ตกขบวน ?

เรากำลังตกขบวนรถไฟไอที ?

เมื่อวานได้อ่าน Blogging from Beijing ของพี่ mk จริง ๆ แล้ว feed เข้ามาในเครื่องแต่ว่าไม่ได้อ่าน พอดีว่าพี่เดฟ เอามาให้อ่านเลยมานั่งจับใจความอีกรอบ และได้นั่งฟังแนวคิดและความรู้สึกของพี่เดฟในเรื่องนี้ สิ่งหนึ่งที่กระแทกใจอย่างแรงจากที่พี่เดฟ ได้พูดไว้ในตอน Seminars ในแลป ก็คือ "รถไฟขบวนสุดท้ายได้จากเราไปแล้ว" ในสภาพโลกไอที ประเทศไทยโดนโดดเดียวไปแล้วหลาย ๆ เรื่องโดยที่คนใช้งานทั่วไปไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมาย เพราะตัวเองไม่เคยสร้างอะไรขึ้นมาใช้เอง และหรือแม้แต่คิดที่จะสร้างซอฟต์แวร์หลาย ๆ ไม่มีแม้แต่รายการให้เลือกภาษาสำหรับคนไทย แต่กับประเทศเวียดนาม และหลาย ๆ ประเทศกลับมีให้เลือกอยู่แทบจะทุก ๆ ตัวที่ผมได้จับต้องมา ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งในสังคมไอทีในบ้านเรา และควรจะเร่งรีบแก้อย่างมากคือมาตรฐานตัวอักษรไทย ที่ควรจะมีตัวใดตัวหนึ่งเป็นหลักให้คนทั่วโลกที่ต้องการสร้างซอฟต์แวร์ให้กับคนไทยใช้นั้นได้เอาไว้อ้างอิงแบบตัวอักษรได้ใช้ รวมไปถึงเรื่องการตัดคำของภาษาไทยที่ควรจะใช้งานได้ดีและมีมาตรฐานหลัก ๆ สักตัวให้คนที่ต้องการทำ Text-to-Speech และเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้นใช้ได้มีมาตรฐานกลาง เพื่ออ้างอิงและนำไปใช้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างคิดแล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมเท่าไหร่ งานด้าน Open-Source นั้นน่าสนใจ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของคนไทยส่วนใหญ่ที่มักจะแบ่งบันความรู้กันไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะออกแนวขัดขากันเสียมากกว่า เลยทำให้การแบ่งบันความรู้มีน้อย เพียงแค่เรื่องภาษาของเราเอง ที่มันเป็นรากของงานระดับบนในสังคมไอที ที่ทุก ๆ คนต้องไปอ้างอิงถึงยังไม่มีอะไรแน่นอน แล้วชาวต่างชาติที่ไหนจะมาอ้างอิงกับประทศที่ไม่มีอะไรแน่นอนในเรื่องพื้นฐานมาก ๆ แบบนี้ ซึ่งมันก็หมายถึงการทำซอฟต์แวร์ให้สนับสนุนภาษาไทยอย่างเต็มขั้น

