อะไรคือความนิรันดร์?

สิ่งที่ตาเห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่สมองและหัวใจเรารับรู้

กล้องก็เช่นกัน สิ่งที่กล้องบันทึกอาจจะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ค่าสี bit/byte และข้อมูลจำนวนหนึ่ง

เพราะกล้องไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีจิตใจ มันทำหน้าที่แค่บันทึกภาพ ตามที่คนบันทึกภาพสั่งมันเท่านั้น

กล้องมันไม่ได้ใส่ความรู้สึกลงไปในภาพ แต่คนต่างหากที่จะใส่มันลงไป

แต่ก็คนอีกนั้นแหละ ที่มองภาพเหล่านั้นแตกต่างกัน

ความรู้สึกในภาพแตกต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์การรับรู้ของคนคนนั้นที่มีต่อโลกใบนี้

สิ่งที่ตาเห็น แม้คงที่ แต่การเห็นของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เช่นเดียวกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

แต่ ณ. ชั่วขณะแห่งเวลาบันทึกภาพ  ความรู้สึกของผู้บันทึกภาพที่ถ่ายทอดลงไปในภาพจะอยู่ชั่วนิรันดร์

แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เห็น ความรู้สึกของผู้บันทึกภาพแม้คงที่อยู่ชั่วนิรันดร์

แต่การรับรู้ภาพนั้นๆ ของคนอื่นๆ ก็ยังคงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเป็นนิรันดร์เช่นกัน

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็น ที่รับรู้ ไม่เคยคงที่ ไม่เคยแน่นอน ไม่ว่าจะในตาคู่เดิม กล้องตัวเดิม คนคนเดิม สภาวะแวดล้อมเดิมๆ หรือ ในตาคู่ใหม่ คนคนใหม่ กล้องตัวใหม่ สภาวะแวดล้อมใหม่ก็ตามที

สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่อยู่ชั่วนิรันดร์ได้อย่างแท้จริงหรอก ทำใจและยอมรับมันซะ …

