ทำไมถึงไม่ใช้ BlogGang !!!

เพราะไม่มี RSS Feed

ง่าย ๆ สั้น ๆ จบ …….

แบบว่าไม่ได้อารมณ์ของความเป็น blog เล้ยยยย ให้ตายดิ ถึงแม้จะมี Account อยู่ก็ตามที แต่ไม่ได้เขียน ไม่ได้ใช้ เพราะมันไม่สะดวกทั้งตัวเอง และคนอ่าน ยิ่งผมมีรายการ blog ในโปรแกรมอ่าน Feed ประมาณ 200 – 300 ได้เนี่ย BlogGang ไม่ตอบโจทย์ผมที่ต้องการข้อมูลดูดเข้าเครื่องผมในทันทีที่ต่ออินเตอร์เน็ต ใครจะมานั่งเปิดหน้า BlogGang ทุก ๆ Account เพื่ออ่าน ลำบากตายเลย (หรือว่าเราติด Feed ไปแล้วก็ไม่รู้) แถมเว็บไหนไม่มี Feed นี่แทบไม่ค่อยได้อ่านเลย

แบต 4 Cell ตัวใหม่ของ HoffmanV2 (Lenovo ThinkPad Z61t)

จากแบตตัวที่มากับเครื่องเป็น 7 Cell ซึ่งหนักและยื่นออกมาแล้วไม่ค่อยสวยแบบนี้ (หรือบางคนบอกว่าสวยไปอีกแบบ)

P1040313a   

วันนี้ผมก็ได้แบบเรียบ ๆ สวยงามแบบนี้ครับ

P1040708a

ที่ผมอยากให้มันเรียบเพราะว่ามันถือได้สะดวกกว่า และถ้าแบบที่ยื่นออกมานี่ถือตรงแบตไม่ได้ครับ เพราะมันยึดด้วยร่องและตัวล็อคนิดเดียวเองกลัวหักแล้วเครื่องตกมาก ๆ เลยต้องถือตรงขอบด้านที่พับลงมาตรง Touchpad เอาแทน

วันนี้เลยได้ตัวใหม่มาเป็น 4 Cell ที่เล็กกว่าและเนียนเรียบเป็นเนื้อเดียวกับเครื่องครับ

ตอนนี้ผมเลยมีแบตทั้ง 2 ตัวคือ

  • 92P1123, 70Y6791, FRU 92P1121, and ASM 40Y6791 for ThinkPad Z60t Series 4 Cell Li-Ion Battery
  • 92P1126, 40Y6793, ASM 92P1122, and FRU 92P1125 for ThinkPad Z60t Series 7 Cell Li-Ion Battery

ตัวหนาคือตัว code ที่ผมใช้อยู่ตอนนี้ครับ ส่วนตัวอื่น ๆ ก็เป็น code ที่เป็น option part หรือ spare part ตามแต่ละประเทศหรือแหล่งผลิตครับ แต่ละรหัสจะมีแหล่งผลิตแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ Thinkpad จะใช้ Battery Cell จาก Sanyo และ Panasonic ครับ ส่วน Sony นี่ยังไม่เคยเจอ แต่เพื่อนผมบอกว่ามี -_-‘ ทั้งสองตัวก็ใช้คนละโอกาสกันไป แต่ที่แน่ ๆ หนักน้อยลงเหมือน 2.1kg จาก 2.35 kg ครับ ;)

P1040703a

P1040704a

เริ่มใช้ OpenOffice น้อยลงเรื่อย ๆ

ไม่รู้ว่าเป็นอะไรช่วงนี้ใช้ OpenOffice น้อยลงมาก ๆ ตั้งแต่มี version 2.2 เป็นต้นมา อย่างแรกคงเป็นเรื่องของภาษาไทยที่นับวันมันจะมีปัญหามากขึ้น version 2.2 ระบบ spellcheck ตรวจสอบคำผิดไม่ถูกต้องเท่าไหร่ คำใดก็ตามที่มีสระและวรรณยุกต์อยู่ มันก็จะแจ้งว่าผิด ทั้ง ๆ ที่มันไม่ผิด อันนี้ยังพอรับได้ รำคาญนิด ๆ ก็แค่ไป disable มัน แต่พอมา version 2.3 นี่หนักกว่าเก่าอีก แดงเถือกทั้งหน้า แถมใช้สักพักแฮงคาตาวันเดียว 30 กว่ารอบ (restart ก็แล้ว และลงใหม่ก็แล้ว) อันนี้รับไม่ได้อย่างรุนแรง ตอนแรกนึกว่า config ของเรามีปัญหาเลยล้าง profile config ใหม่ ก็ไม่หาย สรุปลบออกในทันที กลับไปใช้ 2.2 แทน

