพรูปที่ได้มา

แต่ถ้าใช้ถ่ายแนวชิลๆ เรื่อยๆ บังคับและควบคุมแบบได้ก็จะไม่ใช่สิ่งที่ผิดนัก

สำหรับคนที่จริงจังเพื่อใช้ในการทำงานต่างๆ ผมแนะนำให้เลือก  Nikon D90 ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • การจับถือที่กระชับกว่า เพราะขนาดกล้องที่ใหญ่กว่า (เหมาะกับผู้ชาย) โดยมีดีไซน์รองรับการใช้งานร่วมกับ Grip เต็มระบบ  ถ่ายแนวตั้งจะได้ไม่ต้องปวดข้อมูล
  • การควบคุมที่โอเคกว่าเพราะมีจอ LCD ขนาดเล็กอยู่ด้านบนขวาและในช่อง view finder ที่บอกค่าต่างๆ โดยไม่ต้องมาดูที่ LCD หลังกล้อง
  • การเข้าถึงฟังก์ชั่นต่างๆ ที่รวดเร็วด้วย My Menu และปุ่มกดต่างๆ ที่เยอะทำให้จัดการได้ดีกว่า
  • รองรับเลนส์ AF ถ้าคุณรับงานแน่นอนผมมองว่าคุณต้องมีเลนส์เก่าๆ อยู่บ้าง หรืออาจจะอาศัยเลนส์เก่าคุณภาพดีราคาไม่แพงที่มีอยู่ในท้องตลาดเยอะมาก ซึ่งก็เพราะตัว AF ใช้ screw drive motor ภายในกล้อง ซึ่งราคาเลนส์ AF ราคาถูกมีเยอะมาก ทั้งในตลาดมือหนึ่งและมือสอง
  • คุณภาพของไฟล์ที่ได้ไม่ได้ด้อยจนลูกค้าต่อว่า หรือนำมาใช้งานแล้วรู้สึกหงุดหงิด มันดีมาก ดีเกินพอสำหรับคนใช้งานทั่วไปเสียด้วยซ้ำ และแน่ๆ ส่วนตัวแล้วในระดับรับงานในปัจจุบันไม่เคยมีลูกค้าบ่นว่าไฟล์ภาพไม่ดี ฯลฯ บางครั้งมันอยู่ที่คนถ่ายด้วยเช่นกัน
  • แฟลชหัวกล้องยังทำ CLS ควบคุมแฟลชนอกได้เต็มระบบ

สิ่งที่ Nikon D5100 ดีกว่า  D90

  • คุณภาพไฟล์รูปที่ดีกว่า เพราะ CMOS และ Image Processsor (Expeed 2) ที่ใหม่กว่า ทำให้ดัน ISO ได้สูงกว่า
  • จอพับได้
  • ขนาดเล็กเบา (เหมาะกับผู้หญิง)

ในมุมคนใช้งานจริงจังที่เน้นการได้ภาพโดยต้องแข่งกับชาวบ้านเค้าเป็นหลัก จะมองในมุมให้ซื้อ Nikon D90

แต่ถ้าในมุมของคนที่ใช้งานทั่วๆ ไป เน้นเรื่อยๆ ผมแนะนำให้มอง Nikon D5100 ไป เพราะคุณคงไม่ได้เอากล้องไปถ่ายแข่งความเร็วในการได้ภาพกับใครครับ

เรื่องเล่าจากการซ่อมแฟลช Nikon Speedlight SB-900 จากการตกระยะ 2 เมตร!!!

