เชิญ Blogger ไปงาน Press

เห็นพูดๆ ใน twitter กันขอนิดนึงแล้วกัน ^^

ได้รับเชิญไปหลายงานขอสรุปประสบการณ์ส่วนตัวและข้อเสนอแนะตามนี้ เผื่อเป็น checklist/guideline สำหรับคนจัดงาน

  • วันและเวลาควรเป็นเวลาที่มนุษย์เงินเดือนเค้าว่างกัน เพราะ Blogger กว่า 90% เป็นพวกทำงานประจำกินเงินเดือนบริษัท ฯลฯ จะเชิญวันและเวลาทำงานปรกติแนะนำว่าต้องแน่ใจจริงๆ ว่าจัดแล้ว Blogger ไม่มาบ่นทีหลังว่าจัดทำไม เพราะงั้นถ้าไม่แน่ใจว่าจัดโดนใจ หรือมีข้อมูลเชิงลึกสุดๆ แบบกระจายได้มากๆ ไม่ต้องเชิญครับ (หลายงานไม่ขอเอ่ยจริงๆ จนหลังๆ ถ้าลาไม่ได้ก็ขอไม่ไป) ส่วนตัวไม่ค่อยอยากปฎิเสธเข้าร่วมงาน แต่ถ้าลางานบ่อยๆ โดนไล่ออกได้ เห็นใจกันบ้าง เพราะ Blogger ไม่ใช่สื่อที่สามารถลางานได้ตามภาระหน้าที่จริงๆ และแนะนำถ้าจัดวันธรรมดาก็นัดสัก 18:30 เป็นต้นไปจะดีมาก งานเริ่มสัก 19:00 อะไรแบบนั้น เลิกกี่โมงไม่ใช่ปัญหาดูแลตัวเองกันได้ ถ้าเสาร์-อาทิตย์ แนะนำว่าควรจัดช่วงบ่ายเป็นต้นไปครับ เหตุผลน่าจะเข้าใจกันดี ><"
  • เนื้อหาขอให้ตรงกับความรู้ความสามารถของ Blogger นั้นๆ ถนัดจริงๆ อันนี้สำคัญ เพื่อข้อมูลตรง ชัดเจน เวลามาเขียนหรือเล่าเรื่องของ Blogger ท่านนั้นๆ ครับ ถ้าออกแนวกำกึ่งก็ต้องลองดูอันนี้อยู่ที่คนเชิญครับ
  • ไม่ต้องรับรอง VIP อะไรมากมาย ขอพื้นที่สำหรับสุ่มหัวกันคุยกันเฮฮาได้ในงานด้วย เผื่อนั่งมึนๆ หรืออยากพูดคุยในรายละเอียดกับคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะระหว่างงาน ก่อน-เลิกงานจะได้ไม่รบกวนส่วนหลักของงาน อันนี้ประจำครับ แบบตอนนำเสนอไม่ค่อยมีคนถาม แต่พองานเลิก เริ่มมีสอบถาม Q&A ปั้บ คำถามเพียบ อันนี้ดูจะเป็นปรกติไปแล้ว เพราะความเป็นทางการของงานบางงานเนี่ยแหละครับ (คุยกันตอนหลังได้ข้อมูลลึกๆ หรือพวกข้อมูลเชิงกระซิบเยอะกว่ามากๆ)
  • Press Kit ถ้าเป็นพวกเอกสารกระดาษคงไม่จำเป็น ถ้าเป็นของแจกก็ให้แค่ของก็พอ ส่วนใหญ่ Blogger ดูแลข้อมูลเบื้องต้นของตัวเองได้อยู่แล้ว แนะนำว่าส่งเข้าอีเมลมาเลยทีเดียวก่อนเริ่มงาน ผมเชื่อว่า Blogger ทุกคนมีอีเมล และ online อ่านเมลได้ทันทีกันเยอะ คงไม่ยากเกินไปอยู่แล้ว เพราะพวกเอกสารผมได้มาผมก็ไม่ได้อ่าน กองๆ ไว้มากกว่า เพราะหาอ่านได้ตามสื่อหลักอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
