บ่นบ้า (ภาคที่เท่าไหร่ไม่รู้)

เฮ้อ ……. ช่วงนี้ทำตัวขี้เกียจวันเล้ยยยยยย ……

แถมเน็ตหอก็มาเสีย ต่อผ่านตู้สาขาเอา ความเร็วแบบไปตามน้ำใจเย็นเป็นน้ำ 26.4Kbps เลยทำให้เสียเงินเพิ่มเข้าไปอีก ……. ตอนนี้เลยตอนเช้าๆ ต้องไปนั่งเล่นที่ คณะ แทนพอไปเล่นแล้วมันเร็วแบบสุด ๆ ๆ แต่ก็ได้ข่าวดีว่าเค้ากำลังมาแก้ไขเน็ตที่หออยู่ ไม่รู้จะได้วันไหนเหมือนกัน

แล้วนี่ก็ใกล้สอบ Data Structure แล้วก็ Internet Programming แล้ว ไอ้อย่างหลังไม่เท่าไหร่ ทำได้ดีเลยหล่ะ แต่อันแรกดิ หนักใจจริง ๆ ไม่รู้อาจารย์สอน งง ๆ ไม่รู้ว่าจะเอายังไงแน่ จนเราต้องมานั่งอ่านเอง นี่ก็อ่านจนหัวจะไหม้แล้ว นั่งอ่านนั่งทำโปรแกรมไปเรื่อย ก็หวังว่าเทอมนี้จะไม่พลาดอีก …..

แล้วช่วงนี้ฝนตก กันทั่วถึงทุกภาคก็รักษาสุขภาพด้วยนะ นี่ก็เริ่ม ๆ จะเป็นหวัดแล้ว มึน ๆ เหมือนกัน เฮ้อ … เดี่ยวร้อนเดี่ยวหนาว เอาแน่ เอานอนไม่ได้ …… -_-”

อ่อ นี้ก็ไปนั่ง ๆ อ่านเรื่องพวก Common Public Licence ว่าจะเอามาใช้กับโปรแกรมที่เราว่าจะทำเป็น OSS ซะหน่อย นี่ก็กะทำ project ไว้หลายตัวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครจะทำตัดหน้าไปหรือเปล่า ……

แต่ก็นะ ….. นี่ก็ดองงานไว้เยอะ หลายงานเลย ไม่รู้จะแบ่งตัวไปทำยังไงหมด ……. แย่จัง T_T

วันนี้บ่นแค่นี้ดีกว่า ไม่ไหว ๆ ๆ มึนหัว …….

เลือกอะไรระหว่าง แต่งงาน หรือคอมพิวเตอร์

เหตุผลที่ทำให้การเล่นคอมพิวเตอร์ดีกว่าการแต่งงาน

  1. ถ้าคุณไม่อยากยุ่งกะมัน คุณก็ปิดมันได้
  2. มันไม่มีทางบอกคุณว่า “คืนนี้อย่า Login เลย ฉันปวดหัว”
  3. คุณบอกมันได้ทุกอย่าง และแน่นอน มันจะไม่ไปบอกใครต่อ
  4. แถมคุณยังสั่งให้มันบอกคุณ ในสิ่งที่คุณอยากได้ยินด้วยนะ
  5. มันไม่โวยวายอะไร ถึงแม้ว่าคุณจะกลับบ้านตอนตี 3 พร้อมลอยลิปสติกบนแก้ม
  6. มันแย่งที่นอนคุณไม่ได้ รวมถึงผ้าห่มคุณด้วย
  7. คุณไม่ต้องทำอาหารให้มันกิน (แต่มันอาจจะกินค่าไฟแทน แค่สองหลอดเท่านั้น)
  8. มันจะจำในสิ่งที่คุณอยากให้มันจำ และลืมในสิ่งที่คุณอยากให้ลืม
  9. มันไม่รุ้จักเหนื่อย ไม่ว่าคุณจะใช้งานมันหนักแค่ไหนก็ตาม (ยกเว้น จะแฮงค์ไปซะก่อน)
  10. แถมมันยังไม่เคยบ่น แม้ว่าคุณจะไม่เคยพามันไปเที่ยวที่ไหนด้วยนะ