จากย่อหน้าแรกจะเห็นได้ว่าแค่เรื่องพื้น ๆ เรายังไม่มีรากเป็นของตนเองเลย และเรื่องต่อมาที่ทำให้พี่เดฟรู้สึกเซงมาก ๆ ก็คือเราตกขบวนไปแล้ว โดยในขณะที่คนระดับบนของรัฐฯ กำลังนั่งไล่ล่าหาข้อมูลด้านการทุจริตต่าง ๆ ของรัฐบาลชุดที่แล้ว และกระทรวง ICT ก็นั่งไล่ปิดเว็บโป๊, เว็บที่เป็นภัยต่อความมั่นคงต่าง ๆ และรวมไปถึง Camfrog อีกฝากหนึ่งของโลก และอีกหลาย ๆ พื้นที่ในโลกที่ไม่ไกลจากเรามากนัก อย่างเวียดนามกำลังสร้างบุคคลไอทีระดับหัวกระทิมากมาย, มีทรัพยากรบุคคลมากมายให้กระจายแนวคิดและความรู้ต่าง ๆ ลงไปให้กับคนระดับกำลังศึกษา ซึ่งคนในระดับกำลังศึกษานั้นมีความตื่นตัวสูงมากในการศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งมันอยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก เพราะเค้าถูกกดทับด้านความคิดและความรู้มานาน ทำให้เมื่ออะไร ๆ มันเปิด คนทุกคนก็หวังจะมีอะไรที่ดี ๆ มากขึ้นทุกคนเร่งรีบพัฒนาตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เหมือนภูเขาไฟที่สะสมพลังงานมาอย่างยาวนาน เมื่อทุกอย่างได้ที่ก็ระเบิดออกมาราวกับแผ่นที่จะพังทลายเสียให้ได้ ทำให้ทุกคนทั้งโลกรู้ว่าที่นี่กำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทุกคนมุ่งสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างไม่ลังเล ด้วยพลังที่ระเบิดออกมาอย่างมหาศาล และทุก ๆ คนที่อยู่รวบนอกภูเขาไฟนั้นกำลังต้องการพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนจึงมุ่งเข้าสู่แหล่งพลังงานนั้น ส่วนเราประเทศไทยในตอนนี้นั้นเหมือนภูเขาไฟที่ไม่ได้ถูกสะสมพลังงานมามากพอ และดูเหมือนกับว่าภูเขาไฟข้าง ๆ หลาย ๆ ลูกที่กำลังระเบิดออกมาพร้อม ๆ กันปล่อยเถ้าถ่านมากมายมหาศาลออกมาแล้วตกลงมากองลงที่ภูเขาไฟที่ชื่อว่าประเทศไทยเสียมิด จนกลบภูเขาไฟเราเสียสิ้น เมื่อคนแสวงหาแหล่งพลังงานมาสำรวจและค้นหา กลับเดินข้ามเราไปสู่ที่ที่มีพลังงานที่มากและสูงกว่า ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก

"โลกกำลังหมุนไป, โลกไม่คอยเรา แต่เราคนไทยกำลังคอยให้โลกเหวี่ยงเราไปตามแรงหมุนของโลกแทน โดยที่เราไม่เดินหรือวิ่งตามแรงของโลกที่หมุนไปเพื่อให้ทันกับกระแส ระวังให้ดี แรงของการเหวี่ยงของโลกจะทำให้เราหนีจากศูนย์กลางของโลก และเราจะหลุดและตกโลกไปในไม่ช้า"