แต่ 2.2 มันก็มีปัญหาต่อมา ว่าแฮงง่ายมาก ๆ แต่ก็ยังน้อยกว่า 2.3 เยอะพอสมควรและแถมมันแฮงง่ายกว่า Word 2007 อีก -_-‘ ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน เสียการเสียงานเพราะ OpenOffice มา 6 ครั้งแล้ว เพราะนั่งกู้ไฟที่ทำไม่ได้เนี่ย ตอนนี้เลยจำยอมใช้ Word 2007 ไปก่อน

ผมรู้สึกว่า version 2.1 นี่ดีสุดสำหรับผมแล้วหล่ะมั้ง ทำงานไม่เคยมีปัญหาเลย version หลัง ๆ นี่กระจุยกระจาย (ทุกครั้งที่ install ลงใหม่ผมลบ profile config ออกเสมอ)

2007-09-18_153419

ลืมบอกไปว่าเครื่องผม C2D 1.66 และ RAM 2GB (Windows XP Pro OEM Thinkpad) ครับ ;)

FW Web : ภาพเหตุการณ์ขณะยื่นหนังสือ เรียกร้องภาษาไทยในงานเปิดตัวไอพอด

รอบนี้ไม่มีอะไรมาก ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ

ภาพเหตุการณ์ขณะยื่นหนังสือเรียกร้องภาษาไทยในงานเปิดตัวไอพอด

แล้วตามไปอ่านต่อ ซึ่งเป็นข้อความของผมได้ที่

ภาษาไทยใน iPod

และตามไปลงทะเบียนเรียกร้องได้ที่ tosupportthaiinipod.com ครับ

แอบเซง …. T_T สำหรับงานแถลงข่าวครั้งนี้มาก ๆ

Prioritizing Web Usability

เมื่อวันก่อนลงจาก BTS อ่อนนุชเลยเดินซื้อ DVD Spiderman 3 ที่เพิ่งออกมาตอนแรกกะรอที่มันเป็น 2 disc แต่คิดไปคิดมา เอาแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว แล้วก็แวะร้านการ์ตูนก่อนถึงหอไปซื้อหนังสือการ์ตูน "สายลับจับบ้านเล็ก" มาสักหน่อยนึง พลาดตอน Seasons Change ไปแล้วรอบนี้ไม่อยากพลาดอีกเลยเอามาอีกเล่ม
ส่วนวันนี้ไปเดินซื้อนาฬิกาดิจิตอลสำหรับปลุกตอนเช้าไปทำงาน แล้วหลังจากนั้นก็เลยไปลองเดิน ๆ ดูหนังสือใน fortune ได้มาเล่มนึงก็คือ "Prioritizing Web Usability" จริง ๆ เปิดเล่ม ๆ อื่น ๆ ลองอ่านดูหลายเล่ม แต่เล่มนี้โดนในที่สุดแล้ว

Prioritizing Web Usability" [Homepage]
Book by Jakob Nielsen and Hoa Loranger
New Riders Press, Berkeley CA
ISBN-10: 0-321-35031-6
ISBN-13: 978-0-321-35031-2
406 pages, heavily illustrated, in full color

DSC00169

จากที่ได้ลองอ่าน ๆ นี่ผมรู้สึกว่าโดนจริง ๆ เพราะว่าไล่ตั้งแต่นิยาม ไปจนถึงการออกแบบ และมีข้อสังเกตต่าง ๆ มากมาย จริง ๆ ผู้แต่งที่ชื่อ Jakob Nielsen เห็นได้การกล่าวขานว่าเป็น "the guru of web usability" เลยทีเดียว เลยจัดมาซะเลย ลด 20% ก็เหลือ 1,509 บาท เดี่ยวช่วงสัปดาหืนี้คงอ่านสักหน่อย