เหตุผลที่ทำให้การแต่งงานดีกว่าเล่นคอมพิวเตอร์
หมายเหตุ:แก๊กนี้ ผู้ปกครองควรพิจารณาก่อนให้บุตรหลานอ่าน

  1. เวลาคุณจะใช้งาน คุณไม่ต้องใช้ password (โดยเฉพาะเวลาคุณภรรยาใช้คุณสามี ส่วนเวลาคุณสามีจะใช้ ก็อาจจะต้องใส่ password เช่นว่า “ที่รักจ๊ะ …” เป็นต้น)
  2. เวลาไฟดับ คุณยัง “ทำอะไร ๆ” ต่อไปได้ เพราะเรื่องแบบนี้ ทำมืด ๆ ดีกว่า
  3. อืม… คุณใช้คอมพิวเตอร์ต่างหมอนกอดไม่ได้ะ แม้จะเป็น Notebook ก็ตาม
  4. อืม… คุณเอาหัวซบบน keyboard แทนหน้าตักภรรยา ไม่ได้หรอก มันไม่สบาย และไม่โรแมนติกด้วย
  5. เวลาคุณพิมพ์คำสั่งผิด คอมพิวเตอร์ก็จะโวยวายทันที แต่ถ้าคุณใช้คำผิด ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก (ยกเว้น ภรรยาหรือสามีของคุณ เป็นครูสอนภาษาไทย)
  6. เวลาคุณเล่าเรื่องขำขันที่คุณคิดว่ามันตลกที่สุดในโลก ให้คอมพิวเตอร์ฟัง มันไม่หัวเราะหรอก
  7. อืมมม ต่อให้เครื่องคุณเป็น PIII-800 ผมก็คิดว่า คุณพามัน(หรือมันพาคุณ)ไปดูหนังไม่ได้หรอกนะ
  8. ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์คุณจะไม่บ่นเวลาคุณเมากลับบ้านตอนตี 3 แต่เชื่อเถอะ มันไม่เก็บอ้วกให้คุณหรอก ถึงแม้คุณจะอ้วกบน keyboard ก็ตามที
  9. อืม… คุณอาจจะรักคอมพิวเตอร์คุณจนสุดหัวใจ แต่เชื่อผมเถอะ มันไม่รักคุณหรอก
  10. สุดท้าย ต่อให้คอมพิวเตอร์สวยน่ารักแค่ไหน (เช่น เครื่องไอแมค) คุณทำเรื่อง”อย่างว่า” กับคอมพิวเตอร์ไม่ได้หรอก (ถ้าคิดจะทำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง) ปรึกษา “จิตแพทย์” ท่าจะ work กว่ามั้ง