อีกเรื่องคือ เรายังไม่ทันต่อการมาและไปของสิ่งต่าง ๆ เรามีแผนงานรองรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ทันทั้งในภาครัฐฯ, ภาคเอกชน และรวมไปถึงบุคคลทั่วไป ประเทศเรารับเทคโนโลยีได้ไวมาก โลกมีอะไร เราคนไทยรู้และพร้อมใช้งานได้ทันที แต่เราไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ภายในว่ามันทำงานอย่างไร และเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง เราเป็นผู้รับที่ดี แต่เราไม่เป็นผู้สร้างที่ดี ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างฉายฉวย ซื้อมาและขายไป มากกว่าการวิจัยและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อใช้เองภายในประเทศโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาต่างประเทศทั้งหมด ตอนนี้เราตกขบวนแต่สิ่งที่เราน่าจะเริ่มทำ และทำทันที นั้นคือไล่ตามรถไฟขบวนนั้นไป ถือแม้ว่าธุรกิจด้านไอทีจะเร่งความเร็วสูงขึ้นเป็นเท่าตัวทุก ๆ 18 เดือน แต่ปีนี้เป็นช่วงพลัดใบของไอที เป็นช่วงชะลอตัวที่สุดในรอบหลาย ๆ ปี การไล่ตามทันในช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดช่วงหนึ่ง ถึงแม้ประเทศอื่น ๆ จะรู้ทิศทางนี้เช่นกัน และกระโดดลงเล่นกับมันไปแล้วก่อนหน้านี้หลายปี นับตั้งแต่ Microsoft ปล่อย .NET 2.0 และตัวซอฟต์แวร์ช่วยพัฒนาอย่าง Visual Studo Express 2005 Version (รุ่นใช้งานได้ฟรี) ออกมา เพื่อเอามาทดสอบ และทำแผนการพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ ๆ  ในขั้นต่อไป แต่ก็มีน้อยคนและน้อยทีมที่จะปรับเปลี่ยน Project ที่ทำจากรุ่น 2002 และ 2003 มาเป็น 2005 ซึ่งที่ทำนั้นเพื่อรองรับแนวคิดใหม่ ๆ ที่ยังผลให้ซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นกับ OS รุ่นใหม่ ๆ ได้ทันทีที่ออก นั้นก็คงไม่ต่างกับค่าย Apple ที่มี OS ตัวใหม่ และได้ปล่อยชุดพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ ออกมาเพื่อรองรับการ OS รุ่นต่อไป ซึ่งก็คงไม่ต่างกัน และในตอนนี้ซอฟต์แวร์มากมาย ต่างรอคอยให้ระบบ OS ต่าง ๆ นั้นเปิดตัวเมื่อนั้นซอฟต์แวร์เก่า ๆ ทุกตัวก็สามารถทำงานได้ทันที ซึ่งในไทยนั้นมีน้อยมากที่มีแผนรองรับเรื่องนี้

ส่วนเรื่องต่อมาก็แนวคิดการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้น หลาย ๆ ตัวเป็นเรื่องที่เราเห็นจนชินชา และได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ แต่ในไทยยังคงพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งช่างน่าเศร้าไปอีกที่หนังสือและตำราเรียน รวมไปถึงผู้สอนบางท่านยังคงแนวความคิดเดิม ๆ เขียนหนังสือ และนำเสนอแนวทางพัฒนาซอฟต์แวร์ในรูปแบบเดิม ๆ ทำให้คนที่เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น ก็เอาแนวคิดนั้นไปใช้อย่างผิด ๆ และล้าสมัย รวมไปถึงการหลาย ๆ อย่างที่นำเสนอนั้นกลับแทบจะไม่สามารถใช้งานได้จริงแล้วในปัจจุบัน แต่กลับยังคงแนวการสอนแบบเดิม ๆ โดยไม่ได้ดูว่าโลกนั้นใช้อะไร และไปถึงไหนแล้ว เรายังสอน OOP โดยที่ไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้าง บางคนสอน OOP เพราะ OOP มันคือ class เท่านั้น (บ้าไปแล้ว -_-’) หรือการสอน OOP นั้นควรสอนอะไรที่ให้แนวคิดมากกว่าท่องจำ ควรเรียนและนำแนวคิดใหม่ ๆ นั้นเอาไปปรับใช้ จริง ๆ สอน OOP มันไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด เพราะ OOP มันเหมือน Concept ที่ไม่ควรยึดติดกับภาษาใดภาษาหนึ่ง จริง ๆ เรียนควบคู่กับ Design Pattern น่าจะช่วยให้มองเห็นภาพมากขึ้นว่า OOP เอาไปแก้ปัญหาอะไร ได้บ้าง ซึ่งมันน่าจะเป็นอะไรที่อิสระมากกว่านั้น เหมือนภาษา Imperative ต่าง ๆ นั้นรูปแบบการเขียนก็ไม่ต่างกัน หรือภาษา functional ก็มีแนวทางหลัก ๆ ในการเขียนไม่แตกต่างกัน นั้นหมายความว่าคุณเขียน OOP ด้วยภาษาใด ๆ ที่เป็น Imperative เช่น Java คุณก็สามารถเขียนได้ใน VB.NET หรือ C# ได้ เพราะมีแนวทางไม่ต่างกันโลกส่วนหลัก ๆ แค่เรียนรู้ syntax เท่านั้นเอง (ลองเขียน VB.NET และ C# ควบคู่กัน แล้วดูว่ามันไม่ต่างกันเท่าไหร่ในส่วนหลัก ๆ)

แนวการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ นั้นมีมากมาย แต่คนที่เรียนจบและทำงานแล้ว มักไม่สนใจ และนำไปใช้กับมากนัก ทำให้คนรุ่นหลัง ๆ เข้าทำงาน หรือเพิ่งเริ่มเรียนรู้จากคนที่ทำงานแล้วนั้นมักได้แนวความคิดเก่า ๆ ไปแทน ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ซึ่งผมโชคดีที่ได้เรียนรู้กับคนที่มองอะไรบนแนวคิดใหม่ ๆ หลายท่านมาก นับตั้งแต่ ม.ต้นแล้ว ที่ได้แนวคิดใหม่ ๆ ในเรื่องพวกนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เริ่มปรับตัวได้ช้าลงด้วยสภาวะแวดล้อมบางอย่างที่ทำให้เราดูเฉื่อยลงไป อย่างน่าใจหาย -_-’

จากที่ได้บ่น ๆ มา ทำให้เรารู้ว่าเราสอนอะไรต่าง ๆ นั้นบางครั้งก็เอาไปใช้งานจริงไม่เต็มที่ และรวมไปถึงเราสอนให้ผู้เรียนนั้นมองภาพไม่ออก ว่ามันมีความจำเป็นอย่างไร และมันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราจะเจอในอนาคต

ต่อมาคือคนรุ่น ๆ ใหม่ ๆ บางพวก มักเรียนแบบส่ง ๆ แบบขอไปที และมักไม่มีความพยายามที่จะอดทนมากพอ ไม่เคยสอน ไม่ใช่หมายความถึงไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้ บางคนถึงแม้มีคนชี้นำให้แล้ว แต่กลับไม่พยายามต่อโดยที่โบ้ยไปว่าแปลไม่ออก หรือแม้แต่ไม่รู้จะหาที่ไหน เป็นประเภทใช้ของที่มีอยู่แล้วไม่เป็น อย่าง Google หรือโปรแกรมแปลภาษาต่าง ๆ และเดี่ยวนี้ผู้เรียนเลือกผู้สอน แต่ผู้สอนไม่มีสิทธิที่จะเลือกผู้เรียน ทำให้คนเรียนมีอำนาจเหนือผู้สอน จนทำให้ระบบการเรียนนั้นไม่สามารถเคี่ยวคนให้ข่น เป็นจอมยุทธระดับสุดยอดได้ เป็นแค่พวกปลายแถว แต่เพียงแค่โดยคู้ต่อสู้จับกระบี่ยังไม่ทันเอาออกจากฝักก็หัวใจวายตายคาสนามรบไปเสียแล้ว ดั่งเหมือนกับเจอปัญหา แล้วไม่ลองค้น ลองหา (ดร. Google) ลองทำเอง ก็ล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่แรกไปเสียแล้ว

ช่างน่าเศร้าที่เรามีคนไม่อดทน และไม่ทันต่อโลก แบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ว่าง ๆ จะมาบ่นเรื่องนี้ต่อ เพราะมีเรื่องให้บ่นอีกเยอะ

การปรับตัว

หายไปกว่า 2 อาทิตย์ เพราะต้องเข้าฝึกงาน ซึ่งก็จากตอนที่แล้วคงรู้กันหมดแล้วว่าฝึกงานที่ไหน ;)

ต่างที่ ต่างถิ่น ต่างความคุ้นเคย ทำให้รู้สึกตัวเองดู เหงา ๆ แต่เพราะมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเก่ง เราก็ควรจะปรับตัวให้เข้ากับอะไร ๆ ให้มากขึ้น และก็เช่นกัน ก็ควรจะปรับตัวกับแนวคิด ใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีิวิตด้วย (แต่ที่แน่ ๆ หอพักที่อยู่ตอนนี้มันไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ เหมือนหอเก่าที่มหาวิทยาลัย ทำให้จ้ากกก ทุกครั้งที่อาบน้ำ T_T)