  • รูปภาพต่างๆ ไม่ว่าจะของงาน ตัวสินค้า ฯลฯ ไม่ต้องส่งมาทางอีเมลก็ได้นะครับ เชื่อผมเหอะ ผมเจอหลายงานส่งมาเป็น 10MB อึ้งไปสักพัก ผมแนะนำให้อัพเข้าเว็บฝากรูปดีๆ สักที่ มีเยอะแยะให้เลือก Flickr ก็ดีนะ เดี่ยวพวก Blogger เค้าไปดูดกันมาเอง อ่อ…. อย่าลืมกำหนด tag ไว้จะดีมากครับ จะได้รวมเป็นกลุ่มๆ เข้าใจง่ายว่างานไหน
  • สำคัญสุดๆ คือ Wireless Network(WiFi) อันนี้สำคัญมาก เพื่อติดต่อสื่อสารทำ Live Blogging ฯลฯ ได้ทันที บางคนอาจจะไม่ Live แต่อาจจะ Note บน Online Note ได้ทันที หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสอบถามอะไรในงาน เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้ครบถ้วน ถ้าต้องเก็บ log หรือต้องใช้ username/password ก็เตรียมพร้อมไว้เลยครับ
  • ถ้าอยากให้มี Live Blogging แนะนำให้บอกเลยว่าใช้ tag/hashtag อะไรในงานอย่างชัดเจนจะได้ไปในทางเดียวกันทั้งงาน เจอบางงานก็หลากหลายเหลือเกิน และไม่ควรยาวเกินไป คิดมาสั้นๆ ก็ได้ครับ จะคำย่อก็ดี เพราะเจ้า tag/hashtag เนี่ยจะถูกใช้ใน keyword ตอน search ในอนาคตแน่นอน คล้ายๆ กับคำย่อของงานนั้นๆ ด้วย
  • คนนำเสนอแนะนำคนที่รู้ลึกรู้จริง จัดเต็ม เพราะเจอคำถามแบบลึกๆ อาจจะมึนๆ งงๆ แบบคาดไม่ถึงแน่นอน จะมีกี่คนก็ได้ จะพา engineer มาเท่าไหร่ไม่ว่า ผมเชื่อว่าระดับ Blogger สมัยนี้คำเทคนิคต่างๆ คิดว่าฟังได้สบายๆ ครับ
  • การนำเสนอนี่เอาแบบสบายๆ ก็ได้นะ พิธีอะไรไม่ต้องเยอะ เน้นเฮฮา ปรกติไปกันนี่ก็มักจะรู้จักกันอยู่แล้ว ไม่ค่อยซีเรียส ผมจำได้ตอนงาน Windows 7 Insider Blogger Day นี่เฮฮามากคนไปไม่เยอะ หลัก 30-40 คนเอง ของกินเพียบ ไม่ได้หรูอะไร แต่เป็นกันเอง สอบถาม ให้ข้อมูลและนำเสนอนี่เนื้อๆ เน้นๆ มากมาย แถมเป็นกันเองมากคุยกันสนุก
  • แนะนำว่าควรมี post-it หรืออะไรสักอย่างที่แปะชื่อไว้สักหน่อย จะได้เรียกชื่อกันได้ง่ายๆ (อันนี้เห็นผลจริงๆ ตอนงาน Barcamp)
  • Blogger ส่วนใหญ่ไม่มีนามบัตรครับ เพราะงั้นแนะนำว่าไม่ต้องขอ ขอเว็บ blog, e-mail, twitter, facebook, linkedin หรือช่องทางการติดต่อแบบ online เป็นหลักครับจะดีที่สุด
  • ของกินนี่เอาบ้านๆ ก็พอ น้ำเปล่า น้ำอัดลมอะไรก็ว่าไป จะขนม ของคาว จัดวางไว้เป็นสัดส่วน ไม่ต้องเดินเสริฟก็ได้ครับ ผมเชื่อว่า Blogger บ้านๆ แบบผม ดูแลตัวเองได้ และอย่าให้พร่อง ;P (ชักเริ่มเห็นแก่กินแฮะเรา ><")