รูปจาก Nikon D40, 18-200 VR, SB-900 (พอดีว่าไม่ได้ถ่ายรูปติดไว้ในเครื่องเลยหารูปที่มี CC มาแปะแทน -_-“)

Nikon D40, 18-200 VR, SB-900

เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นตอนที่ให้พี่ที่ไปถ่ายรูปรับปริญญาด้วยกันถือแฟลชแยกออกจากกล้องสร้างผ่าน Wireless เพื่อถ่ายภาพ แน่นอนว่าการถือนั้นต้องตรงมุม และได้ระยะทำการของแฟลชเพื่อให้ได้ภาพที่ดี ประเด็นคือพี่เค้าไม่ค่อยชำนาญในการกะระยะ และจับถือแฟลช จึงทำให้ต้องจับมือและกะระยะให้พี่เค้าว่าควรจะอยู่ในมุมไหนระยะเท่าไหร่ เหตุการณ์ก็ทำให้เมื่อชูมือขึ้นแล้วจัดระยะ เหมือนมือพี่เค้าหมดแรง หรือว่าอะไรสักอย่าง ดันปล่อยมือลง (หรือลื้นก็ไม่รู้) แฟลชตกลงจากระยะชูมือขึ้นสูงประมาณ 2 เมตรลงกับพื้น แต่ก่อนตกเหมือนจะมีเท้าผมหรือใครเนี่ยแหละ กันไว้นิดนึง แต่ไม่ได้ทำให้การตกหยุดลง ฐานแฟลช (Hot Shoe) ก็ยังมีแรงพอที่จะกระเด็นและกระแทกกับพื้นอีกครั้ง เหตุการณ์ไวมาก ฝาใส่แบตหลุดออกมา แบต 3 ก้อนหลุดกระจายออกมา สวนอีกก้อนยังคาอยู่ ตอนนั้นยังงงๆ ออกแนวช็อคกับเหตุการณ์ แฟลช SB-900 ราคา 15,900 ตกกระแทกอย่างงั้นหัวใจแทบสลาย หลังจากนำขึ้นมาตรวจสอบเบื้องต้น สภาพภายนอกไม่มีอะไรเท่าไหร่ มีแต่ลังที่ใส่แบตมันมีอาการเกยกันเล็กน้อยทำให้ใส่แบตก้อนที่ 3 ยากกว่าปรกติ (ในใจก็คิดแค่ว่าคงไม่มีอะไรกลับไปคงไขแล้วจัดเข้าที่ก็โอเค) ภายนอกมีลอยถลอกนิดหน่อย โอเค สภาพจิตใจดีขึ้น เช็คการทำงานของระบบซูมแฟลช TTL ปรกติ ถ่ายต่อ!!!

พอสักพัก จำเป็นต้องใช้แฟลชติดกับกล้อง คว้าแฟลชมาจะใส่กับหัวกล้องปรากฎว่า ….

ฐานแฟลชงอครับ งอแบบเสียบลงไปไม่ได้ …. งานเข้า!!!!

ก็เลยต้องถ่ายแบบแยกแฟลชไปตามเดิม จนจบงาน คือยังดีที่มันทำงานได้ปรกติดีอยู่ (แสงแฟลชออก ซูมแฟลชแล้วได้ระยะเท่าเดิม ทุกอย่างทำงานปรกติหมด) ตอนนั้นภาพก็ต้องถ่าย เหมือนกับว่าถ้าเราพะวงแต่แฟลชทุกคนที่ไปก็จะพะวงไปด้วย คือของมันเสียไปแล้ว พะวงไปก็เท่านั้น มันต้องเดินหน้าต่อไป ก็เลยปล่อยวางแล้วถ่ายไปทั้งๆ แบบนั้น เพราะตอนนั้นคนที่ไปด้วยกันก็มีคนนึงมี SB-900 อีกตัว ถ้าจำเป็นจริงๆ ยืมเค้าใช้งานก่อนก็ยังได้ อย่างน้อยๆ งานนี้ต้องทำให้ดีที่สุดไว้ก่อน