เมื่อมาถึง สิ่งแรกคือได้เข้าฟังการสอนของพี่เดฟ แค่ช่วงเวลา สั้น ๆ ก็ได้แนวคิดมากมาย ถึงแม้บางอย่างเรารู้แล้ว แต่บางอย่างก็ไม่รู้ แต่เมื่อเราเอามาเชื่อมโยงกับสิ่งที่รู้มาก่อน มันก็ทำให้เรามองอะไรชัดขึ้นอีกเยอะ ซึ่งตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ ก็ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ในหลาย ๆ อย่าง ซึ่งก็พวกการเริ่มหันมาสนใจภาษาพวก Functional Programming มากขึ้น ลองเล่น Haskell แล้วนำแนวคิด ต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกับ Imperative Language มาศึกษาดู ตอนนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วก็เริ่มมองภาพชัดเจนมากขึ้น ซึ่ง Functional Programming นั้น เรามักจะมีให้เห็นบ้างในภาษา SQL (SQL เป็นภาษาที่คุณลักษณะทั้ง object-oriented, functional และ procedural) และแนวคิดใน Functional Programming ก็เอาไปร่วมกับการทำ Lexical/Semantic Analysis ใน Compilers วิชานี้ก็เรียนมาและทำให้เข้าใจได้เลยว่าการทำ Compilers มันยากแสนยากยังไง แค่ทำให้มันบวกกันตามลำดับชั้นการคำนวณก็มึนแล้ว แถมตอนสอบให้มีการดัก if-else และนอกรอบก็ลองทำ loop ต่าง ๆ ดู สนุกสนานกันไป -_-‘

แต่ที่เด็ดโคตร ๆ คือการเอา Haskell มาอธิบายวิชา Data Structure ซึ่งเขียนได้สั้น, กระชับ และเข้าใจได้ง่าย ในเชิงคณิตศาสตร์ ซึ่งช็อคกันหลาย ๆ อย่างที่สุด…. มากเพราะบางอย่างที่เราเขียนในภาษา C โดยใช้เวลาเขียนยาว ๆ และใช้เวลานาน กลับใช้เวลาสั้นอย่างน่าใจหายใน Haskell ซึ่งเป็นภาษา Functional Programming ทำให้เราได้แนวคิดมาตอบโจทย์ หลาย ๆ อย่างได้เยอะดี ท่าทางต้องศึกษากันต่อไป

ต่อมาก็ตามด้วยศึกษาภาษา Ruby ซึ่งก็ไม่ยาก เพราะได้อิทธิพลมาจาก Python ซึ่งก็เคยทำ e-book มาก่อนหน้านี้แล้ว (หาใน blog นี้ไม่น่าจะยากนะครับ) ซึ่งจากที่ได้ลองเรียนรู้รูปแบบภาษาแบบคราว ๆ ก็ถือว่าเป็นภาษาที่เรียบง่าย อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเขียนนิยาย และตรงไปตรงมา และที่ชอบที่สุดคือมันเป็น Dynamic Typing ซึ่งทำให้อะไร ๆ มันพัฒนาได้ง่ายมาก ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าผมเขียนโปรแกรมมิ่งได้สนุกเพราะ PHP ที่เป็นภาษา Dynamic Typing ทำให้เราใส่ไอเดียต่าง ๆ ลงไปแทนที่เราต้องมาคิดว่า Type มันจะถูกต้องหรือเปล่า ถึงแม้ว่าผมเรียนรู้การเขียนโปรแกรมจากภาษา c ก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจว่าการที่เราทำง่าย ๆ นั้น ทำให้เราสนุกกับการเขียนโปรแกรมมากขึ้นเยอะ โดยจากไล่ ๆ ดูตัวภาษา Ruby แล้วก็ทำความเข้าใจอะไร ๆ ไม่ยาก แล้วก็พยายามศึกษา Rails Framework ในแบบเส้นขนานกันไป ทำให้การสร้าง Web Application ต่าง ๆ นั้น ๆ ง่ายขึ้นมาก ๆ งานที่เราต้องทำอะไร ๆ นาน กลับทำได้ง่าย ๆ ภายในเวลาไม่นาน ซึ่งมันถือเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก ๆ เลย ซึ่งคาดว่าจะเอามาใช้แทน PHP ในการพัฒนา Web Application ในอนาคตนี้แน่นอน (หา Web Hosting ให้ได้ก่อน ตอนนี้ -_-‘)