คิดออกแค่นี้แหละครับ ถ้าดูดีๆ ไม่ต้องการอะไรมากมายเลย ผมว่ามันคล้ายๆ กับมาติวหนังสือตอนเรียนมหาวิทยาลัยมากๆ นัดมาเจอกันหิ้วน้ำ ขนมกันมาเอง แล้วก็มาสุ่มหัวกันติวๆๆ โดยมีหัวโจกคนนึงมาให้ข้อมูลเชิงลึก เทคนิคลับอะไรก็แล้วแต่ แล้วทุกคนก็กลับไปจัดการทบทวนทำข้อสอบของตัวเองในห้องสอบอะไรแบบนั้น เพราะ Blogger ก็สูตรใครสูตรมัน อะไรแบบนั้นครับ ;)

ดูเรื่องมากเนอะ ….. แต่จริงๆ จะเห็นว่าไม่มีอะไรเลย จัดแบบง่ายๆ เรียบๆ วันและเวลาของงานก็หลบๆ เพื่อคนทำงานบริษัทแค่นั้นเองครับ เรื่องมากน้อยกว่า Press อีกมั้ง ฮา….

ห้วงนึง… คำนึงถึง …

มันก็แค่ความรู้สึกในห้วงนึง ในเวลาและสถานะการณ์นึงที่เกิดขึ้น ด้วยสภาพแวดล้อมที่กดดันสมองให้สั่งการความรู้สึกไปอย่างนั้น

แน่นอนตอนที่เขียนเนื้อหานี้ ในห้วงนึงของเวลา ห้วงนึงของความรู้สึก ห้วงนึงที่เราอยู่กับตัวเราเอง

มันได้บอกอะไรในตัวเรา ได้โดยไม่ต้องให้คนอื่นบอก ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ถ้าไม่หน้ามืดตามัวก็น่าจะรู้ว่า เหตุการณ์ต่อไปที่เกิดขึ้นมันจะเป็นอย่างไร

ตั้งแต่หลายปีก่อน จนถึงวันนี้ ผมยอมรับเรื่องราวต่างๆ ได้ดีมากขึ้น มากเพียงพอที่จะรับมือและยอมรับ ถ้าหากเหตุการณ์เดิมๆ จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้งนึง และแน่นอน มันเกิดขึ้นจริงๆ และหลายๆ ครั้งด้วย เจอแรกๆ ก็ยอมรับมันได้ยาก แต่พอเริ่มเจอบ่อยๆ เข้าก็เริ่มเข้าใจคำว่า “ชินชา” เข้าใจคำว่า “ตายด้าน”

ไม่โทษชะตา ไม่โทษใคร แต่คิดว่ามันคือจังหว่ะชีวิตที่แตกต่างของแต่ละคนที่ต้องเดินไปมากกว่า

บางครั้งก็มานั่งคิดว่า เราเจอเหตุการณ์ที่ซ้ำรอยเดิมๆ บ่อยครั้ง แต่ก็ยังคงยอมรับตัวเองได้ว่าเราโง่ หรือจริงๆ แล้วเราไม่โง่ แต่ที่มันยังคงเกิดขึ้นกับตัวเราเอง แต่เพียงเพราะเราพลาดในสภาพเหตุการณ์แวดล้อมที่แตกต่าง แต่แนวทางเหมือนเดิมต่างหาก

สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างทำให้เรามองอะไรแตกต่างไป แม้ว่าจริงๆ แล้วเนื้อแท้คือสิ่งเดียวกัน ช่างน่าเศร้าที่เรายังคงวนเวียนแบบนั้น

เรื่องราวของ April Fool’s Day ที่ดันเล่นอะไรไม่คิด!

5 อันดับ มุกควายของ April Fool’s Day …

  1. มีแฟนแล้ว (แต่งงาน)
  2. ขอเป็นแฟน
  3. เราเลิกกัน (หย่า)
  4. ตายแล้ว
  5. หนูท้อง

มุขส่วนใหญ่เป็นมุขที่เข้าใจง่าย เรียบง่ายและเข้าถึงได้ทันที แม้วันนี้จะโกหก แต่ถ้าเล่นว่า “เราเลิกกันเหอะ” หรือ “ตายแล้ว” ผมเรียกว่า “เล่นโง่ๆ” มุขเยอะแยะไม่เล่น เล่นอะไรเป็นลาง ระวังเจอ “โอเคจัดให้” หรือ “เป็นจริง” แล้วจะร้องไม่ออก!