เหตุผลที่ทำให้การแต่งงานพร้อมกันการเล่นคอมพิวเตอร์ดีที่สุด

  1. เวลาคุณต้องไปไหนไกล ๆ ก็สามารถคุยกันผ่าน IRC ได้ไง จะโทรศัพท์มันก็แพงออก
  2. เวลาคุณไม่ค่อยได้เจอกัน ฝาก Note ไว้ที่คอมพิวเตอร์ เช่นเขียนไว้ที่ Wall Paper ว่า “คิดถึงจัง
  3. คืนนี้เจอกันนะ ที่รัก…” ถ้าเขาเห็นแล้วไม่อมยิ้มก็แปลกแล้ว
  4. การได้หนุนตักภรรยา เล่นคอมพิวเตอร์ มันอาจจะไม่สบาย(มาก ๆ ) แต่มันก็โรแมนติกน่าดูนะ
  5. วันเสาร์อาทิตย์คุณก็เกี่ยวก้อยกันไปเดินซื้อของที่พันธุ์ทิพย์ได้ สนุกกว่าไปคนเดียวตั้งเยอะ(อิจฉา อิจฉา)
  6. หรือไม่ก็ ถ้าเขาเล่นโปรแกรมอะไรไม่เป็น ก็ถือโอกาศสอนซะเลย จะได้มีอะไรทำด้วยกันไง
  7. เวลาคุณมีลูก คุณก็สามารถสร้างความสัมพันธ์กะลูกด้วยการสอนคอมพิวเตอร์ให้ลูกก็ได้นะ
  8. คอมพิวเตอร์เนี้ย มันต้องนั่งตรงหน้า ดังนั้นเวลาจะใช้คอมพิวเตอร์ด้วยกัน มันก็ต้องนั่งเบียด ๆ กัน หรือไม่ก็เก้าอี้เดียวกันไปเลย มันไม่สบายแต่อบอุ่นดีออก(แต่จะลงท้ายด้วยการทำอย่างอื่นหรือเปล่า ก็แล้วแต่ละครับ)
  9. ถ้าทะเลาะกัน เค้าไม่ยอมพูดด้วย ก็ใช้คอมพิวเตอร์ง้อ ก็ได้ (แต่อันนี้ก็แล้วแต่ความสามารถนะครับ) และถ้าคุณทนคิดถึงกันไม่ไหว ก็หอบงานมาทำที่บ้าน ต่อ modem ก็เหมือนอยู่ที่ office แล้วละ
  10. ผมก็เชื่อว่า หลาย ๆ คู่ ก็คงได้แต่งงานกันก็เพราะ Computer/Internet นี้แหละ จริงมั้ยครับ :)

อย่ามองคนใช้ Computer Notebook แบบนี้เลย

มันน่าแปลกนะ เดี่ยวนี้ใครๆ ก็มองหา Computer Notebook มาใช้งานกันอย่างถ้วนหน้า แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงดูถูก หรือมองคนใช้ Computer Notebook ว่าเป็นพวก Hi-So หรือพวกอวดความรวย และซื้อมาเพื่อความเท่

ผมในฐานะคนใช้คนหนึ่งซึ่งใช้มาแล้ว 2 เครื่อง 2 ยี่ห้อ ในเวลาเกือบ 3 ปี บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่หลายๆ คนคิดอย่างผมซื้อเพราะว่าเอามาทำงานซะมาก งานในที่นี้คือการทำงานจริงๆ ได้เม็ดเงิน ได้ผลตอบแทนจริงๆ อีกทั้งสะดวกมากๆ ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียนมากมาย แต่ก็อีกหล่ะ มีหลายๆ คนที่ซื้อมาเพราะโก้ ถือไปมันเท่….. อืมมม น่าคิดนะ

แต่วันนี้ขอบ่นเฉพาะพวกชอบมองว่าคนใช้ Computer Notebook ดีกว่าซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าจะดูถูก หรือมองคนใช้ Computer Notebook อะไรขนาดนั้น คือจริงๆ การใช้นั้นในมุมมองผม มันอยู่ที่งานที่เค้าทำ หรือว่าเค้าใช้งานมากกว่า รวมถึงข้อจำกัดแต่ละคนด้วย

แต่ก่อนจะพูดนั้น ต้องบอกก่อนว่า ไอ้พวกใช้ Computer Notebook แล้วจะเอามาเล่นเกมส์ แนะนำว่าให้ไปซื้อ Computer Desktop ดีกว่า มันได้อะไรมากกว่าในราคาที่เท่ากันมากเลย ซึ่งต้องขอยกตัวอย่างว่า ผมทำงานที่ตึกเรียนเนี่ย แล้วมาทำงานต่อที่หอ หรือผมกลับบ้านที่นครสวรรค์ (ผมเรียน ม.นเรศวร ที่พิษณุโลก) ผมไม่ต้องแบก Computer Desktop กลับไปกลับมาทำไม ผมไปไหนผมก็ทำงานได้ เขียนโปรแกรม อ่าน eBook หรือ เช็คเมลได้ (ตอนนี้มือถือ GPRS เสียเลยไม่ได้ใช้แต่รอซื้อมือถือใหม่ก่อน) ผมมองว่าชี้วิตที่มันได้ทำงานไปด้วย Relax ไปด้วยมันสุดยอดมาก การทำงานไม่ใช่อยู่ที่ห้องทำงาน แต่อยู่ที่ว่าคุณจะทำงานให้ออกมาอย่างไร และใส่ไอเดียในงานได้อย่างไร ให้มันมีประสิทธิภาพได้มากที่สุด ผมชอบสไตร์นี้มากกว่า