Project ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว !!! ฮ่าๆๆๆๆ

เกือบ  ๆ 6 วันที่ไม่ได้อัพ blog เพราะนั่งปั่น Project 2 งานภายใน 1 อาทิตย์ แทบไม่ได้นอนเท่าไหร่ ทำเว็บ E-Commerce ด้วย JSP ภายในเวลา 4 วัน ด้วยการเอาโค้ดจากหนังสือมาดัดแปลงใหม่ ให้มันดีขึ้น ซึ่งโค้ดในหนังสือนี่ต้องบอกตรง ๆ ว่าห่วยแตกมาก performance ต่ำสุด ๆ แต่ทำไงได้ต้องดันตัวระบบให้เสร็จสิ้น เลยต้องยอมขัดตา ขัดใจตัวเอง ทำให้มันจบ ๆ ไปก่อน ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำให้มันดี แต่เรามีคนที่พ่วงท้ายในกลุ่มอีกกว่า 10 ชีวิต เลย ต้องทำอะไรอย่างงั้นไป ซึ่งไม่อยากทำเลยจริง ๆ ให้ตายซิ แต่ที่ถือว่า ok หน่อย คือ E-Commerce ด้วย PHP และทำงานบน PHP Framework ที่ตัวเองเขียนซึ่งอันนี้ภูมิใจในระบบภายในมาก เพราะ performance ดีในระดับสูง โดยที่ถ้าเขียน model และ controller ดี ๆ จะใช้ query process แค่ 4-5 query เท่านั้น ก็ทำงานได้เท่ากับ 10 query ในแบบเดิม ๆ ซึ่งมันเป็นส่วนที่ได้จากการที่เราเขียนแบบ MVC ที่แบ่งการทำงานได้้ ทำให้มันลดเรื่อง query ลงไปได้นั้นเอง เพราะบางงานเราไม่จำเป็นต้อง query ข้อมูลทุก ๆ ครั้งที่ต้องแสดงผล เราอาจจะเอาข้อมูลที่ใช้บ่อย ๆ และเป็นระดับ public ทั่วไป มาใส่ใน cache แล้วลด query ได้เยอะ ซึ่งน่าจะเหมาะกับเว็บอย่าง E-Commerce ที่มีการแสดงผลข้อมูลบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งมักกิน query เยอะในส่วนนั้น น่าจะช่วยลดเรื่องนี้ได้มาก แต่ระบบที่ส่งไปนั้นระบบ GUI ถือว่า ok แต่ปัญหาคือความดึงดูดในการออกแบบเว็บที่ไม่ดีเท่าไหร่ คือ GUI ดี แต่หน้าตาไม่ได้เรื่อง งง แมะเนี่ย -_-‘

ตอนนี้เลยส่งไปหมดแล้ว สอบก็เสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ขนของที่หอพักที่ ม.นเรศวร กลับมาบ้านที่นครสวรรค์และ กำลังหาหอที่นครปฐมเพื่อไปฝึกงานต่อกับพี่เดฟ (rawitat’s blog) ที่สถาบันวิจัยฯที่ ม.ศิลปากร ต่อไป ตอนนี้คาดว่าน่าจะได้หอแล้ว รอเพื่อนยืนยันว่าหอนั้นมีห้องว่างให้เราซุกหัวนอนไปอีก 4 เดือนในการฝึกงาน ตอนนี้เลยต้องเคลียร์งาน TA กับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก่อน เพราะค้างงานตรวจการบ้านของนิสิตที่เป็น TA อยู่ วันนี้คงลุยงานให้เสร็จทั้งหมด แล้วส่งงานให้อาจารย์ท่านไป จะได้เตรียมของขนไปที่หอพักในวันเสาร์นี้ ……… หวังว่าหอที่เราจะซุกหัวนอน มันว่างทีเหอะ …….. จะได้ไม่ต้องหาใหม่อีก เพราะบางที่ราคาค่าเช่าต่อเดือนแพงเหลือเกิน T_T