แล้วเมื่อกี้นี้เพื่อนโดนไปแล้วดอกนึง ไปเล่นมุข “เราเลิกกันเหอะ” โดนนน ผู้หญิง “เออ เลิกก็เลิก กูเบื่อเมิงเหมือนกัน” แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์เลย หึๆๆ งานเข้าไป

จะเล่นอะไรก็ดูๆ สักหน่อยว่าเค้ารับมุขเราไหม รับทันหรือเปล่า เพราะเป็นมุขที่สุ่มเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดสูงมากๆ และถ้าจะเล่นควรเล่นต่อหน้า ไม่ควรเล่นผ่านโทรศัพท์หรือ Social Network เพราะตัวหนังสือและเสียงไม่ได้แสดงสีหน้าและท่าทางที่สื่ออารมณ์ชัดว่าเล่นจริงหรือหยอกเล่น

งานนี้เป็นบทเรียนสำหรับหลายๆ คนที่เล่นไม่คิด ไม่ถูกที่ถูกทาง

อีกอย่างนะครับ เล่นอะไรขอสักนิด

มาตรา 14(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน … ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เล่นอะไรที่แรงๆ ระดับกระทบคนส่วนใหญ่ก็ระวังไปด้วยเช่นกัน

เราจับดินสอและวาดสิ่งที่เราคิดบนกระดาษครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

มานั่งๆ ดูรอบๆ ตัวทั้ง iPad, Galaxy Tab, iPod Touch, iPhone 4, BlackBerry ฯลฯ ที่เป็นเครื่องมือเข้าหาสื่อต่างทั้งสิ่งพิมพ์, ภาพ, เสียง, วิดีโอ และการเชื่อมต่อกับคนบนโลกผ่าน Social Network ต่างๆ มันมีแต่ข้อมูล ข่าวสาร ประดังประเดเข้ามามากมายจนรู้สึกได้ว่าเรานั่งเสพติดมันอย่างมากมายจนบางครั้งก็อยากจะอ้วกมันออกมา และสุดท้ายผมก็ได้ลองอยู่อย่างไร้การติดต่อสื่อสารบ้าง

แน่นอนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาได้ลองทำดู 2 วันคือพยายามไม่เตะต้อง Social Network และการติดต่อสื่อสารที่ทำให้เราเสพติดมากไป ผลที่ได้คือชีวิตที่เคยเป็นชีวิตเมื่อหลายปีก่อนได้กลับคืนมา มีเวลาคิดโน้นนี่นั้นเพิ่มขึ้น มีเวลาให้กับความคิดของตัวเองในการทบทวนสิ่งต่างๆ เพิ่มมากขึ้น สติและสมาธิดีขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง สนใจตัวเองเพิ่มขึ้น มองรอบๆ ตัวมากขึ้น

เมื่อได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ใส่ใจกับสิ่งรอบๆ ตัวเพิ่มขึ้น มันทำให้เรามีเวลาในการสรรสร้างงานต่างๆ ได้ดีมากขึ้น เพราะสมาธิในการทำงานต่างๆ นั้นดีขึ้นจริงๆ

เพราะอย่างที่บอกไป ต่อให้ผมพกอุปกรณ์เพื่อเสพข้อมูลข่าวสารมากมายแค่ไหน พอเราคิดอะไรใหม่ๆ ดีๆ ได้ ผมมักจะจบลงที่อุปกรณ์ที่หลายคน หลายสำนักบอกว่ามันกำลังจะตายอย่าง สมุด ดินสอ และยางลบอยู่ดี มันได้แนวคิดและวิธีในการสรรสร้างงานที่รู้เลยว่า เออ มันต้องแบบนี้แหละ เหมือนคนที่จะวาดภาพ ยังไงก็คงต้องไปใช้ปากกาหรืออะไรที่ทำให้การขีดเขียนที่คุ้นมือ บางคนอาจจะใช้ถ่านไม้เพื่อสรรสร้างงานที่คุ้นเคย ได้ปลดปล่อยงานต่างๆ ได้ดั่งใจก็ได้มั้ง

ทุกวันนี้ก็ยังพกสมุด ดินสอและยางลบอยู่เสมอ เพราะมันเอาขึ้นมาวาดๆๆ ลบๆๆ แล้วก็ฉีกส่งให้ได้ทันที มันได้ความรู้สึกจับต้องและสะดวกสบายกว่าได้ความละเมียดในการขีดเขียน ที่ทำยังไงให้สื่อความหมายกับอีกคนได้ เพราะการลบๆ ฆ่าๆ มันทำได้ยากกว่า มันจึงต้องบรรจงกว่า ใช้ความละเอียดกว่า สิ่งนี้แหละที่ฝึกให้เราไม่มักง่าย คิดง่าย ทิ้งขว้างอะไรง่ายๆ