พอจบงานก็รีบโทรหา “ช่างดำ” ก่อนเลย เพราะเป็นช่างที่ทำให้ Nikon AF Nikkor 80-200mm f/2.8D ED ผมคืนชีพจากการที่ AF พัง ซึ่งแม้แต่ Niks Thailand ยังไม่ซ่อมเพราะรุ่นเก่าแล้ว!!! สุดท้ายคำตอบคือ “ไม่มีอะไหล่ในตอนนี้และรอนานเพราะช่วงนี้ของสั่งยากมาก” T_T ที่พึ่งต่อมาคือ “Foto Thailand” ไปถึงร้านให้เค้าดูสภาพแฟลช ก็ได้คำตอบเดียวกันกับช่างดำ เสียใจ 2 รอบติด …. ที่พึ่งต่อไปคือ Niks Thailand ที่เป็น authorized dealer ของ Nikon ที่มี ศ.ซ่อมโดยตรงในไทยแห่งเดียว!!! คือของมันเป็นของที่ทำตลาดอยู่แล้ว ยังเป็นรุ่นท็อปของแฟลช Nikon เพราะงั้น ศ. ยังไงก็ต้องมีอะไหล่แน่นอน ตอนนั้นอยู่ MBK อยู่แล้ว ก็เลยเดินต่อไปอีกนิด ก็ถึงร้าน Sunny Camera ซึ่งเป็นร้านในเครือเดียวกับ Niks Thailand ให้เค้าฝากส่งให้

เข้าไปบอกเค้าว่ามาซ่อมแฟลช ให้เค้าดูอาการต่างๆ ให้ตอนนั้นเนี่ยด้วยความที่ อะไรก็ได้ยอมๆ ราคาเท่าไหร่ว่ามา ตอนนั้นคิดราคาค่าซ่อมไว้ว่า ถ้าเกินกว่าราคา 50% ของราคาปรกติที่ซื้อมาคงซื้อใหม่แน่ๆ เพราะใช้มาจะ 2 ปีค่าเสื่อมปีละ 15-20% ตอนนี้ค่าตัวมันคงประมาณ 60-70% ของราคาหรือประมาณ 12,000 บาทได้แหละ เพราะงั้น ถ้าราคาค่าซ่อมเกินกว่า 50% ก็ถือว่าซ่อมไม่คุ้มแหละ ตอนนั้นผมตีไว้ว่าไม่น่าเกิน 5,000 บาท (ผมตีโหดสุดไว้ก่อน จะได้ทำใจได้เวลาจ่ายเงิน)

สรุปคือตีค่าซ่อมเบื้องต้น 2,500 บาท !!! โอเค …. จัดไป ส่งซ่อมโดยไม่คิดอะไรมาก เพราะไม่มีทางเลือก ระยะเวลาตรวจสอบอะไหล่และราคาที่แน่นอนคือ 2 อาทิตย์ (คงเป็นเรื่องของคิวการซ่อม การสั่งของและเช็คสต็อก) ซึ่งแน่นอนสำหรับแฟลชประกันร้าน (ซื้อมาเป็นของหิ้วจากญี่ปุ่น) เพราะงั้นทำใจเรื่องระยะเวลาในการซ่อมว่าจะมันจะต้องช้าแน่นอน

ผ่านไป 2 อาทิตย์ ตรงเวลาสุดๆ ศ. โทรมาสรุปค่าซ่อมทั้งหมด 4,000 บาทถ้วน (ไม่มีเศษ สมแล้วที่เป็น ศูนย์บริการ ไม่มีปัดเศษ ให้ได้ใช้แบงค์ย่อย … ฮา …) ผมก็โอเค ต่ำกว่าที่คาดไว้ 20% และคิดเป็นค่าซ่อมที่ราคาประมาณ 30% ของมูลค่าของ ณ.ปัจจุบัน ถือว่าการซ่อมครั้งนี้ผ่านและไม่แพงจนเกินไป (เทียบกับเหตุการณ์ที่ทำให้มันพัง) ศ. แจ้งว่าอีกประมาณ 5 วันน่าจะซ่อมเสร็จ