เมื่อวันที่ ผมล้ม

ขอเล่าเท้าความก่อนว่าวันจันทร์ที่ผ่านมายังดีๆ อยู่ กลับมาถึงห้องก็นั่งทำงานนิดหน่อย ตามประสาคนบ้างาน แล้วก็อาบน้ำนอนตามปรกติ ตื่นเช้ามา เกิดอาการหนาวสั่น แล้วก็ลุกไม่ขึ้นเลย แค่จะยกหัวก็ทำไม่ได้ โลกหมุนไปเลย เลยคิดในใจว่าเออ นอนสักพักคงหาย เลยนอนไปอีกหน่อย ตื่นมาก็ไม่หาย เลยส่งเมสเซสไปลางานครึ่งวันก่อน เพราะคิดว่าคงพักผ่อนน้อย อาการแบตฯ หมดของตัวเองตามปรกติ ปีนึงเป็นสักครั้งสองครั้ง บ่ายๆ คงลุกไปทำงานไหวตามเดิม สุดท้าย หัวหน้าก็โทรมาตาม ตอนนั้นเหลือบๆ ไปดูนาฬิกาแล้วก็บ่าย 2 ได้มั้ง ยังไม่หายมึน และโลกหมุนเหมือนเดิม เลยต้องลาเต็มวัน ตก 5 โมงเลยโทรไปหาแม่ว่า ไม่ไหวแล้ว โทรเรียกน้าให้มาหามไปโรงพยาบาลหน่อย (เหตุที่โทรหาแม่ เพราะเบอร์อยู่ใน speed dial กดปุ่มเดียวโทรได้เลย เพราะตอนนั้น ถ้ามานั่งไล่หาคงไม่ทันกิน)
พอน้ามาถึงก็ค่อยๆ พาตัวเองลงมาจากห้องไปโรงพยาบาล ไปถึงสภาพประมาณ "กูจะล้มแล้ว" ดีที่เค้าหารถเข็นมาพาเข้าห้องฉุกเฉินได้ ไม่งั้นคงได้หิ้วปีกเข้าห้อง ฉุกเฉิน ต้องให้น้าจัดการเรื่องประวัติคนไข้อยู่ด้านนอก วัดความดันก็ปรกติ แต่หัวใจเต้นแรงมากๆ วัดอุณภูมิร่างกายได้ที่ 39c แต่วัดซ้ำอีกรอบได้ 38.49c ซึ่งสูงมาก หมอบอก ขอตรวจเลือดหน่อย กลัวเป็น ไข้หวัด 2009 เพราะผมบอกหมอว่ามีอาการปวดกระดูกสันหลังร่วมด้วยร่วมด้วย เลยต้องนอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน อยู่อีกเกือบชั่วโมงเพื่อรอผลตรวจ ระหว่างนั้นก็คิดในใจ เฮ้ยยย ค่ารักษามันจะทำไหร่วะเนี่ย -_-‘ (ยังห่วงเรื่องเสียเงินอีก ไม่ได้หรอก ช่วงนี้ปั่นงาน ปั่นเงินอยู่ ยังมีแรงก็รีบๆ หา ออกแนวงก)
พอผลออกมาไม่ได้เป็นไข้หวัด 2009 โล่งอก แต่ … แล้วเป็นอะไรหล่ะหมอ … หมอก็ตอบไม่ได้ แต่อาการนี้คงติดเชื้อแบคทีเรียชนิดร้ายแรงเข้าไปสักตัว จนปริมาณเม็ดเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นถึง 14,000 unit จากที่คนปรกติเค้ามีกันแค่ 7,000 – 7,500 -_-‘ เอ่อ … หมอครับ นี่มันเท่าตัวเลยนะน่ะ … หมอเลยบอกว่า ต้องเล่นของแรง เดี่ยวฉีดยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือดผ่านสายน้ำเกลือให้นะ มันจะค่อยๆ เข้าร่างกายใช้เวลาสักชั่วโมงคงหมอขวด !!! ยาเม็ดคงหายช้าไม่ทันใจวัยทำงาน หมอรู้ดี :O เพราะกว่าจะหายเป็นอาทิตย์โน้น …. แต่อันนี้ให้แล้วก็นอนพักสัก 3 วันกินยาเม็ดเหมือนกัน ก็หายเร็วกว่าเดิมมาอีก 2-3 วัน แล้วถ้าไม่อยากกลับมาอีก ก็ไม่ต้องไปหาเรื่องเอาเชื้อโรคมาเพิ่มใส่ตัวหล่ะ T_T โอเคครับหมอ จัดมา ผมงานเยอะ ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ
ระหว่างที่รอให้ยาเข้าสู่ร่างกาย ที่ละน้อยก็คิดว่า ตูต้องรีบหาย งานเหลือเยอะมาก แล้วต้องกลับมาพักพื้นให้เร็วที่สุดแหละ แต่สุดท้าย พอมานอนนึกๆ ดู สุขภาพมันสำคัญสุดแฮะ …  มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้  ตอนนี้ไม่ควรทำลายสุขภาพตัวเอง เลยคิดว่า เออหว่ะ ตอนนี้คงต้องเพลาๆ งานลงหน่อยแล้วกัน ไหวก็คือไหว ไม่ไหวก็อย่าไปโหม โดนด่า ก็โดนไป อย่าลืมว่าครอบครัวเราตอนนี้กูหาเลี้ยงอยู่คนเดียว ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี แถมถ้ามันกลับมาเป็นอีก ตูก็เสียเงินอีก แล้วมันจะจบเมื่อไหร่ -_-‘ จริงๆ ผมลืมสิ่งนี้ไปเลยแฮะ … ลืมไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าเรื่องงานกับเวลาพักผ่อนตีกันให้มั่วไปหมด ตอนนี้ผมคงต้องกลับมามองเรื่องเวลาพักผ่อนใหม่อีกรอบแล้วมั้งว่าจะรับงาน เท่าที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นดีกว่า เพราะจะกลายเป็นเราทำงานเอาเงินมารักษาตัว แทนที่จะเอามาสร้างตัวเองให้ดีมากขึ้นแทน เฮ้อออ
แล้วสักพักผมก็ หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆ พยาบาลก็มาสะกิดเพื่อนเช็คสายน้ำเกลือ ไอ้เราก็เอ่อ ให้หมดแล้วเหรอสรุปยัง พยาบาลมาปรับให้ช้าลง !!! อ้ากกกกกก เค้าบอกให้เร็วเกินไป โอเคครับ -_-‘
พอให้ยาหมดครบ ก็ไปคุยกับหมออีกหน่อยนึง แล้วก็ได้เวลาระทึกใจ ก็คือ จ่ายเงิน!!!
แน่ นอน ฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเอกชน ค่ารักษาย่อมไม่ธรรมดา แน่นอนค่ารักษาไม่เท่าไหร่ค่าจะพอรับได้ แต่…. ค่ายานี่ของจริง เพราะได้ยินเรื่องนี้มานาน แล้วก็ … เกือบ 5,000!!! โอ้วววว งานถ่ายรูป + Adsense ตู ….. T_T ไอ้เชื้อแบคทีเรียบ้า กูเกลือดเมิงงงงงงงง ……. นั้นหมายถึงค่าซ่อมเลนส์ Nikkor AF 80-200mm f/2.8 D ที่กำลังจะต้องไปจ่ายค่าซ่อมจากสิงค์โปร์เลยนะเว้ยยยยย T_T เศร้า …..
งาน นี้ป่วยไม่พอ เสียเงินเยอะอีก แถมกลับมารักษาตัวก็ไม่ได้พักอะไรเท่าไหร่ งานโน้นนี่วิ่งเข้ามาให้ทำอยู่เนืองๆ ไม่ได้หยุดอีก คือสภาพร่างกายอย่างช่างวันพุธนี่สมองเบลอไปเลย เดินๆ จะล้มหลายที สมองคิดอะไรแบบ งงๆ มึนๆ จะอ้วกหลายทีมาก ต้องเดินไปล้างหน้า ล้างคอ กลัวอ้วก ตอนเย็นกินข้าวไม่ลง แต่ต้องกินเพราะต้องกินยาจำนวนมากลงไปอีก -_-‘ วันพฤหัสดีหน่อย คิดอะไรต่อมิอะไรดีขึ้น แต่ยังเบลอๆ อยู่ แต่หลายๆ อย่างมันต้องทำเลยอัดน้ำเหลือแร่ gatorade ไป 2 ขวด (ลิตรพอดี) เลย ไม่งั้นอยู่ไม่ได้แน่นอน เพราะสภาพตอนนั้นสุดๆ เหงื่อออกเยอะมาก
พอ มาวันนี้ตื่นมาอาการถือว่าดีกขึ้นพอสมควร ยังมึนๆ ทำอะไรเร็วๆ ไม่ได้มาก ประกอบกับตอนเช้าต้องรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอตรวจโน้นนี่นิดหน่อย เช็คอุณหภูมิร่างกาย ความดัน แล้วก็สภาพทั่วไปแล้ว ก็บอกว่าทานยาวตามที่จ่ายไป น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าทานครบแล้ว ยังไม่หายดีแนะนำให้กลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งนึง เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม ตอนนั้นก็โอเคครับ ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ก็เดินทางกลับมา กินข้าวแล้วก็นอนพักต่อหน่อย แล้วก็ยังต้องนอนพักเป็นระยะๆ สมองยังไม่คิดอะไรไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เพราะมึนหัวอยู่ อาการโลกหมุนยังมีอยู่ ถ้าขึ้นลงบันไดเยอะๆ คงเพราะเม็ดเลือดขาวมันยังเยอะอยู่ ทำให้เม็ดเลือดแดงมันน้อย ออกซิเจนมันเลยไปเลี้ยงสมองไม่พอแหละ -_-‘ ตอนนี้เลยค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำงาน หาทางแก้ไขไป งานที่มันกองๆ ก็ค่อยๆ เคลียร์ตามคิวงานไป
พรุ่งนี้ ไม่รู้เป็นยังไงมั่งแฮะ …. สู้ต่อไป ….  แน่นอน ทิ้งท้ายไว้ "หายใจไว้ ไม่ตายแน่" ….