ซึ่งคนอื่นๆ อาจจะไม่คิดแบบผม ซึ่งในความคิดผม การมี Computer Notebook มันไม่ได้เท่อะไรเลย แถม…… แบกไปๆ มาๆ หนักอีกต่างหาก อีกอย่างกระเป๋าใบใหม่ของผม Targus Sport Deluxe Computer Backpack ที่สุดแสนจะใหญ่โตเท่าบ้าน(ของหมาตัวเล็กๆ) แต่เต็มไปด้วยความปลอดภัยต่อ Computer Notebook แล้วเนี่ยมันก็คงน่าคุ้มดีอยู่นะ แล้วอีกอย่างคือมันต้องแบกสายไฟ อีกจำนวนหนึ่งไปด้วยเช่น IBM Power Outlet, MS IntelliMouse Optical, Line phone, Line LAN, ฯลฯ อีกเล็กน้อย นี่ยังไม่รวมพวกเอกสารอีกจำนวนหนึ่ง และหนังสือเรียน หรือเอากลับบ้านไปทำงานที่บ้านอีก รวมๆ น้ำหนักกันแล้วก็เกือบๆ 6 – 7 กิโลกรัมที่มันอยู่ที่หลังของเรา

ในกระเป๋า Backpack สุดเท่ (ไปหมด ตรูหนักโว้ยยยยยย) ….. ซึ่งผมว่าผมเดินทางตัวเปล่าๆ เท่กว่าอีกนะผมว่า อีกอย่างคือที่ที่ผมอยู่ หอ นั้หล่ะ ก็ไม่ใหญ่มา โต๊ะหนังสือห้องอะไรมันก็เล็ก มันไม่มีห้องทำงานแบบที่บ้านผม ที่ใส่ Computer Desktop + Printer + Scanner + โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดมันกินพื้นที่กว่าครึ่งห้องของห้องทำงานไปแล้ว (ผมใช้ห้องทำงานเปลื้องมาก) ……
ซึ่งเครื่อง Computer Desktop ที่อยู่ที่บ้านในตอนนี้กลายเป็นเครื่อง Backup Files ต่างๆ ของ Computer Notebook ของผมไปซะแล้ว และเอาไว้ลองของพวกโปรแกรมใหม่ๆ หรือว่าพวกโปรแกรม demo ต่างๆ เพราะว่าไม่ได้ใช้งานมากไปกว่าเอามาเปิดเพลง หรือไว้ทำระบบ Server ต่างๆกลายเป็นที่ลองวิชาไปซะแล้ว ซึ่งเครื่องตัวนี้คือ P3 667Mhz Ram 512 H/D40GB ก็ไม่ถึงกับเร็วมากในปัจจุบัน แต่ว่ามัน run Windows XP ได้อย่างสบาย ทำงานได้ทุกอย่างที่ควรจะทำได้