คือตอนนี้จะเห็นว่าผมหันมาศึกษาด้าน Software Architecture, Marketing และ Usability เยอะพอสมควร อ่านหนังสือพวก Business Week (ประเทศไทย) และหนังสือพิมพ์อย่างบิสซิเนสไทย พยายามเปิดโลกให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน พยายามมองอะไรที่มันไม่เป็น Technical มาก ๆ หลัง ๆ เริ่มเห็นว่าโปรแกรมที่ตัวเองทำขึ้นในอดีต พอกลับมานั่งใช้เอง เริ่มรู้สึกว่า "ทำไปได้ไงฟร่ะ ใช้ก็ยาก ใครมันจะใช้เนี่ย" -_-‘ ขนาดตัวเราเองยังคิดแบบนี้ ให้คนอื่นใช้คนโยนของเราทิ้งตั้งแต่เปิดหน้าแรกมาเลยแหละ ตอนนี้เลยทุ่มทุนกันพอสมควร

แต่สิ่งหนึ่งที่คนในแวดวง Com Sci บ้านเราขาดมาก ๆ คือแนวคิดด้าน usability, architecture และ tuning/opimizing/performace เนี่ยแหละ แถมหนังสือภาษาไทยส่วนใหญ่สักแต่เอาออกมา และมักไม่ได้พูดถึงเรื่องพวกนี้เลย เมื่อหลายวันก่อนเจอ พี่เดฟ ที่ fortune เนี่ยแหละ ก็ได้คำถามมาว่าหนังสือฝั่งภาษาไทยกับต่างประเทศมีอะไรแต่งต่างกัน สิ่งที่ผมตอบได้เลยคือความแน่นของเนื้อหาเชิงลึกและเนื้อหาพื้นฐานสุด ๆ พวกนิยามต่าง ๆ สิ่งที่มีมากถึงมากที่สุดคือแนวนำไปใช้ ใช้เป็นอย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่าที่ใช้ไปมันหมายความว่ายังไง หรือเนื้อหาเชิงลึกที่ต้องใช้ทักษะด้านพื้นฐานสูง ๆ เพื่อทำให้ระบบสามารถรองรับการทำงานได้สูงสุด และหนังสือส่วนใหญ่จะเป็นพวก dummy หรือพวกเรียนเร็ว เรียนลัด กระโดดข้ามขั้นตอน กันทั้งนั้น ทำให้ส่วนใหญ่มักจะรู้ไม่ลึก และมักมองในด้านที่หนังสือสอนเยอะเกินกว่าจะแหวกแนวการทำงานออกมา สังเกตง่าย ๆ จาก source code ของ program ที่อยู่ในหนังสือนั้น มี performance ต่ำมาก ๆ คือทำงานได้ตามจุดประสงค์ แต่ไม่ได้บอกต่อไปว่าควรปรับแก้ตรงไหน และทำไม

มีอย่างที่ไหน select * from table แล้วเอามานับในตัวโปรแกรม แล้วก็จบ -_-‘ โห ถ้าข้อมูลมันมีสัก 16 ล้าน records โปรแกรมคงกินทรัพยากรหมด server หล่ะมั้งน่ะ ทำไมไม่ใช่ select count(pkey_id) from table ซะก็หมดเรื่องได้มาตัวเลขตัวเดียว จบข่าวกันไป ผมเจอ code แบบนี้บ่อยมาก ๆ มีเกือบทุกเล่มของหนังสือที่มีการสอนติดต่อกับฐานข้อมูลเสียด้วยดิ

และซ้ำร้าย คนอ่านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดตามต่อไปว่า ทำไมมันต้องทำแบบนี้ ทำอีกแบบได้ไหม แบบนั้นน่าจะดีกว่านะ เร็วกว่า อะไรแบบนี้ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่เอามาปรับแต่งให้ระบบนั้นดีขึ้น

อันนี้คือส่วนน้อยของตัวอย่างของการขาดประสบการณ์การเขียนซอฟต์แวร์ที่สามารถนำไปใช้งานจริง ๆ ได้ หนังสือที่เขียนขึ้นมาโดยขาดประสบการณ์การทำงานจริง ๆ ก็อ่านได้แค่พื้น ๆ หรือบางเล่มดันไปแปลของชาวบ้านเค้ามาอีก -_-‘