มันก็แค่นั้นเอง …

ในบางครั้งผมรู้สึกว่า เฮ้ยยย ทำไมเค้าไม่เข้าใจเราบ้างนะ หรือช่วยคิดให้ตรงกันหน่อยได้ไหม แต่สุดท้ายก็ได้แค่คาดหวัง แล้วก็มานั่งเก็บมาคิดให้จิตตกอยู่คนเดียว แล้วไง คนที่เค้าไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเราเท่าไหร่เลย เค้าก็คงไม่ได้ทุกข์ใจอะไรกับเราหรอก สุดท้ายเราเนี่ยแหละที่มานั่งทุกข์ใจอยู่คนเดียว

ตอนช่วงเรียน ป.ตรี เป็นบ่อยมากๆ แต่หลังๆ ตั้งแต่ทำงานมา เริ่มปรับตัวได้ เค้าจะไปว่าอะไร หรือบอกอะไรในตัวเรากับใครก็ปล่อยไป สุดท้ายก็ให้ "เวลา" เป็นตัวบอกเหตุการณ์และตัวบุคคลเองแล้วกัน

วันนี้อ่าน tweet ใน twitter ของพี่ Ton Santipong ที่รู้จักกันใน etcfoto.com แบบห่างๆ ได้ tweet ว่า "หมาที่ไม่เห่า ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่กัด คนที่ไม่สู้ ไม่ได้หมายความว่าต่อยไม่เป็น" เลยนึกอะไรออกว่า บางครั้งบางคนเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะเค้าไม่สนใจ แต่เค้าไม่อยากยุ่ง บางครั้งคนเราทำผิดซ้ำๆ ซากๆ ผิดต่อตัวเค้าเองไม่เท่าไหร่ ผิดต่อคนอื่นๆ คนที่เคารพหรือคนใกล้ต้วเค้า บางครั้งก็ต้องออกมาพูดกันบ้าง

เหตุการณ์นี้ผมเจอกับตัวเองมาหลายครั้งในตอนที่ทำเว็บ ThaiThinkPad หรือแม้แต่ ThaiHi5 เองก็ตามที

ตอน ThaiHi5 เด็กๆ ในเว็บทะเลาะกันเรื่องลอกผลงานของคนอื่น แต่สุดท้ายก็ออกมาขอโทษ ออกมาเคลียร์ ทุกคนเข้าใจ ตอนนี้ก็อยู่กันอย่างสงบลง แม้ว่าบางคนจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกคนก็ลดกำแพงในใจของตัวเองลงมาเพื่อรับฟังคนอื่น ผมว่าเด็กๆ เค้าไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรเท่าไหร่ประมาณว่ายอมรับผิดซะ ก็จบๆ เรื่องกันไป คำว่า" “ขอโทษ” สำหรับน้องๆ เค้าคือสิ่งที่เค้าต้องการ เค้าไม่ได้ต้องอะไรมากกว่านั้นจริงๆ

แต่เจอหนักก็ตอน ThaiThinkPad ที่คนนำสินค้าที่มีปัญหาด้านประกันและให้ข้อมูลไม่ครบมาขายในเว็บ ผมทราบข่าวนี้แล้ว ก็ลองไปนั่งคุยสิ่งที่ผมทำคือกันคนที่เสียหาย (คนที่ซื้อของนั้น) ออกมาก่อน แล้วผมเข้าไปรับหน้าแทน โพสและให้ข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างเพื่อให้ทำคนระวังโดยไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้เสียหายและใครเป็นผู้กระทำ แต่สุดท้ายแล้วผู้กระทำผิดก็เผยตัวเองออกมา และโดนซัดด้วยข้อความว่า "คุณไม่ได้เสียหายอะไร จะมาเดือดร้อนอะไรด้วย คนซื้อไปเค้ายังไม่เดือดร้อนด้วยเลย" จริงๆ อยากจะบอกว่า ถ้าเค้าไม่เดือดร้อนจริงๆ เค้าคงไม่มานั่งคุยกับผม มาปรับทุกข์กับเพื่อนๆ ในบอร์ดหรอก เค้าแค่ไม่อยากมีเรื่องกับคุณก็เท่านั้นเอง สุดท้ายก็คือแนะนำให้ติดต่อขอรับเงินคืนกันไป และแจ้งเตือนทุกคนในบอร์ดในกรณีนี้ไป โดยไม่ระบุว่าใครเป็นผู้เสียหาย แต่เหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อพี่ผู้เป็นผู้เสียหายกล้าที่จะร่วมด้วยช่วยกันในตอนหลัง เลยทำให้กรณีนี้จบไปด้วยการเชิญคนขายผู้นั้นออกจากเว็บไป ตอนนั้นผมไม่ได้สู้ตัวคนเดียว อย่างน้อยๆ พี่ๆ หลายคนให้กำลังใจผ่านทาง PM, Twitter, E-mail และโทรศัพท์มาแนะนำต่างๆ มากมาย คือตอนนั้นกลัวโดนกระสุนปืนมาก ฮาๆๆ คือในเน็ตเนี่ยหาข้อมูลผมไม่ยากหรอก มีเพียบเต็มไปหมด -_-‘ แต่ก็เอาวะ มาจนจะสุดทางแล้ว แต่ก็มีบางอย่างทำพลาดไป อาจเพราะอ่อนต่อการเผชิญหน้าแบบนี้ก็ได้มั้ง เลยรู้สึกว่ามันแรงไป แต่สุดท้ายแล้วก็ เออ เราน่าจะทำนะ เสียดายและเสียใจจนทุกวันนี้