มาวันที่ 15 มีนาคม 2554 ศ. แจ้งว่าแฟลชซ่อมเสร็จแล้ว เข้าไปรับของได้เลย โดยเปลี่ยนไปทั้งหมด 3 ชิ้นคือ ฐานแฟลชที่งอ, หลอดไฟแฟลชที่ร้าว!!!, และแผ่นกระจกด้านหน้าที่ไหม้ (เค้าเขียนว่า “ไหม้” แต่อาการนี้พวกผมเรียกว่า “เหลืองเพราะใช้งานหนัก”) โอเค ตอนเย็นก็เลยรีบไปรับของทันที และทดสอบที่ร้านที่ฝากเค้าส่ง กล้องก็ไม่ได้เอาไป แต่เค้าก็ให้ยืมกล้องให้ลองจนพอใจ สุดท้ายโอเค กลับเข้าสู่สภาพเดิมดี ก็เลยเก็บของกลับบ้าน มาลองต่ออีกหน่อยทั้งระบบ Wireless Flash, ระบบ TTL ฯลฯ งานนี้ ศ. ประกันงานซ่อม 2 เดือน ถ้ามีปัญหาก็เข้าไปซ่อมและเช็คได้ฟรี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ลองใช้งานในสภาพใช้งานจริงหรือหนักๆ คงต้องหาโอกาสลองสักหน่อย

รอบนี้โดนสาหัสมากนับแต่ซ่อม Nikon AF Nikkor 80-200mm f/2.8D ED ที่รอบนั้นโดนไป 4,700 บาท รอบนี้อีก 4,000 บาท อืมมม T_T

ภาพอะไหล่ที่เปลี่ยนออกมา

Nikon SB-900 - Hot Shoe Flex
Nikon SB-900 - Flash Lamp Broken
Nikon SB-900 - Main Plate Glass Burn

เรื่องราวของกระเป๋ากล้อง

จากประสบการณ์การถ่ายรูปอันน้อยนิด (ประมาณ 2 ปี) เรื่องที่มันจบได้ยาก ไม่ใช่แค่เรื่องราวของกล้องและเลนส์ เป็นก็รวมไปถึงกระเป๋าด้วย แน่นอนคนถ่ายรูปนั้น ถ้าเป็นพวกจริงจังกับชีวิต ผมเชื่อว่ามันไม่จบในใบเดียวหรอกครับมันต้องมีหลายๆ แบบในหลายสถานการณ์แน่นอน ยิ่งถ่ายงานพิธีต่างๆ อาจจะรวมถึงสายคาดเอวและเพ๊า/กระบอกที่ใส่เลนส์

กระเป๋าใบแรกผมเป็นแบบสะพายข้าง/ไหล่ หรือ Shoulder bag

imageimage

– แบบนี้มันก็คล่องตัวดีนะ หยิบจับของง่าย เปลี่ยนเลนส์ได้เร็วดี มีกระเป๋าแนวๆ เท่ห์ๆ มีให้เลือกเยอะ ข้อเสียคือปวดไหล่สุดๆ ในทริปหรืองานที่ต้องยืนระยะนานๆ ยิ่งของหนักๆ เดินทั้งวันเมื่อยไปถึงเอว นานๆ หลังอาจจะเสียได้ ด้วย จริงๆ ผมหมายรวมถึงแบบกระเป๋าลูกครึ่งสะพายหลังแนวเฉียง หรือ Sling Bag ด้วยนะ เพราะสะพายแบบไหล่ข้างเดียว แน่นอนดีต้องที่มันไปอยู่ด้านหลัง เวลาใช้งานก็เหวี่ยงมาด้านหน้า เปลี่ยนเลนส์เสร็จแล้วก็วกกลับไปด้านหลัง เนื่องผมมี Lowepro SlingShot 200 AW นี่เข้าใจเลย ใส่ของเยอะๆ ชักเริ่มไม่ไหว ยิ่งแนวสะพายแบบเฉียงนี่แล้วใหญ่เลย มันสลับข้างไม่ได้ ใช้ในทริปที่เดินทั้งวัน กลับมานี่ไหล่ทรุดไปข้างเลย หลังจากนั้นเข็ดเลยกับการต้องให้ไหล่แบกรับน้ำหนักนานๆ