สุดท้ายจากการนั่งทบทวนที่ได้บางไปแล้วนั้น ก็คงต้องมานั่งถามตัวเองกันแล้วมั้งว่า “เราจับดินสอและวาดสิ่งที่เราคิดบนกระดาษครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”

ทวีตเกี่ยวกับงานมอเตอร์โชว์ช่วงเช้านี้ทั้งหมด

ไม่ได้เป็นโน๊ตแก้ต่าง แต่เป็นโน๊ตระบาย ขอพูดบ้าง

ส่วนตัวก็ไปถ่ายงานมอเตอร์โชว์ (แน่นอนหลักฐานเต็ม Flickr) แต่ไม่ถูกต้องที่ออกมาประนามตากล้องแบบเหมารวมและหลายอย่าง "เว่อร์เกินไป"

การแสดงโชว์บรรยายของพริตตี้ เขามีความประสงค์เพื่อโชว์ และเมื่อใครก็ไม่ควรขึ้นเวที ในเวลานั้น การจะขึ้นไปยืนคุยกับ เซล ในเวลานั้นบนเวที ถ้าเป็นจริงจึงเป็นข้อมูลที่ "เว่อร์เกินไป"

ขอยกตัวอย่าง “การท่องเที่ยวที่อื่นๆ” กล้าพูดได้เต็มปากว่า สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ที่พวกคุณไปเที่ยวกันนั้น ล้วนมาจากแรงจูงใจ ที่ช่างภาพ ไปถ่ายภาพมา โดยภาพที่ถ่ายมาแล่้วเอามาลงในเว็บ ในนิตยสาร และตามที่ต่างๆ ทำให้คนอยากไปเที่ยว พอคนไปเที่ยวมาก ตากล้อง กลายเป็นของเกะกะ ไปแทน

งานมอเตอร์โชว์ ที่คนพูดถึงกันมากมาจากการประชาสัมพันธ์ คือคนจัดงาน เน้น พริตตี้ เพื่อให้คนมาถ่ายภาพ ไปทำการประชาสัมพันธ์ แบบบอกต่อ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ซึ่งหัดถ่ายภาพกันใหม่ๆ ก็อาศัยกระแสนี้ เพื่อไปหัดลองฝีมือ ผลพลอยได้คือ เป็นการประชาสัมพันธ์งานไปในตัว และสุดท้ายก็เหมือนเดิม ตากล้อง กลายเป็นของเกะกะ ไปตามระเบียบ

ส่วนตัวแล้วนั้นไปเป็นผู้ช่วยทริปถ่ายรูปบ่อยๆ ไม่ว่าจะถ่ายภาพนางแบบในชุดไทย ชุดเต็มตัว หรือชุดพริตตี้ ทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าจะไปบังคนอยู่ข้างหลังครับ ต้องบอกให้คนถือกล้องแถวหน้านั่งลง เพราะบังกัน ตรงนี้จึงเป็นที่รู้กันว่า คนแถวหน้าต้องนั่งลง การที่คนแถวหน้านั่งลง จึงกลายเป็นภาพที่ มองแล้ว กลายเป็นตากล้องหื่น เพราะที่จริง ชุดที่พริตตี้ใส่มานั้น ไม่ต้องนั่งถ่าย ก็หวิวอยู่แล้ว

การที่โดนกระแทก โดนเลนส์นั้น ถือว่า คนหมู่มาก ก็มีกระทบกันมั่ง เหมือนกับ มหกรรมทั่วไป ขนาดผมถ่ายงานที่ได้รับมอบหมายอย่างชัดเจนจากเจ้าหน้าที่หรือเจ้าของงานอยู่บ่อยครั้ง ยังมีกระทบกระทั่งอยู่บ้าง (ป้ายห้อยคอชัดเจนว่าเป็น Staff หรือ All Area) แต่แน่นอนว่างานมันมีคนเบียดเสียดยัดเยียดกระทบกัน บางครั้งหนักนิดเบาหน่อย ขอกัน เตือนกันได้ ยิ่งพวกเลนส์โตๆ นั่น ของรักของหวง เขาไม่อยากให้ไปกระทบกับอะไรอยู่แล้ว (บางตัวแพงกว่าค่าดาวน์รถในงานอีก)