ซึ่งผมคิดว่ามันคงรับใช้ผมไปได้อีกนาน สักอีก 2 – 3 ปี เอาไว้ลองเอาไว้เล่น หรือเอาไว้ให้ แม่ ผมหรือน้องผมทำงาน + เล่นเกมส์ ซึ่งในตอนนี้ทำให้ผมทำงานบน Notebook ผมมากกว่าเครื่องทุกเครื่องที่ผมมีมาซะอีก ซึ่ง IBM ThinkPad นั้นไม่เคยงอแง เลย รวมทั้ง การ Support On-Site ของ IBM ที่สุดยอดมาก …… ผมยอมรับเลย และจะขอใช้ยี่ห้อนี้ต่อไปถ้ายังไม่เปลี่ยนการ Support ไปเป็นแบบ Carry-In ซะก่อน อีกทั้งการ Support ด้าน Warranty และการตอบคำถามด้าน Technic ทีดีเยี่ยมขอชมเลย เพราะใช้บริการหลายครั้งทั้ง เรื่องการติดขัดทางด้าน Wireless และ อุปกรณ์ modem เสีย ด้วย

มาเข้าเรื่องต่อดีกว่า คือในความเป็นจริงแล้ว คนที่จะซื้อมาใช้ในปัจจุบันน่าจะแบ่งได้ 3 กลุ่มคือ 1. กลุ่มgเน้นทำงานจริงๆ เป็นหลัก เน้นโดยเฉพาะ อันนี้กลุ่มนนี้มีมานานแล้ว …. และก็ยังคงมีต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเงินพอในการเข้าถึงเทคโนโลยีด้านนี้มากกว่า และเข้าใจว่าควรซื้อ หรือไม่ซื้อะไรบ้างในตอนนั้น (วัยทำงานน่ะ ยังไงก็เข้าใจการใช้เงินได้ดีกว่าวัยรุ่นอยางผมหล่ะ) 2. กลุ่มเน้นความบันเทิง อันนี้เป็นกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเกิดมาได้สักพักพวกนี้จะเน้นทุกอย่างที่สร้างความบันเทิงได้ คือกลุ่มนี้ไม่ขอวิจารน์มากนะ (เดี่ยวโดนด่าว่าไปยุ่งกับกระเป๋าตังเค้า) เพราะว่ามันเงินเค้า แต่ว่ากลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นพวกเข้าใจผิดว่า notebook คือ desktop แบบพกพาได้ซึ่งในความจริงแล้วมันต่างกัน และมักเข้าใจว่ามัน upgrade กันได้ง่ายๆ ใช้งานไม่ถนอมก็เยอะซึ่งทำให้กลุ่มนี้ใช้งานกันไม่เต็มที่ซะส่วนใหญ่ 3. กลุ่มก่ำกึ่ง คือได้ทำงานและความบันเทิงไปด้วยแต่จะเน้นความบันเทิง (คือพวกค้นหาตัวเองไม่เจอ) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มาแรง และได้ยอดขายมากที่สุด เพราะอะไรกลุ่มที่ 3 มันถึงได้มาแรง เพราะว่าเป็นเหมือนกันกลุ่มคนที่เข้ามือใหม่อยากได้ Notebook ครับ แต่ไม่ได้ศึกษาว่าจะเอามาทำงาน หรือว่าเพื่อความบันเทิง แต่ส่วนมากแล้วทุกคนก็ทำทั้งสองอย่างอยู่แล้วใน Desktop แต่ว่าทำไมผมแบ่งมันออกมา มันคือเป็นกลุ่มที่เป็นตลาดใหม่เลยก็ว่าได้ เพราะว่าในอดีต คนที่จะซื้อ Notebook มาใช้นั้นต้องเอามาทำงานกันซะมาก เพราะว่าราคาค่าตัวมันแพงกว่าชาวบ้านเค้ามาก คือหลักแสนน่ะครับ และมีเลือกรุ่นได้น้อยด้วย แต่ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปมันก็เลยถูกลงจนคนที่ไม่ได้เอาไว้ทำงานจับต้องได้(บ้าง) ทำให้ผู้ผลิตต่าๆง หันมาเอาใจคนกลุ่มนี้มากขึ้น ใส่ spec ให้ดูดี(มีชาติตระกูล) ลงไป แต่ก็มีหลายๆ ยี่ห้อไม่ตามกระแส เพราะว่าต้นทุน Notebook ที่สูง และทำกำไรได้มากด้วย ทำให้จะลงมาสู้ทำไม เพราะว่ามันคืออู่ข้าวอู่น้ำของพวก Brand ต่างๆ มานานมากเพราะว่า Desktop โดนกลุ่มพวกเครื่องประกอบ และพวก LocalBrand ตีหมดแล้ว จริงไหม พวก Brand ดังๆ เลยต้องกลับลำให้ราคาคงตัวจะมีไม่กี่ยี่ห้อที่ลงมาสู้แต่ก็พับเสื่อหนีหรือต้องกลับมาที่เดิมเพราะต้นทุนที่สูงมากเช่นนี้คงได้เจ็งแน่นอน