ถึงแม้จะเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็อยากให้ทุกอย่างขาวสะอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยๆ ก็เรื่องการซื้อขาย หรือแม้แต่เรื่องซอฟต์แวร์ละเมิดต่างๆ แม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องปรกติ คนทำผิด ถ้าคุยกันรู้เรื่องมันก็จบ แต่ถ้าไม่ ยังทำผิดซ้ำซาก มีคนเจ็บ มีคนเสียหายไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องออกมาพูดบ้าง อย่างน้อยๆ ก็รักษาและทำให้อยู่ในมาตรฐานที่ดีอยู่เสมอๆ อย่างน้อยๆ คนในชุมชนผมแห่งนี้ก็คือเพื่อน พี่ และน้อง ที่เราก็ร่วมด้วยช่วยกันสร้างมา ดีกว่าที่ผมมานั่งพยายามทำใจแล้วปล่อยให้มันพังไปต่อหน้าต่อตา

แต่สุดท้ายแล้ว สำหรับผู้ใหญ่หลายๆ โตกันมาขนาดนี้แล้ว บางคนก็บวชกันไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ปรับปรุงตัวกัน ผมถึงเริ่มเข้าใจว่า “ถ้าคำขอโทษมันใช้ได้ผลคงไม่มีตำรวจ” เริ่มจริงแฮะ … กรณีของน้องๆ ใน ThaiHi5 ดูไม่ได้ร้ายแรงอะไรในความรู้สึกของเราผู้ใหญ่ที่ชินชากับปัญหาของเด็กๆ เค้า แต่สำหรับเค้าแล้วมันเรื่องใหญ่ เช่นเดียวกับเรื่องที่ผมเจอใน ThaiThinkPad ที่บางคนก็บอกว่า “จะไปยุ่งทำไม” ก็ได้แต่ เออ …. เรื่องบางเรื่อง เราต้องใช้คำว่า "ทำใจ" มากกว่าที่จะพยายามที่จะไป "เข้าใจ" คนบางคน จริงๆ แฮะ …. เพราะถ้าเราเข้าใจเค้า เราก็อาจจะเป็นแบบเค้าก็ได้ สุดท้ายให้สังคม ให้คนรอบข้างตัดสิน ถ้าเค้าคิดว่าทางนั้นดีกว่า ผมก็ได้แต่ "ทำใจ" ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป

ผมเชื่อว่า เรามีคนที่คุยได้ทุกๆ เรื่อง เข้าใจเรา ดีกว่ามีคนที่ไม่รู้ว่าในใจเค้าคิดอะไร พูดกับเราอีกอย่าง บอกกับคนอื่นอีกอย่าง พูดบอกต่อน่ะไม่ว่า แต่บอกให้หมดบอกให้ครบ บอกแต่ความจริง อย่าเสริมแต่งให้ความจริงกลายเป็นความเท็จแค่นั้นพอ แล้วอันไหน "ความลับก็คือความลับ" ด้วย อย่างน้อยๆ ผมก็ไว้ใจเล่าให้คุณฟัง ก็ควรตอบสนองต่อความไว้ใจกันด้วย ไม่ใช่มีแต่ปากที่มีแต่ลมที่ไร้ซึ่งสัจจะ

สรุปชีวิตปี 2009 แล้วนี่เราจะเป็น Web Developer หรือ Photographer หล่ะเนี่ย (ตอนที่ 1)

เป็น entry ที่จะเขียนหลายรอบแล้ว จะจรดนิ้วพิมพ์ก็มีงานให้เข้ามาให้ปวดหัวและทำก่อนเสมอ ๆ สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนสักที คืนนี้คืนข้ามปีของปีใหม่เลยเขียนสักหน่อย แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้เอาขึ้นใน blog เมื่อไหร่แฮะ คาดว่าจะหลายตอนอยู่เหมือนกัน เพราะเขียนไม่จบแน่ๆ คืนนี้ เอ้าาา ลุย

คือหลาย ๆ คนที่ตาม blog ผมคงจะงง ๆ ว่าไอ้บ้านี่มันเป็น Web Devloper หรือมันเลิกทำงานทำการไปเป็น Photographer แล้ว ฮา ๆๆ น่าสนใจมาก ว่ามาได้อย่างไร จริงไหม

