บันทึก Thailand Mobile Expo 2013

เมื่อวานกับวันนี้พาคุณแฟนไปลองและซื้อมือถือ Motorola RAZR MAXX ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะเป็นเครื่องท้ายๆ ของงานแล้ว (ณ วันที่ 10 ก.พ. 2556) ด้วยราคาที่ถือว่าไม่แพงมากที่ 11,900 บาท ของแถมที่ได้คือ Power Bank 3,000mAh (แถมมาทำไม มือถือพี่ก็แบต 3,300mAh แล้วนะ) แถม smalltalk Bluetooth มาให้ด้วย (จริงๆ แถม micro SD แต่ของหมดเลยแถมตัวนี้แทน) ซึ่งโดยรวมคุณแฟนบอกว่าไม่ได้ใช้ทั้ง power bank กับ smalltalk ที่แถมมาให้อยู่แล้ว เลยกะขายออกไปแทน สรุปก็น่าจะได้มือถือรุ่นนี้มาในราคาที่ถูกลงไปอีก

WP_20130210_002 

มือถือ RAZR MAXX เป็นมือถือที่เน้นแบตที่ใช้ได้ยาวนานเป็นพิเศษและน่าจะมากที่สุดในตลาดแล้วมั้ง แน่นอนว่า smartphone ในปัจจุบัน ผมเห็นว่าควรปรับปรุงเรื่องแบตที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้นมากกว่าอัดความบ้าพลังแต่ไม่ได้ใช้ หรืออัดมาแล้วใช้งานได้ไม่นานแล้วก็วิ่งหาที่ชาร์จแบตกันได้แล้ว การจะเพิ่มความจุแบต (ที่แก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีเหตุผลมากสุด) หรือใช้วัสดุที่กินไฟน้อยลง (ลงทุนเยอะขึ้น ราคาแพงและเห็นผลช้ากว่า) ก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่จะเห็นมือถือแนวๆ นี้ออกมาเยอะๆ

ซึ่งแน่นอนว่า RAZR MAXX นั้นมาพร้อมกับจอภาพ Super AMOLED ขนาด 4.3 นิ้ว 540 x 960 pixels (~256 ppi) ก็ยังสวยงามดี กล้องหลัง 8 ล้าน กล้องหน้า 1.3 ล้าน เป็นอดีต flagship ที่น่าใช้ตัวหนึ่งในตลาดเครื่องราคาถูกตอนนี้เลย คุณแฟนบอกว่าไม่ซื้อมือถือราคาแพงเกิน 13,000 บาทแล้ว คล้ายๆ ผมที่ตั้งธงว่าจะไม่ซื้อเกิน 15,000 บาท (แต่ Lumia 920 นี่มันอะไรวะครับ)

คำแนะนำหลังจากไปงานนี้สักนิดคือ ซื้อมือถือในงาน TME แนะนำว่าให้ดูเรื่องของแถมและโปรด้านการผ่อน 0% เป็นสำคัญนะ เพราะถ้าไม่เน้นพวกนี้ ก็ซื้อหลังงานก็ได้นะ (เผลอๆ หลังงานพี่ลดราคาหักหลังคนซื้อก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ) แต่ถ้าอยากไปเดินดูของใหม่ ก็พอไหวนะ แต่นานๆ จะมีแบบนี้มาสักที อย่างที่ไปดูมาก็ BB Z10 ส่วนตัวก็ดีนะ ได้สัมผัสของใหม่ (แม้จะงงๆ กับการใช้อยู่สักพัก) แต่ถ้ากะไปงานแบบนี้แนวเดินชิลๆ แนะนำว่าอย่าไปครับ คนเยอะมากพาลหงุดหงิดเปล่าๆ งานนี้เหมาะกับคนตั้งมั่นว่าอยากได้มือถือ หรือต้องการเลือกครั้งสุดท้าย ในการเปรียบเทียบที่เดียวแล้วซื้อเลยมากกว่า

สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวในด้านคุณสมบัติของมือถือในปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามือถือมันจะทำมาบางๆ ออกมาทำไม ผมยังหาข้อดีของมันไม่เจอว่าบางมากๆ ระดับที่ว่าใช้ได้แต่ port microUSB ตัด 3.5mm headphone ออก ใส่แบตมาให้จำนวนพอใช้งานได้แบบมึนๆ คือบางและเบา เพราะลดแบตให้น้อยลง มันก็ไม่ใช่เรื่อง แต่สุดท้ายต้องพก mobile booster มาอีกตัวว่ามันดีจริงๆ เหรอ?