ซึ่งจากที่ได้กล่าวมาย่อหน้าที่แล้วนะ จะเห็นว่าทำไมถึงสาเหตุที่ว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่สมัยนี้ หรือนักศึกษาทั่วไป ซึ่งส่วนมากที่ไม่มีความจำเป็นในการซื้อใช้มากนัก และก็อีกส่วนที่ควรจะซื้อมาใช้แต่ดันไม่ซื้อ (เอากับมันดิ) ถึงได้ซื้อหามาใช้กันเพื่อนอวด หรือโชว์สาว (เรื่องจริงเจอมากับตัว 555 ) ตัดสินใจซื้อ Notebook มาเพื่อนสนองความต้องการ ต่างๆ ที่ได้กล่าวมาหลายๆ ข้อก่อนหน้านี้กันมากขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้ศึกษาก่อนว่ามันมี ข้อดี ข้อเสียอย่างไร ทำให้เกิดปรากฎการณ์ด้านการขายออกเป็นของมือสองออกมามากมายในระยะหนึ่งที่ผ่านมา คือกลายเป็นว่าคนซื้อด่าคนขายว่า “หลอกขายของ” คนขายก็ปวดหัวคิดในใจประมาณว่า “ไม่ศึกษาก่อนซื้อฟร่ะ” กลายเป็นผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย คนขายก็เสียชื้อ คนซื้อก็เสียเงิน (+ อารมณ์) แถมเสียดุลการค้าด้วย (เอาเข้าไปตรู) …..

ซึ่งหลายๆ คนก็รอให้เทคโนโลยีด้าน Notebook ใหม่ๆ มาก่อน ซึ่งมันก็มีของใหม่มาเรื่อยๆ ไม่ว่าคุณจะซื้อ Desktop หรือ Notebook พวกนี้มันคือสินค้าเทคโนโลยีครับ สักวันคุณก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ไม่ต้องรอมันหรอก พวก เทคโนโลยีใหม่ๆ น่ะ ถ้าจำเป็นก็ซื้อเหอะ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรอหรอกครับ แต่ว่าซื้อไม่ต้อง Over มาก เอาที่คิดว่าคุ้มค่ากับการใช้งาน พอสมควรก็พอ ไม่ต้องบ้าตามมันมาก เพราะว่ามันเปลี่ยนรุ่นเปลี่ยนเทคโนโลยีกันทุก ครึ่งปีอยู่แล้ว คือตอนนี้ซื้อมาไม่ต้องหวัง Upgrade กันหล่ะ เพราะว่าไม่คุ้มกันอยู่แล้วในตอนนี้ (ก็คุณท่านเล่นเปลี่ยนรูปแบบระบบซะทุกปี ใครจะไปนั่งตามหล่ะครับ)

สุดท้าย บ่นมาก็มาก อยากให้มองว่าคนซื้อ Notebook บางส่วนซื้อมาสนองความต้องการด้านการใช้งาน เรื่องการทำงานซะมากกว่าด้านความบันเทิงครับ ซึ่งที่ซื้อมากกว่า 70% นั้นเอามาทำงาน หรือเรียน (เอามาเรียนจริงๆนะ) แน่นอน และก็มีส่วนหนึ่งที่เอามาทำเท่ (เดี่ยวจะรู้ว่านรกมีจริงถ้ามันหมดประกัน หรือทำพัง 555) แต่มีส่วนน้อยที่เอามาทำเท่อวดสาว ….. อย่ามองคนใช้ Notebook แบบนั้นเลย ……