แล้วตอนนี้ blog ก็ upgrade เป็น WordPress 2.1 แล้วระบบโดยรวมก็ ok นะ ไม่มีปัญหาภาษาไทยเหมือนหลาย ๆ คนที่เป็นกัน แปลกดี อ่ะ ;)

[update 1] ตอนนี้ blog ผมเอา JavaScript LightBox ออก เพราะมันใช้งานกับ IE7 ไม่ได้ แล้วปรับรูปที่ใช้กับ LightBox ด้วยให้มันขึ้นหน้าใหม่แทน

[update 2] วันนี้ ไปซื้อ DVD แฟนฉัน ตอนมันลดราคา 209 บาท พอดีว่าตอนเข้าโรงภาพยนต์ก็ไม่ได้ดู ตอนที่มันออก DVD ก็ไม่มีเวลาซื้อ ตอนนี้เลยมีโอกาสได้ซื้อเสียที แถมพ่วงด้วย CD เพลง The Eagles The Compete Greatest Hits และ JoJo The High Road Special Thailand Edition วันนี้หมดไปเกือบพัน T_T

อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น

วันนี้ไม่มีอะไรมาก นั่งพักผ่อนจากทำ Project ส่งอาจารย์มาวันเต็ม ๆ แต่ในหัวมีแต่ Project เต็มไปหมด ประมาณว่ากายพักแต่หัวสมองมันเพ้อ ตอนนี้กำลังจะอ้วกเป็นภาษา PHP, SQL, JavaScript, CSS, Java (Servlet/JSP) และ XHTML โอ้ยยยยย มึน Project มันตีกันทั้ง PHP และ Java (Servlet/JSP) ไม่รู้จะทันไหมเนี่ย คาดว่าเจ้า Java นี่ต้องเอา Code คนอื่นมาแปลง แล้วทำส่วน Addon ลงไปให้มันเป็น MVC เพราะงานนี้คงไม่ทำเอง ให้เพื่อนทำ ไม่รู้จะได้แค่ไหน -_-‘ ส่วนงานตัวเองนีน่ PHP เน้น ๆ ซึ่งใช้ Framework ที่บ่น ๆ มาหลายรอบว่ามันกำลังไปได้ดี ซึ่งที่เข้ามาก็แค่บ่นเท่านั้น แล้วตอนนี้อยากเรียนภาษาญี่ปุ่นนะตอนนี้ หนังสือปรัชญาหลายๆ เล่มดีๆ นี่ญี่ปุ่นทั้งนั้น ตามด้วยเพลงญี่ปุ่นที่ตัวเองชอบนั้นก็น่าสนใจในการฟังให้ได้ใจความ มากกว่าฟังแต่แต่อารมณ์เพลงและทำนอง อืมมม น่าคิดเดี่ยวให้แฟนสอนดีกว่า ฮ่า …..

