ผู้ชายสายวิทย์ (理系男)

เป็น entry ที่โดนใจผมมาก เพราะตรงกับชีวิตผมเกือบทั้งหมด –_-‘ เจอใน Blognone แล้วตามไปที่ ผู้ชายสายวิทย์ ก็เลยเอามาลงเผยแพร่สักหน่อย ;)

  • เวลาเขียนโปรแกรมไม่เสร็จก็ไม่สนใจอะไรเลย แม้แต่อาหาร เพื่อน แฟน และอื่น ๆ
  • เวลา เขียนโปรแกรมเสร็จก็อยากจะบอกใครสักคน แต่โดนทิ้งไปหมดแล้วเพราะก่อนหน้านี้ไม่สนใจเอง T_T ต้องเดินไประรานคนอื่นที่ยังทำงานไม่เสร็จ
  • ก่อนจะออกไปเดทต้องเช็คโปรแกรมทุกอย่างก่อนเสมอ ถ้าไม่ได้เช็ค จะไม่ไป  !!
  • ชอบอะไรที่นุ่มนิ่มน่ารัก โดยเฉพาะตุ๊กตาสัตว์.. (คอนเฟิร์ม)
  • มีอาหารสำเร็จรูปวางเกลื่อนตัว
  • อินเตอร์เน็ทเป็นเส้นชีวิต ถ้าไม่มีก็คือตาย
  • เวลาอยู่แล็บชอบคิดว่าตัวเองได้ทำงาน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วทำไม่ถึงครึ่งของเวลาที่อยู่ซะหน่อย ฮ่า ๆ
  • วางแผนให้ชีวิตตลอดเวลา และมีหน่วยเวลาเป็น.. วัน หรือ ที่แย่กว่านั้นคือ ชม.
  • ชอบคิดว่าทุกอย่างมีทฤษฏีอธิบายได้
  • อยู่คนเดียวจนชิน
  • ดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ดื่มไม่เป็น.. (อืม อันนี้คงตรงเฉพาะกับคุณผู้ชาย)
  • หัวข้อในวงสนทนาจะไม่พ้น "โปรแกรมที่ออกใหม่มาช่วงนี้" "การทดลองแบบนี้" "เกมใหม่"
  • กลางวันหลับ กลางคืนตื่น
  • ชอบนอนเล่นคอมบนเตียงสุด ๆ (อันนี้สายไหนก็น่าจะเหมือนกันปะคะ อิอิ)

จาก ผู้ชายสายวิทย์

จริง ๆ ผมว่าเป็น “ผู้ชายสาย Geek” มากกว่าไหม ?

The Last Day at TARADdotcom

DSC_0608_1a

DSC_0609_1

ณ. SM Tower ชั้น 25 TARADdotcom

ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง พยายามให้นิ่งที่สุดตอนวางกล้องทาบกับขอบกำแพงกั้น และหนึ่งใน 10 ช็อตที่ถ่าย ได้ภาพนี้มาครับ
http://fordantitrust.multiply.com/photos/album/80/

ทำอย่างไรให้ผู้หญิงมีความสุข

เอามาจาก FWD Mail อ่านข่ำๆ แต่อาจจะข่ำไม่ออกก็ได้นะ –_-‘

มันไม่ยากหรอกที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุขเพียงแต่ผู้ชายต้องเป็น……….
1. เป็นเพื่อน
2. เป็นคนรัก
3. เป็นพี่ เป็นน้อง
4. เป็นพ่อ
5. เป็นอาจารย์
6. เป็นพ่อครัว
7. เป็นช่างไฟ
8. เป็นช่างไม้
9. เป็นช่างประปา
10. เป็นช่างซ่อมรถ
11. เป็นสถาปนิก
12. เป็นดีไซเนอร์
13. เป็นคนเก่งในเรื่อง sex
14. เป็นคนรอบรู้เรื่องผู้หญิง
15. เป็นนักจิตวิทยา
16. เป็นผู้ฟังที่ดี
17. เป็นผู้จัดการที่ดี
18. เป็นพ่อที่ดี
19. เป็นคนสะอาดเรียบร้อย
20. เป็นคนเข้าใจความรู้สึกคน
21. เป็นนักกีฬา
22. เป็นคนอบอุ่น
23. เป็นคนดูแลเอาใจใส่
24. เป็นห่วงเป็นใย
25. เป้นคนกล้าหาญ
26. เป็นคนฉลาด
27. เป็นคนสนุกสนาน
28. เป็นคนสร้างสรรค์
29. เป็นคนอ่อนโยน
30. เป็นคนเข้มแข็ง แข็งแรง
31. เป็นคนเข้าใจโลก
32. เป็นคนที่มีความอดทน
33. เป็นคนรอบคอบ
34. เป็นคนทะเยอทะยาน
35. เป็นคนมีความสามารถ
36. เป็นคนเก่ง
37. เป็นคนมุ่งมั่น
38. เป็นคนจริง
39. เป็นคนที่เชื่อถือได้
40. เป็นคนกระตือรือร้น
41. เป็นคนเห็นใจคน