ขอบ่น 1 – “เฮ้ย ทำไมไม่หากันเองก่อนฟร่ะ และหายนะที่จะตามมา”

เดี่ยวนี้เริ่มมีเพื่อนๆ น้องๆ เริ่มขอโน้นขอนี่ทาง IM มากขึ้นไอ้เราก็ไม่มีเวลา แต่เออ ช่วยๆ กันก็ได้เลยหาให้ แต่จนแล้วจนรอดเวลาเราไม่ว่างก็ดันมาถาม โทรหามั้งหล่ะ ทำอย่างกับเราเป็น Technician Support อย่างงั้นหล่ะ ไอ้ช่วยอ่ะช่วยได้ แต่นี่เล่นแม่งเช้าสายบ่ายเย็นก็ไม่ไหวนา …..

หากันเองก่อนได้ไหม Google, Yahoo หรือแม้ต่ MSN Search ใช้หากันก่อนถ้ามันไม่ได้แล้ว ค่อยว่ากันอีกที

ทุกวันนี้มันทำไมเป็นกันแบบนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าที่เค้าเล่นอินเตอร์เน็ตกันเนี่ย เค้าไม่ได้ศึกษาหลักการใช้งาน Search Engine กันเลยหรือไง ถึงได้ใช้กันไม่เป็น

ภาษาก็เหมือนกัน ใช้กันหน่อย ศึกษากันมาตั้งแต่ ป.1 เนี่ยจะม.6 หรือ ม.3 บางคนจะจบ ป.ตรี ยังขี้คร้านจะอ่านมันอีก

ผมเป็นเทวดาหรือไง ถึงให้แปลให้เนี่ย แค่พออ่านออก จับใจความได้ ไม่ได้ถึงขนาดแปลได้เล่าได้เหมือนเจ้าของภาษานะ

เฮ้อ ….. เซง จริงๆ มันเกิดจากอะไรผมไม่แน่ใจนะนิสัย ป้อนเอาๆๆ

แต่สังเกตไหมหล่ะว่า นักเรียนไทย หรือแม้แต่ประชาชน ไทยของเราเข้าร้านหนังสือเป็นอัตราส่วนที่ยังคงน้อยอยู่ ที่อ่านกันจริงจะเป็นหนังสือแนวแฟชั่น มากกว่าส่วนพวกสาระความรู้แบบเต็มๆ ทั้งเล่มแทบจะหาได้ลำบากมาก ส่วนใหญ่จะเอาไปลงแทรกๆ ซะมากแต่ว่าหาคนอ่านได้น้อย เพราะว่ามันไม่น่าสนใจกว่าดาราคนที่เราชื่อชอบเท่าไหร่น่ะซิ

สังคมเรานี่แปลกนะ รายการ Reality Show ตอนนี้ก็ปา ไปหลายรายการแล้วแถมพวกประกวดทางความสวยความงาน ใครได้ก็ดังกันใหญ่ แต่ทีพวกความรู้ โอลิมปิก หรือแข่งขันงานด้านวิชาการต่างๆ เงียบเป็นป่าช้า

“เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา งานวิชาการ และความรู้มากเท่ากับสิ่งที่เป็นมายา สังคมเราอ่อนแอลงเพราะภาพมายาที่คนเหล่านั้นสร้างขึ้น มันกำลังบ่อนทำลายสังคมนี้อย่างช้าๆ และกำลังเห็นผลในเร็ววัน”

มันเลยทำให้เราถูกยัดเยียดความสบายจากสิ่งที่ได้มาง่ายๆ ทั้งการประกวดที่ไปยืดๆ แสดงความสามารถปัญญาอ่อน (บางคน) หรือไปเดินส่ายๆ ร้างเพลงปาวๆๆ แล้วก็ได้รางวัลมา นี่หรือสิ่งที่เรียกว่าสังคมที่จะเป็นสังคมอุดมปัญญา(อ่อนนะซิ)