ใน To-do-list ของปี 2009 เนี่ยเอาของเก่าที่ทำไม่ได้ใน 2008 มาทั้งหมดคือ

  • สอบ Certification ด้าน Web Developer อย่างน้อย  ๆ 2 ใบ ที่ดู ๆ ไว้ตอนนี้คือ Zend PHP 5 Certification (ZCE) กับ  MySQL Certified Associate ก็พอ แต่สุดท้ายก็ยังหาเวลาไปสอบไม่ได้ ถึงแม้จะเตรียมตัวสอบไปหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปสอบ แถมตอนนี้ PHP 5.3 ออกมาได้อ่านเพิ่มอีกกระบุงนึง –_-‘ แถมเยอะใช้ได้เลยทีเดียว
  • ไล่อ่านหนังสือที่อ่านค้าง ๆ คา ๆ ที่บ้านให้หมด รวมถึงที่ซื้อมาใหม่ที่กองอยู่ที่ห้องที่กรุงเทพฯ ให้หมดด้วย ตอนนี้ก็ยังไม่หมด แถมยังซื้อมาเติมอยู่เรื่อย ๆ –_-‘ ยิ่งถ่ายรูปยิ่งเยอะกว่าเดิมอีก เออ เอากับมันดิไอ้บ้านี่ 
  • ตอนแรกจะพัฒนาให้ PHP Hoffman Framework ออก pre-release ออกมา สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ และคาดว่าจะทำใช้เอง ไม่อะไรแล้ว รู้สึกว่าทำใช้เองมีความสุขกว่าแฮะ ;P
  • จากที่เก็บเงิน อันนี้หมดไปกล้องถ่ายรูป ฮาๆๆ จริงๆ เงินเก็บก่อนที่จะถ่ายรูปมีอยู่พอสมควรเพราะกะว่าจะเอาไว้แต่งงาน สรุปก็ … เอ่อ เอาเหอะ เรื่องก็จะครบปีแหละ
  • แล้วก็ออกกำลังกายให้มาก ๆ เดี่ยวจะตายเร็วเสียก่อนงานนี้ ตอนนี้ก็ได้ออกกำลังกายทุกๆ ครั้งที่ออกไปถ่ายรูปอยู่แล้ว เดินกันสนุกสนานเลยทีเดียว ฮา ๆๆๆ
  • สุดท้ายก็ภาษาอังกฤษที่ควรจะดีกว่านี้ถึงแม้จะอ่านออก แต่ใช้ในการสื่อสารยังไม่ดีแฮะ … คืออ่านได้เพราะตัวเองอ่าน text book เป็นเล่มๆ ตอนเรียนหนังสือจนชินเลยได้สบายหน่อยตอนทำงาน แต่การสื่อสารยังเข้าขั้นแย่อยู่มาก

ท้ายที่สุด To-do-list ทั้งหมดในปี 2009 ก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ตามที่บอกไปแล้วปีนี้ 2010 ก็เลยคิดว่าไม่อยากเพิ่มอะไรเท่าไหร่แฮะ ที่เพิ่มคงเป็นเรื่องถ่ายรูปที่อยากให้สร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่งให้กับตัวเองให้มากขึ้นอีกช่องทางหนึ่งก็เท่านั้นเอง

ส่วนแฟนเหรอ … ถ้ามีโอกาสค่อยว่ากัน แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ได้รีบหาไม่รู้ ถ้าจะมีก็คือมี อืมมม จังหว่ะชีวิต ไม่อยากคาดหวัง เท่าไหร่ว่าต้องปีนี้ เดือนนี้ หรือวันไหน ๆ …

แต่ก่อนอื่นมาสรุปเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างก่อน ว่าในปี 2009 เนี่ยเจออะไรกับชีวิตบ้าง คือประเดิมเดือนมกราคม เดือนแรกของปีก็เลิกกับแฟนเลย เป็นลางดีอวยพรประจำปีอย่างมากๆ เลยทีเดียว –_-‘ เหตุที่เลิกกันขอไม่ยาวมาก เดี่ยวจะหาว่า geek อกหักมักจะเฮิร์ตยาว (ฮา …) ก็แค่ระยะทางทำให้ทุกอย่างจบลง เสียดายนะเวลา 6 ปีที่คบกันมา แต่ทำไงได้ ทุกอย่างยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ได้แต่ทำใจและบอกเลิกกันไป เฮ้อ เซงมากตอนนั้น … พอ ๆๆ มาอ่านเรื่องเศร้ารับเดือนแรกปี 2010 นี่คงไม่ดี

มาเดือนที่สองของปีก็ต่อจากเดือนแรก เริ่มปล่อยตัว ปล่อยชีวิตทำงานแบบ เออ ชีวิตมีไปวัน ๆ มาก ๆ เพื่อนฟิวส์ (@ifew) มันก็ทักบอก “เฮ้ยยย! ถ่ายรูป ๆๆ อย่างงี้ต้องจัดสักดอกแล้ว D90 ไปเล้ยยยย” เราก็งง อะไรวะ D90 ไม่รู้จัก อะไรเหรอ 70-200 อืมมม แต่เราก็ยังไม่สนใจ “เออ ไว้ก่อน ๆๆ กูยังไม่พร้อม” ก็เลยไม่ได้อะไร เพราะเดือนนั้นได้เครื่อง Server สำหรับใส่เว็บ ThaiThinkPad มาเครื่องนึง Dell PowerEdge 1425  เป็น CPU Intel Xeon 3.0 GHz (64 Bit) มี Memory ให้ 1 GB ECC DDR-2 Ram (แบบ 512MB x 2) และมี Hard disk แบบ S-ATA มาให้สองตัวขนาด 80GB ตอนนั้นไม่คิดเรื่องอื่นครับ นั่งไล่ฟื้นความรู้ด้าน Server ทั้งหมดที่มีตอนฝึกงานที่ Lab Digital Content ที่ ม.ศิลปากร ที่ อ.รวิทัตดูแลอยู่ (@rawitat) กลับออกมาให้หมด (ตอนนั้นไปฝึกงานที่ทับแก้ว ก็รู้จักกับเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่นั้นที่ถ่ายรูปด้วยกันก็ @neokain นั้นก็ด้วย) ใช้เวลาอยู่สักพักประมาณอาทิตย์นึกก็ได้เวลาเอาเครื่องเข้า IDC โดยการแนะนำของ @ifew ให้ไปวางที่ CS-Lox เสือป่า ก่อนจะย้ายมาที่ CyberWorld ในภายหลัง เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคมทั้งสองเดือนนี่ง่วนกับเรื่องนี้อย่างเดียวเลย เข้าออกหลายรอบ สุดท้ายก็สบายตอนหลัง ๆ เพราะระบบเริ่มนิ่งและไม่มีปัญหาอะไร แต่ไอ้ตอนมีปัญหานี่ตี 2-3 ทุกรอบซิน่า –_-‘