และต้องห้ามลืม

42. ให้ของขวัญอย่างสม่ำเสมอ
43. พาไป shopping
44. ซื่อสัตย์
45. พยายามรวย
46. ห้ามอยู่นอกสายตา
47. ห้ามมองผู้หญิงอื่น

และในเวลาเดียวกัน คุณต้อง
48. ให้ความดูแลอย่างเต็มที่
49. ให้เวลาอย่างเต็มที่
50. ต้องไว้ใจและมีช่องว่างอย่ากังวลว่าจะไปไหน
และนีคือสิ่งสำคัญที่สุด
ห้ามลืมวันเกิด
ห้ามลืมวันครบรอบต่างๆ
ห้ามลืมนัด

ถ้าต้องให้ได้ทั้งหมดนี่ ผมขออยู่เป็นโสดดีกว่าไหม –_-‘

10 ทักษะที่ Developer ควรรู้

ได้อ่านจาก 10 skills developers need in next five years แล้วน่าสนใจเลยเอามาสรุปและเผยแพร่อีกรอบ

  1. One of the "Big Three" (.NET[VB.NET/C#], Java, PHP)  – รู้สักตัวไม่อดตาย ;P
  2. Rich Internet Applications (RIAs)  – AJAX, Adobe Flex/AIR, JavaFx และ Silverlight ซึ่งถ้าผนวกกับ HTML 5 ทำให้ RIA App ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. Web development – การ "hand code" ในส่วนของ JavaScript, CSS, และ HTML นั้นจะบูมอีกครั้ง เพราะ WYSIWYG ไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด โดยเฉพาะ JavaScript และ CSS ที่ RIA แบบ AJAX ต้องมีการ optimize ซึ่ง Tools ช่วยอะไรมากไม่ได้นอกจาก Automate coding หรือ Profiler เท่านั้น
  4. Web services – REST หรือ SOAP? JSON หรือ XML? เลือกเอา แต่สำหรับผม REST + JSON/XML ครับ ;)
  5. Soft skills – สื่อสารกับคนนอกวงการไอทีรู้เรื่อง หรือคุยภาษาคนทั่วไปรู้เรื่องนั้นแหละ ;P หรือบางที่อาจจะบอกว่า “ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ดี มีความสามารถในการนำเสนอได้ดี ดูแลและทำงานกับเพื่อนร่วมงานได้ดี  มีน้ำใจ มีคุณธรรม จริยธรรม” ประมาณนี้
  6. One dynamic and/or functional programming language – ถึงแม้ว่า Ruby, Python, F#, และ Groovy จะไม่ใช่ภาษาหลักแบบข้อที่ 1 แต่มันก็ช่วยให้เราได้แนวคิดใหม่ๆ ที่ภาษา Big Three ไม่มีและช่วยให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆ
  7. Agile methodologies – สามารถรองรับการพัฒนาระบบให้อยู่บนการเปลี่ยนแปลงแบบมีแบบแผนได้ทันทวงที
  8. Domain knowledge – ต้องเริ่มมีทักษะในการพัฒนาระบบบนความพื้นฐานความรู้ที่แท้จริง ต่อไป Programmer อาจะต้องเข้าใจสิ่งที่ตัวเองกำลังพัฒนาเท่าๆ กับผู้ที่วางจ้างเราเข้าไปพัฒนาระบบให้ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ทำตามสั่งแล้วจบ
  9. Development "hygiene" – หมดยุคของ Cowboys Coding ([1]/[2]) แล้ว ได้เวลาศึกษา bug tracking systems, version control และเริ่มใช้ IDE และควรทำให้มี standards, processes, policies และ team integrated stacks เข้ามาให้การทำงานเป็นทีมนั้นราบรื่นขึ้น
  10. Mobile development – RIA App ทำให้ตลาด Mobile ดูน่าสนใจขึ้นเป็นกอง อย่างน้อย ๆ ก็ iPhone OS, WebOS, BlackBerry และ Windows Mobile 7 ก็รองรับ RIA แน่ๆ อยู่แล้ว แล้วจะรออะไรลุยเลย