กระเป๋าสะพายหลัง(เป้) หรือ Backpack

image image
– แน่นอนว่ามาลบข้อเสียของแบบสะพายข้าง/ไหล่ ได้ดีเพราะไหล่ทั้งสองข้างช่วยกันรับน้ำหนัก ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่เมื่อยไหล่ คล่องตัวมาก ในการเดินทาง ข้อเสียคือหยิบไม่สะดวกเลย ยิ่งเปลี่ยนเลนส์บ่อยๆ ลำบากใช้ได้ แม้จะมี Fastpack ที่เป็นลูกผสมของ Sling Bag กับ Backpack คือใส่ของด้านข้าง แบบ Sling และขึ้นไหล่แบบ Backpack แต่ความจุก็ไม่เยอะ อาจจะเพราะข้อจำกัดในการออกแบบด้วย มันเลยได้แค่นั้น เหตุที่ทราบเพราะผมมี  Lowepro Fastpack 250 ที่ใส่ Notebook ได้ด้วย ตอนนี้ก็ยังใช้อยู้เป็นประจำ ในกรณีที่ต้องเอา Notebook ไปด้วย ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี แน่มันใส่ได้น้อยไปหน่อย เลนส์ 2-3 ตัวกล้อง 1 ตัวแฟลชและ Notebook สุดท้ายผมก็เลยจัดอีกใบ คือใช้ Back Pack AW (BP-1) อีกใบนึง สำหรับใส่กล้อง 2 ตัวเลนส์ได้อีก 5 ตัวและแฟลชอีก 1-2 ตัว แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี่ มันไม่ได้ตอบสิ่งที่ผมใช้ได้ไม่ทั้งหมดหรอก เพราะมันหยิบเลนส์และกล้องยากอยู่ดีแหละ มันเลยต้องมีกระเป๋าเสริมครับ ;P

กระเป๋ากล้องแบบคาดเอว (Beltpack) และสายคาดเอว (ที่มีเพ๊า/กระบอกที่ใส่เลนส์)

image imageimage

– แบบนี้แน่นอนว่าได้ความสะดวก สุดๆ เหมาะกับงานที่เราต้องการความคล่องตัวสูงมากๆ และไม่ให้ไหล่มีภาระมากตลอดทั้งวัน (2 แบบแรกมันก็ยังไม่ตอบโจทย์ดีเสียคนละดอก) เพราะเราไม่ได้แบกขึ้นไหล่ แต่ข้อเสียคือยังไงก็เก็บอุปกรณืได้ไม่เต็มที่ เหมาะเป็นอุปกรณ์หรือกระเป๋าเสริมการทำงานของกระเป๋าแบบสะพายข้าง/ไหล่ หรือสะพายหลังครับ และแน่นอนว่า เมื่ออุปกรณ์น้ำหนักมากๆ ความมั่นคงเวลาคาดเอวก็จะน้อยลงพอสมควร จึงอาจจะต้องหาสายคาดไหล่ (Shoulder harness) มาคาดเป็นเอี๊ยม ไว้สักนิดให้มันรั้งๆ ไว้นิดๆ ก็จะทำให้ไม่ต้องกลัวมันจะหลุดจากเอวได้ แต่ผมไม่มี เพราะผมผูกกับกางเกง ถ้ามันหลุดคงไปทั้งกางเกง ฮาๆๆๆ ที่ผมใช้ก็ใช้ Belt และ Pouch ของ Fotofile ยกชุดเลย ของดีราคาไม่แพง ทนใช้ได้เลย

หลังจากที่ผมถ่ายรูปมา มันก็เลยลงตัวที่ Backpack + Belt/Pouch เนี่ยแหละ ตอนเดินทางก็ใส่ Backpack แล้วถือ Belt/Pouch ไป เวลาถ่ายก็เอาของทุกอย่างยัดใส่ Belt/Pouch ส่วน Backpack ก็เหลือแต่กระเป๋าโล่งๆ ถ้ามีที่ฝาก ผมก็ฝากแต่เฉพาะ Backpack ทั้งงานผมก็เดินคาด Belt/Pouch เอาสบายตัวไปเลย ไหล่ก็ไม่รับภาระหนัก ทำงานคล่องตัวด้วย