ต่อมาเดือนมีนาคม ก็ได้ความช่วยเหลือจากคุณทิม (http://www.memorytoday.com) มาสนับสนุน RAM ของ Server ที่เพิ่งได้มา ซึ่งทางผมก็ติดป้ายโฆษณาให้พี่เค้าด้วยในเว็บ ThaiThinkPad โดยเพิ่มจาก RAM 1GB เป็น 5GB โดยได้เป็น Transcend TS2GDL670S 2GB DDR2 PC2-3200 400MHz REG CL3 Module สำหรับเครื่อง Dell PowerEdge 1420SC/1425SC แบบ Single Rank มาใส่เครื่องซึ่งก็เป็นจำนวนเงินที่มากทีเดียวครับ ซึ่งในตอนนั้นเพื่อน ๆ สมาชิกในเว็บ ThaiThinkPad ก็ช่วย ๆ กัน Donate เข้าเว็บกันเรื่อย ๆ ครับ ช่วยเรื่องค่าเครื่องบ้าง ค่าวางเครื่องใน IDC บ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมก็ออกเองเป็นส่วนใหญ่ครับ ออกแนวทำเอามันแฮะ ;P แต่ทุก ๆ คนช่วย ๆ กันเลยทำให้เว็บนี้ยังอยู่ได้จนทุกวันนี้ และในเดือนนี้แหละได้ซื้อกล้องสมใจเพื่อนช่างยุอย่างเจ้าฟิวส์ –_-‘ เพราะเดี่ยวก็ไปเท่าที่กระบี่ เลยเออ เอาวะ ซื้อก็ซื้อ ไม่มีความรู้เรื่อง DSLR เลย เอาง่าย ๆ ว่าความรู้เป็นศูนย์ ใช้แต่คอมแพ็ดแบบงู ๆ ปลา ๆ ถ่ายแบบ เออให้มันออกมาสวยแล้วกัน แค่นั้นแหละ ได้มาสักพักไม่ถึงอาทิตย์มั้ง ไปเดือนถ่ายรูปที่ Commart แบบ มือใหม่มาก ยังฮาตัวเองไม่หาย เพราะรูปที่ถ่ายเสียเกือบหมด ฮา ๆๆ โดนพี่ๆ ใน twitter บอก “มึงไปฝึกวัดแสงก่อนไป …..” ไอ้เราก็ “เออ อะไรวะวัดแสง เกิดมาเพิ่งได้ยิน”  ตอนนั้นก็บ้าสุด ๆ ซื้อหนังสือมานั่งอ่าน แล้วก็มานั่งกด ๆ ถ่าย ๆ สรุปช่วงนั้น 10,000 shutter release แรกเป็นครูมาก ๆ เพราะเสียเยอะจนหลายคนบอก “มึงซื้อมากดถ่ายรูปให้มันเสียเล่นๆ แล้วลบทิ้ง ใช้ไหม” –_-‘ เออ ก็จริงนะ ตอนนั้นรู้สึกได้ว่า ถ่ายด้วยกล้องคอมแพ็คตัวเก่ายังสวยกว่าเลย T_T คือไปงาน Commart ได้ภาพที่ใช้ได้มานิดหน่อย (เพราะนอกนั้นลบออกไปเยอะเลยทีเดียว) และงาน Motor Show ก็เช่นกัน สวยอยู่ไม่กี่รูป (กล้าพูดจริงจริ้ง ….) พอจบจากงาน event สองงานนี้นี่ไปกับ @neokain ซะส่วนใหญ่ เดิน ๆ ถ่าย ๆ รู้จักพริ๊ตตี้ก็น้องมิกส์และน้องแพท ที่ก็ไปเจอในงาน Motor Show เช่นกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ผ่าน ๆ ตาบ้างบางคนเราก็รู้จัก แต่เค้าไม่รู้จักเรา (เอ้า ฮา …)

พอมาเดือนเมษายน ก็ไปเที่ยวกระบี่ คือซื้อกล้องมากะไปถ่ายตอนเที่ยวเนี่ยแหละ แต่ภาพตอนไปเที่ยวก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับภาพเท่าไหร่แฮะ ก็ยังถ่ายดีมั่งไม่ดีมั่งอยู่ ขนาดถ่ายทะเลแดดแรง ๆ ยังใช้ ISO 400!!!  เออ ความอ่อนหัดสุดๆ ของตัวเอง ความไม่รอบคอบและประสบการณ์ที่ยังไม่มี CPL ก็ไม่ซื้อไป ฮาๆๆ ก็เลยได้ภาพแบบ อืมมม นะ เอาเหอะ ไม่เป็นไร ค่อยว่ากัน หลังจากนั้นก็ไปทริปฟรี Dpixmania.com พอดีว่าพี่อัท (ThaiAdmin.org) โทรมาชวน “เฮ้ยย ทริปฟรี มาฝึกมือกันมา” ก็เลยตกลงไป โทรชวนยศเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปด้วยอีกคนก็มาด้วย ตอนนั้นถ่ายทริป Portrait แรกเลย มุมมอง อะไรนี่ไม่มีในหัว ท่าทางนางแบบก็บอกเค้าไม่เป็น อะไรคือหลังละลายก็ไม่รู้จัก อืมมม สรุปยังโง่อยู่ –_-‘ ฮาๆๆ โง่ก็บอกว่าโง่ อวดฉลาดไปก็เท่านั้นแหละ ส่งท้ายเดือนก็มีงาน ThaiThinkPad Meeting 2 ก็จัดกันเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก เพราะอยากให้สบายๆ นั่งกินข้าวกัน เราก็ได้เพื่อนๆ ในเว็บเพิ่มขึ้นเยอะเลย สรุปเดือนนั้นเว็บ ThaiThinkPad เริ่มเข้าที่เข้าทางและไปได้ดีแล้วหล่ะ