รู้ก่อนมีสิทธิ์ก่อน อย่ารอ มันเสียเวลา ;)

ขอสอนจับปลาใน Wikipedia

ขอสอนจับปลาแป๊บนะครับ…

การค้นหาข้อมูลด้วยตัวเองคราวนี้ ผมทำภายใต้สมมติฐานที่ว่า "ไม่แน่ว่ามันจะมีข้อมูลให้หรือเปล่าด้วย" นะ ลองดูนะครับ
1. ไปที่ Wikipedia ถ้าอ่านภาษาอังกฤษได้ หรือ วิกิพีเดีย ถ้าอ่านภาษาไทยง่ายกว่า
2. พิมพ์ลงไปในช่อง Search ว่า CMS
3. ถ้าเป็น Wikipedia นี่จะเจอเลย มันจะแสดงเนื้อหาในหัวข้อ Content Management System แทบจะทันที ส่วนเวอร์ชันภาษาไทยจะถามก่อนว่า มันมีหลายความหมายอยู่นะ… แต่ว่าหนึ่งในนั้นน่ะก็คือ ระบบจัดการเนื้อหา ใช่หรือเปล่า
4. อ่านเลยครับ แต่แนะนำเวอร์ชันภาษาอังกฤษมากกว่า เวอร์ชันภาษาไทยอ่านแล้วต้องแปลไทยเป็นไทยอีก งงพอสมควร

เท่านี้ล่ะครับ หัดใช้บ่อยๆ นะครับ จะได้หาความรู้ได้โดยไม่ต้องรอใครมาช่วย วิธีการเดียวกันนี้ใช้กับกูเกิลได้ด้วย ขอให้โชคดีครับ

จาก latesleeper comment #108041 ใน blognone.com

เจอบ่อยกับคำถามที่มักจะสามารถค้นหาได้ง่ายๆ ใน Wikipedia (และวิธีนี้ก็ใช้ได้กับ Google ด้วย) บางครั้งก็หงุดหงิดที่ต้องมานั่งหาให้ และบางครั้งก็ไม่หาให้ ปล่อยให้ถามไปอย่างงั้นแหละ

เรื่องบางเรื่องหาเอง เร็วกว่าถาม ถามแล้วบางครั้งต้องมานั่งรอคำตอบ เพื่ออะไร ?

ถ้าหาแล้วพยายามแล้วมันเจอแต่อะไรที่ไม่เข้าใจ เออ ค่อยน่าสนใจที่จะช่วยหน่อย จริงไหม ?

ผมเชื่อว่าประเทศไทยสอนวิธีการเข้าห้องสมุดและค้นหาจากสารบัญห้องสมุดและการจัดหมวดหมู่นะ แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจจะเข้าห้องสมุด เลยทำให้เราค้นหาอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ดีแต่ถามและนั่งรอคำตอบ ได้แต่นั่งฟังแล้วก็นึกไปเองว่าตัวเองเข้าใจแล้ว ทั้งที่จริงๆ ตัวเองแค่รับรู้ รับฟังผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 แต่ยังไม่เข้าใจ จนกว่าจะได้ทำมันลงไปจนรู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ที่ตัวเองต้องสัมผัส นั้นแหละถึงจะเรียกว่าเข้าใจจริง ๆ (เข้าใจว่าถูกหรือผิด ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จนั้นอีกเรื่อง)