นั่งดู Concert UTADA UNITED 2006 ของ Utada Hikaru ต่อดีกว่า คนอะไรน่ารักเป็นบ้า

มีดที่แม่ทำครัวก็ไม่ต่างกับมีดที่มาตรกรฆ่าคน

จั่วหัวแบบนี้ อาจะแปลก ๆ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิด แต่ที่ผิดมากกว่าคือมาตรการการจำกัดสิทธิ ที่เหมือนกับการห้ามขายมีด เพราะมีมาตรกรบางคนไปฆ่าคน แล้วเหมือนกับโยนความผิดไปให้มีด ทั้ง ๆ ที่มีดมันก็แค่อุปกรณ์ แต่สิ่งที่ทำให้มันเป็นขาวหรือดำ คือ "มนุษย์" จริง ๆ ใน blog ผมก็พูดหลาย ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับ "มนุษย์" ที่ทำให้มันไม่ดีเองอย่าง เกมส์ฆ่าคุณได้ ? เป็นต้น ซึ่ง ผมว่ามันก็ไม่ต่างกัน การป้องกันที่ดีมันต้องไปแก้ที่คน จะบอกว่ามันยากที่จะเยียวยา ผมมองว่าถ้าเราไม่เริ่มแก้ แล้วปลายทางมันควรจะอยู่ตรงไหน เหมือนกับเรื่องคลิปวีดีโอฉาว ต่าง ๆ ก็ไม่ต่างกัน จะให้เลิกขายโทรศัพท์ที่ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอไปเลยไหม หรือว่าเลือกขายกล้องถ่ายวีดิโอไปเลย -_-‘ ตรรกะมันก็ไม่ต่างกัน แต่เหมือนกับเลือกปฎิบัติอ่ะ แถมการประโคมข่าวก็ยังช่วยโปรโมตรอีกต่างหาก คราวนี้คนไม่รู้ได้รู้กันทั่วหน้า เฮ้อ ….. เซง ตรรกะแบบสองมาตรฐานจริง ๆ

แล้วในกรณีที่โด่งดังอย่าง Camfrog นี่ การไล่จับเจ้าของ Server นี่มันก็ไม่ใช่ที่ เพราะใครจะมานั่งดูว่ามีใครโชว์ ถึงแม้ว่าไอ้เจ้าของห้อง หรือเจ้าของ Server มันจะเชียร์ให้ถอด กันทุก ๆ 5 นาที หรือ 10 วิ ก็ตาม แต่ถ้าคนมันไม่ถอดอ่ะ มันก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องสมยอมทั้งผู้ดูและผู้โชว์ ถึงแม้มันจะเข้าจ่ายอนาจารในที่ชุมชน -_-‘ (หรือเปล่า) ซึ่งชุมชนในที่นี้คือชุมชนในอินเตอร์เน็ต ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับที่แน่นอน แต่อาจจะโดยเรื่องแพร่กระจายสื่อลามก ก็ว่ากันไป แต่ปัญหาก็คือควรจะไปเอาผิดคนโชว์ ไม่ใช่เจ้าของ เหมือนกับกรณีรูปหลุดที่อื้อฉาวของดาราบางคน ที่ดันไปโพสในเว็บ Pantip.com ซึ่งความซวยก็มาเยือนเจ้าของเว็บอย่างไม่ได้ตั้งใจโดยสมาชิกเอามาโพส ซึ่งอยู่ดี ๆ เจ้าของเว็บก็ต้องมาเสียเงินจ้างทนายให้เสียเงินซะงั้น โดยในกรณีต่าง ๆ นี้ส่วนใหญ่เจ้าของก็มักจะพยายามจบและห้ามปรามอยู่ก่อนแล้วด้วยซ้ำ แล้วกรณีแบบนี้ควรมีกฎหมายรองรับ และน่าจะดูความผิดที่ตัวบุคคลที่จำเพาะผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ให้บริการ ซึ่งผมมองว่าต่อไปถ้ามีคนฟ้อง ISP ฐานที่ร่วมเผยแพร่เว็บลามก หล่ะจะทำไง ก็ในเมื่อมันเข้าได้จาก ISP นั้น ๆ นิ จริงแมะ …..

อย่างที่บอกนั้นแหละ ผมว่าแก้ปัญหา และการเอาผิดควรทำให้มันเข้าถึงคนผิดจริง ๆ ไม่ใช่หาแพะมารับผิดหรือโดยกล่าวหา แบบว่า หน้าคนโดนกล่าวหายัง งงๆ ว่า "ผิดด้วยเหรอ" -_-‘ เฮ้อ …