มาเดือนพฤษภาคมนี้พี่หงษ์ (@hongsyok) ก็เห็นว่าผมถ่ายรูปแล้วใช้ Nikon เหมือนกัน ประกอบกับพี่เค้าเลิกถ่ายรูปด้วยกล้อง DSLR พี่เค้าบอกเกินวัยของพี่แหละ กล้องและเลนส์หนักไม่เหมาะสมกับวัย ให้หนุ่มๆ แบกแทนแล้วกัน –_-‘ แล้วก็เลยให้ยืมเลนส์มา 2 ตัวคือ Nikkor AF 60mm F2.8 micro (ตัวนี้อายุ 10 กว่าปีแล้ว) และ Nikkor AF 80-200mm F2.8 ED (อายุกว่า 15 ปี) แล้ววันต่อมาเลยเอาไปถ่ายรูปที่งาน Architect 09 ต่อเลย ก่อนหน้านั้นใช้แต่เลนส์ Kit 18-135mm F3.5-5.6 ED ที่รูรับแสงไม่กว้าง และหลังไม่ละลายเท่าไหร่ พอมาใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างๆ เริ่ม เฮ้ยยย ใช่เลย แต่ตอนนั้นใช้ 60mm F2.8 Micro เป็นหลัก เพราะระยะไม่ต้องยืนไกลมากนัก แต่ปัญหาคือระยะชัดมันไม่เยอะ วืดไปซะเยอะแฮะ –_-‘ ช่วงนั้นก็ยังใช้ 80-200mm F2.8 ไม่คล่องเท่าไหร่ ออกแนวกิงก่าได้ทอง มีของดีแต่ใช้ไม่เป็น พี่อั้ม (@9aum, http://www.scriptdd.com) ก็บอกตอนไปงาน Barcamp Bangkok 3 ว่า “เมิงนี่ใช้ของไม่เป็นจริงๆ มาเดี่ยวเดือนสอนให้ แล้วจะรู้ว่า Tele มันดียังไง” –_-‘ เออ เอาครับพี่ ได้เลยครับ ในงาน Barcamp Bangkok 3 นั้นก็เลยได้ลองได้ถ่ายบ้างตามสมควร ในงาน Barcamp Bangkok 3 นี่ผมก็ไปพูดเรื่อง PHP Performance with APC + Memcached ในงานนั้นคนเข้าฟังเยอะมากมาย จนรู้สึกว่าเฮ้ยยย ใช้ได้แฮะ เป็นหัวข้อที่ทุกคนสนใจ จริงๆ ในงานนี้ก็ได้ฟังเรื่องการถ่ายรูป Portrait จากน้าแมว (http://catphoto.multiply.com/) หัวข้อ “ความจริงของตากล้องใน multiply กับการถ่ายภาพ 100 นางแบบใน 3 เดือน” ฮาดี แถมภาพสาว ๆ ที่นำมาโชว์เรียกเสียงฮือฮาจากหนุ่ม ๆ ในห้องได้เยอะทีเดียว ตอนนั้นไม่รู้หรอก ทริปถ่ายรูปเค้าไปกันยังไง … แต่ ในงาน Barcamp นั้นก็ประกาศหัวข้อเพิ่มอีกหัวข้อเกี่ยวกับสาวๆ ใน Hi5 ไทยบ้างเล็กน้อย แต่ว่าก็ออกแนวคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่าแฮะ ในงาน Barcamp รอบนี้สนุกสนานไปอีกแบบ แต่ก็เหนื่อยกว่ารอบก่อนๆ เพราะมี 2 วันแบบค้างคืนที่โน้นเลย แต่ผมก็ไม่ได้ค้าง กลับมาตอนตีสามกว่าๆ แล้วไปอีกทีตอนเก้าโมงเช้า เจองานนี้ไปสองวันกลับมาสลบไปเลยทีเดียว (blog งาน Barcamp นี่ก็ยังเขียนไม่จบ เจ้าของ blog ก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ –_-‘) ต่อจากงานนี้ ได้ถ่ายรูปใช้เลนส์ Tele 80-200mm แล้วพี่เค้ากระถุงต่อมในงาน Barcamp ก็เลยหาที่หาทางถ่ายฝึกๆ ไว้บ้าง นิดหน่อยแล้วหล่ะ สุดท้ายแล้วก็ได้ไปเดินถ่ายรูปงาน Money Expo 09 งานนั้นเลยเริ่มเข้าใจว่า 80-200mm มันดียังไง แล้วช่วงท้ายเดือนก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นๆ ที่วัดพระแก้วกับเพื่อนฟิวส์ บ้าง แต่ระหว่างเดินถ่ายรูปก็ฝนตกลงนิดหน่อย แต่พอทน ภาพก็ยังอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้แปลงตัว RAW สักที –_-‘