อีกอย่างคือ ผมก็เห็นภาพชุดพริตตี้ ที่เอามาโชว์กันในบอร์ดต่างๆ ส่วนใหญ่ “ก็ไม่มีลักษณะ ภาพของ ตากล้องหื่น ตากล้องบ้ากาม” เหมารวมที่เค้าถ่ายกันดีๆ ดูจะเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อย

ส่วนตากล้องเองนั้น เมื่อจำนวณเยอะขึ้น คนมากขึ้นเราก็ควรเกรงใจเค้าก่อน เหมือนรถมอเตอร์ไซต์ 2-3 คันขี่กันมาก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นหลักสิบ หลักร้อยก็กลายเป็นขี่กวนเมืองได้ ก็ควรจะระวังและใส่ใจในส่วนนี้ให้มากขึ้น คงไม่ต้องให้เค้ามาเกรงใจเราก่อนหรอก ถ่ายรูปในงานต่างๆ ก็เดินให้มันระวังๆ หน่อย ไม่ใช่อยากเดินตรงไหนก็เดิน ชนใครก็ชน เค้าจะมาด่าเราในเน็ตอีกเรื่อยๆ เห็นทุกปี ก็โต้ไปโต้มาทุกปี อ่านแล้วก็เซง ไอ้เราก็ถ่ายรูปทำตัวเนียนๆ ยังโดนด่าเหมารวมลับหลังทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปเหยียบเท้าใคร เอาเลนส์ไปกระแทกหัวใคร หรือไปเดินเบียดใครให้เค้าต้องมาบ่น แต่ก็โดนเพราะ "ตากล้องเลนส์ยาวๆ" อ่านก็ได้แต่เซง (ก็ผมใช้ 80-200mm f/2.8 นี่ มันก็โดนผมด้วย!!!)

สำหรับคนที่จะไปซื้อรถ แต่ถ้าตั้งใจซื้อรถจริงๆ ส่วนใหญ่แล้ว เซลจะเชิญคุณไปคุยที่โต๊ะรับรองลูกค้าด้านใน ซึ่งแยกต่างหากชัดเจน มีขนม น้ำ ให้กินเล่น ไม่ต้องยืนคุยกันข้างรถโชว์เลยครับ ถ้าต้องการดูโน้นนี่ในตัวรถอาจจะไปดูที่รถโชว์ได้ แต่ต้องดูจังหว่ะ ว่าไม่ชนกับเวลาโชว์ของบูทเค้า ซึ่งถ้าดันไปอยู่ในจังหวะนั้น เดินดูรถก็จะถูก เจ้าหน้าที่หรือเซลของบูทเชิญออกมายืนรอบนอก หรือไปที่โต๊ะรับลองอยู่ดี (ตากล้องก็ไม่เว้น) เพราะงั้นก็ต้องเข้าใจเค้าด้วย ไม่ใช่จะตามใจฉันอย่างเดียว

โดยแต่ละบูทในงานมอเตอร์โชว์นั้น รอบพรีเซ้นจะใช้เวลา 10-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมงอยู่แล้ว มีป้ายบอกชัดเจน ระหว่างนั้นถ้าไม่อยากโดนเบียดก็คงต้องเลี่ยงๆ เอาครับ งานคนเยอะ สถานที่แต่ละบูทมีจำกัด เวลาแต่ละช่วงของการพรีเซ้นของเค้าก็จำกัดและมีค่าเช่นกัน เพราะงั้นต้องหูไวตาไว

ถ้าทุกคนถ้อยอาศัย กัน เกรงใจกัน ก็คิดว่าปัญหามันคงไม่เกิด แต่เพราะต่างคนต่างอ้างว่าตัวเองมีสิทธิ์เหนืออีกคนทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ก็ยืนอยู่ในฐานะเดียวกันในเวลานั้น คนถือกล้องบางคนก็อาจจะกำลังดูรถหรือยี่ห้อนั้นๆ ที่กำลังจะซื้ออยู่ก็ได้

ทวีตเกี่ยวกับงานมอเตอร์โชว์ช่วงเช้านี้ทั้งหมด ข้อความบ้างส่วนอ้างอิงแนวคิดและวิธีคิดของ น้ามังกรดำ ด้วย