จาก Rawitat’s Blog

อ.มะนาว พาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จักอีกคน ซึ่งพอเราเห็นกำลังนั่งอ่านหนังสือ Agile Web Dev with Rails ที่เราเคยเขียนด่าถึงด้วย ก็เลยให้ดูความแข็งแกร่งของหนังสือเล่มนั้นหน่อย ว่ามันเกรียนเทพแค่ไหน … คนที่เคยอ่านลองไปหาหน้าที่บอกวิธีการติดตั้ง Ruby บน Mac ดูนะครับ จะเห็นคนเขียนเกรียนถึงโปรแกรม DAVE (ซึ่งจริงๆ มันก็มีจริงๆ อ่ะนะ แต่ว่าไม่เกี่ยวกับผมนะ) …. แถจริงๆ เพราะว่าคนเขียนหนังสือต้นฉบับเค้าชื่อ Dave Thomas อ่ะนะ มันก็เลยมี prompt ชื่อ dave มาด้วย แบบว่า

dave> some_command_here ...

นะ เกรียนสุดๆ จริงๆ

ลองคิดดู ใครได้อ่าน แล้วจำไปผิด ๆ นี่มันจะเสียหายแค่ไหน หนังสือที่เป็นเหมือนหน้าต่างของความรู้กลับนำเสนอสิ่งที่ผิดพลาด มาก ๆ ยิ่งหนังสือที่แปล (ทั้งเค้ายอมให้แปลและเค้าไม่รู้ว่าเราแปล) คนจะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดมาก ๆ แถมถ้าคนแปลไม่เคยแม้แต่เขียนหรือรู้เรื่องราวนั้น ๆ มาเลยนี่ควรให้ห่างจากเรื่องที่เค้าจะแปลอย่างยิ่ง เพราะนั้นหมายถึงการตีความที่ยังผลถึงอนาคตที่สืบต่อความหมายนั้น ๆ สู่คนรุ่นหลัง ๆ อย่างมาก

กลับมาเรื่อง web usability อีกนิดนึง

จริง ๆ การออกแบบเว็บในปัจจุบันนั้น มุ่งเน้นการเข้าถึง function การทำงานให้เข้าถึงง่ายเข้าไว้ ซึ่งไม่ได้ดูที่จำนวนเพียงอย่าง ซึ่งถึงแม้ function 108|1009 แบบ Microsoft Word <= 2003 แต่ถ้ามันเข้าถึงลำบาก ก็เหมือนกับว่าไม่มีนั้นแหละ เพราะผู้ใช้ไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือหามันไม่เจอนั้นเอง ผมจึงมองว่าเว็บถือเป็นตัวอย่างในการสอน usability ได้ดีมาก ๆ ในการบอกกับคนที่เรียนได้เลยว่า ควรเป็นแบบไหนกันแน่ ….

ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือ ความเป็นระเบียบบนโต๊ะทำงานของคนหลาย ๆ คนอย่างทำให้การทำงานนั้นง่ายขึ้นเพราะหาของง่าย แต่สำหรับบางคนนั้นโต๊ะที่โคตรจะรก อาจจะหาของได้เร็วพอ ๆ กัน เพราะของบางอย่างที่ถูกใช้บ่อย ๆ มักจะอยู่กองบน ๆ เสียมากกว่ากองล่าง ๆ อีกอย่างความเคยชินของคนนั้นถือเป็นเรื่อง common sense มาก ๆ สอนกันไม่ได้เลย นั้นหมายความว่าเราจะหาจุดตัดระหว่างคำว่ารก กับคำว่าเรียบเบียบได้ยังไงนี่ดิยาก

เหมือนกับเวลาเราอยู่กับสาวนั้นแหละ ชอบมาเก็บของเราให้เข้าที่เข้าทาง พอเราจะใช้ของเหล่านั้นทีนึง ก็หาไปเหอะ เพราะคนใช้กับคนเก็บมันคนละคนกัน -_-‘

นั้นหมายความว่า user รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เค้าใช้งานได้คล่องที่สุด เพราะฉะนั้น

Developer is not User.

สวัสดี ;)