เดือนมิถุนายนพี่อั้ม (@9aum) ก็ชวนไปถ่ายรูปที่ Fat T Shirt 09 เป็นงานถ่ายรูปคอนเสิร์ตงานแรก ได้เรียนรู้จากคำแนะนำจากพี่อั้มเยอะมาก อ่อ ลืมบอก พี่อั้มเป็นโปรแกรมเมอร์และตากล้องประจำเว็บ http://www.songburi.com นั้นเอง เลยได้วิธีการทำงาน การเตรียมตัวและมุมมองกล้องต่างๆ ว่าควรจะยืนตรงไหนยังไงบ้าง ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในการถ่ายงานแนวนี้เพราะต่อมาก็เป็นงานที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่ๆ Organize ที่รู้จักกันให้ไปถ่ายรูปงานแนวๆ นี้อยู่เรื่อยๆ จบงานนี้ก็ไม่ได้ไปถ่ายรูปที่ไหนเลย เพราะงานเข้าช่วงนั้นกำลังออกจากงานที่บริษัทเก่า ไล่เคลียร์งานกันหูตูบเลยทีเดียว แต่จนแล้วจนรอดพี่อัทก็ชวนไปถ่ายรูปนอกรอบรับปริญญาน้องออมที่สวนรถไฟ ได้ถ่ายแนวนี้ก็ได้แนวคิด ไปมุมมองใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีก แล้วก่อนสิ้นเดือนก็มีงานเข้าให้กดดันอีกครั้งกับงาน Federbrau – Glow In The Dark Party ที่ไอ้เราก็ไม่มีประสบการณ์ด้านถ่ายรูปตอนกลางคืนประกอบกับเฟลชเราก็ไม่มี งานนี้ยืม SB600 จากฟิวส์มา จริงๆ มันก็ถ่ายได้ แต่ก็ไม่มาถ่าย บอกไม่ใช่แนว –_-‘ เออ เอากับมัน เอาวะได้เฟลชมาต้องฝึกก่อนไปงานจริง พอไปหน้างานมีน้องในทีมมี SB800 เออ ก็โอเคอยู่ เลยแลกกันใช้เพราะไอ้เราเป็นกล่องหลัก –_-‘ เออนะ แต่ว่าด้วยความที่ไปถ่ายงาน Fat T Shirt ก่อนหน้านี้เลยบอกในทีมที่ไปถ่าย เกือบทุกคนก็มือใหม่กับงานแนวนี้ซะเยอะด้วยซ้ำ มีพี่อ้วน (@anantachai) ที่ถ่ายรูปมาก่อนหน้านี้เยอะกว่าทุกๆ คนต่างคนก็ต่างช่วยๆ กันวางแผนว่าเฮ้ยย เน้นมุมให้มากเท่าที่ทำได้ สุดท้ายก็เลย ได้ภาพที่รวมๆ กันแล้ว ได้กันในมุมมองที่ดี และคุณภาพที่น่าพอใจ เพราะงานนี้พวกเน้นจำนวนคนเข้าว่า เพราะถึงมีบัตร Staff แต่พอเอาเข้างานจริงแล้วแทบไม่มีประโยชน์เลย –_-‘ เบียดเสียดกันซะ ดีที่วางแผนว่าให้ไปยืนกันทีเดียวเลย 3 คนหน้าเวธีใครโดนบังโดนเบียดหรือไม่ได้มุมค่อยออกมา ให้คนที่ได้มุมดีๆ หรืออยู่ได้ถ่ายกันไป ซึ่งก้ได้ผลแฮะ … เราโดนเบียดจากเข้าไปถ่ายไม่ได้ ในมุมที่สวยและดี เลยให้พี่อ้วนที่อยู่ในมุมที่ดีกว่ารับหน้าที่ถ่ายแทน ส่วนผมกับน้องอีกคนก็ออกมาท้ายด้านนอกมุมกว้างๆ และมุมเทเลถ่ายเจาะเอาตามสมควรแทน พอจบงานนี้ก็ได้ประสบการณ์การเรื่องถ่ายรูปด้วยเฟลชและการทำงานเป็นทีมเพิ่มมามากขึ้นเยอะ และสุดท้ายของเดือนก็ถ่ายรูป The Last Day at TARAD.com เป็นภาพที่ลองถ่ายแนวๆ นี้แล้วก็ชอบแฮะ ถึงได้ไม่กี่รูปแต่ก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบนึง

เอ้าา จบตอนที่ 1 ก่อนแล้วกันนะครับ มาได้ 6 เดือนแล้ว ;)

Night Portrait สูตรไม่สำเร็จ แต่เป็นการค้นคว้าแล้วไป Night Portrait บวกกับลองผิดลองถูก

การถ่าย Night Portrait ต่างจาก Portrait ปรกติที่ ให้วัดแสงที่ฉากหลัง ซึ่งต่างจาก Portrait ปรกติที่วัดแสงที่แก้ม หรือใบหน้าของแบบ (และไม่ใช่ดวงตา!) โดยวัดแสงแบบ spot ไปที่ตำแหน่งที่สว่างๆ บนฉากหลัง แล้วบวกไปอีก 1.0 – 2.0 EV (Stop) โดยที่แนะนำให้แบบยืนห่างจากฉากหลังมาให้มากๆ หน่อย แล้วก็ Fill Flash เข้าไป ถ้าใช้ Flash TTL ไม่ต้องไปลบก็ได้นะ เดี่ยวมันจัดให้เราเอง

วัน นั้นผมใช้ AF 85mm F1.8 ยืนระยะกะๆ เอาประมาณ 7-10 m ก็กะๆ เอาประมาณนึงจะได้ระยะ DOF ไม่บางเกินไปประมาณเกือบๆ ฟุต ลองถ่ายดู ก็ถือว่าใช้ได้สำหรับการถ่าย Night Portrait ครั้งแรกเลย (ฝึกไว้ๆๆ เดี่ยวต้องใช้จริงวันอาทิตย์นี้ อิๆๆๆ)
ความเร็ว Shutter ก็สัก 1/25 – 1/60 ก็พอ เยอะกว่านี้ฉากหลังจะมืดเกินไป ส่วน ISO ก็ 200 – 400 ไม่เกินนี้ กล้องผม Nikon D80 มากกว่านี้ noise ตรึม ! มันไม่ถูกกับที่มืดเท่าไหร่ (แพ้กลางคืน)

อันนี้แนะนำตามที่ตัวเองใช้และได้ผล อาจจะไม่ตรงตามตำราอะไรเท่าไหร่ แต่เป็นการลองผิดลองถูก เสียมากกว่า อีกอย่างถ่ายพวกนี้กะให้ดีๆ ถ่ายแล้วจบแก้ไขลำบากถ้า under เพราะดึงกลับมานี่ noise โผล่เลย แนะนำให้วัดแสงแม่นๆ ทีเดียวแล้วจบกลับมา convert รูปอย่างเดียว หรือแต่งสีนิดหน่ยอพอ เร่ง exposure ได้ไม่เกิน 0.5 EV (พวกไม่มี EXPEED ก็แบบนี้แหละ) แล้วมาลด noise ได้หน่อยทำ USM อีกนิด ก็พอจะคมและ noise หายไปได้บ้างครับ

ลองดูครับ ;)