แต่ผมรู้สึกดีนะในบางแง่ บางช่องรายการทีวีของเรา ยังมีรายการดีๆ ให้ดูบาง ถึงแม้มันจะน้อยก็เถอะ มันก็ยังทำให้เราเพิ่มรอยหยักสมองได้มากกว่าที่ควรเป็น

ถึงแม้ผมจะได้ดูพวก UBC Excite หรือแม้แต่ Discovery ซึ่งมันได้ความรู้อย่างมาก แต่ผมกลับสงสารคนที่ไม่ได้ดู เค้ามีทางเลือกอะไรไหมในการได้ความรู้ต่างๆ มามันน่าแปลกที่เรายัดเยียดภาพมายา แต่ไม่เห็นมีใครยัดเยียดความรู้ให้มั่งเลย

ภาพมายาเหล่านั้น ทำให้เราอยากสบายอย่างนั้นบ้าง วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เอาแต่หาคนรัก เอาแต่แก้แค้น หรือแม้แต่ทำงานสบายๆ ซึ่งชีวิตจริงๆ มันมีหรือเปล่าหล่ะ

คนไทยเราเลยได้ภาพว่า เฮ้ย จบไปทำงานแล้วสบาย ไม่ต้องคิดเอง มีหนังหรือละครสักเรื่องไหมหล่ะครับ ที่เป็นแนวสาระ หรือบ่งบอกความเป็นคนให้ความรู้แนวต่างๆ ผมว่ามีอยู่ไม่ถึง 10% และส่วนมากจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะไปเหยียบหางพวกใหญ่ๆ โตๆ ก็มี

เวรกรรมจริงๆ ส่งที่อยู่ในย่อหน้าที่แล้ว ทำให้เราไม่หาอะไรเอง เพราะ “หวัง” ว่าจะมีคนเอาสิ่งเหล่านั้นมาให้ ทั้งๆ ที่ชีวิตจริงมันไม่มีหรอก จะบ้าเหรอ ถ้ามันมีและเจอกันทุกคน คงไม่มีคนจนหรอกครับ เราไม่ยอมรับความจริงในเรื่องนี้กันหรือย่างไร ทำไมถึงได้เป็นกันแบบนี้

“เราเป็นแต่ผู้รับแต่ไมได้เป็นผุ้ให้ หรือให้มากไป จนคนรับคิดว่าไม่ต้องหาเองก็ได้ มีคนให้อยู่แล้ว “

มันเลยทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ว่า เราไม่ต้องทำอะไรนอกจากนอนรอ ความรู้ที่มันวิ่งชนเรา มีคุณครูสอน มีอาจารย์สอน สิ่งที่เค้าไม่สอน คือสิ่งที่ไม่ออก หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทั้งๆ ที่บางครั้งมันมีประโยชน์มากในอนาคต

ตอนนี้ผมเริ่มทำใจกับเรื่องนี้แล้ว บางครั้งเพื่อนผมส่งเมลมา มักจะส่ง links กลับไปหาเองซะมาก อ่านเอง เพราะว่ามันจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีใครคิดอะไรเอง แล้วต่อไปประเทศไทยจะแย่ เพราะว่าไม่มีคนคิดเป็น มีแต่คนใช้งาน เราจะล่มสลายแน่ในตอนนั้น เพราะว่านวัตกรรมใหม่ไม่เกิด เงินตราต่างประเทศ จะไหลออกไปเรื่อยๆ จนหมด

แล้ววิกฤตเศรษฐกิจ จะกลับมาเยือนเราอีกครั้งแน่นอนในตอนนั้น เพราะเราใช้แต่ของนอก และเงินตราสำรองที่เป็นเงินดอลล่าหมดประเทศ ….

ผมหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นในช่วงชีวิตผมอีก ……