แต่ก็ไม่แน่นะ มือถือบางๆ อาจจะสร้างความฟินให้คนใช้ ออกแนวบางเหมือนไม่ใส่อะไรเลยแบบนั้น

แต่ส่วนตัวผม ผมมาลองคิดดูว่าถ้าชีวิตเรามันต้องใช้ของที่ตัดออกไป แต่ต้องไปหาหัวแปลง หรือใช้งานได้อย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาเดียวกัน แถมทำบางๆ แล้วมันจับไม่ถนัดมือ ผมก็ขอบาย ซื้อตัวอื่นดีกว่าครับ

อดทนได้แค่ไหน?

ในอีกมุมหนึ่งสำหรับคนที่ดู Zero Dark Thirty มาแล้ว อยากบอกว่า คนดูหนังหรือตัวเดินเรื่องชื่อ “มายา” ซึ่งเป็นชื่อจริงของเจ้าหน้าที่ในเรื่องและโลกความเป็นจริง (มั้ง) จะแน่กว่ากันในการตามหาบินลาเดน แน่นอนว่าคนดูมากมายยอมแพ้และเดินออกไปจากโรง บ้างก็นอนหลับเพราะเบื่อ

ผมมานั่งคิดว่าคนดูใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการตามหาแล้วได้ฟินกับตอนท้ายใน 30 นาทีที่ถือว่าทำได้ตามเนื้อผ้า แต่มายาใช้เวลาถึง 10 ปีในการตามหา แน่นอนว่าเนื้อหา วิธีคิดบางอย่างดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง คงเพราะอย่าลืมว่าเป็นภารกิจที่ลับสุดยอด ใช้คนมากมาย กับงบประมาณประเทศหลายหมื่นล้านที่เป็นความลับ ขนาดเครื่องบินที่บินเข้าไปจนทุกวันนี้ยังไม่มีใครเห็นหน้าตาที่แท้จริงเลย แต่บางคนแค่นั่ง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ทนไม่ได้แล้ว แต่ส่วนตัวก็ถือว่าดำเนินเรื่องประติดประต่อดีบนพื้นฐานที่ว่าไม่รู้อะไรเลยในการเขียนบทในขั้นต้น

ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเป็นเราหล่ะ เราต้องทำงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน โดนทำลายสิ่งที่ยึดมั่นว่าใช่กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บอกตรงๆ ว่า ลองคิดถึงในมุมคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นว่าต้องโดนแรงต้านขนาดไหน แล้วก็ย้อนกลับมานึกว่า ถ้าเป็นเราที่ต้องไปทำงานที่ไม่รู้จะไปทางไหน อยู่ตรงไหน และจะตายเมื่อไหร่ เราจะทำได้นานขนาดนั้นไหมนะ

บ่นๆๆ กับการเขียน blog รีวิวสินค้าของตัวเอง และถ้าออกข่าวว่าจะขายของ ก็ควรมีของขายให้เร็วที่สุด!

ในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา ไปงาน blogger หลายๆ ยี่ห้อ ได้ของมารีวิวก็เยอะ เขียนขึ้นบ้าง ไม่ได้เขียนบ้าง ซึ่งบางตัวไม่เขียนนี่ก็เยอะนะ

คือบางครั้งเราก็ไม่รู้จะเขียนอะไร ด้วยเหตุผลว่า มันไม่มีอะไรใหม่จากตัวเก่าเท่าไหร่ หรือไม่รู้จะเล่าอะไรให้ต่างจากคนอื่นๆ ที่เค้าได้ไปก่อนหน้านี้แล้วก็เขียนไปหมดแล้ว คือจะบอกว่าลงๆๆ แล้วบอกไปอ่านต่อที่โน้นที่นี่ ผมเห็นตรงกับคนนั้น แม่มก็ดูจะยืมมือคนอื่นมากไป สรุปก็ไม่ได้เขียน ><”

เอะ! เดี่ยวนะ เขียนแบบนี้เค้าก็ไม่เชิญไปหรอก เออ นั้นดิ ก็ไม่รู้ดิคือจะให้เรามานั่งปั้นเรื่องให้ดูสวยงามมันก็ใช่ที่ เค้าอ่านรีวิวเราเพราะเราเขียนในแนวของเรา บางอันดองกับข้ามเดือนเยอะแยะไป คือบางครั้งเราก็เขียนมันออกไปผิดเยอะ แล้วก็ต้องกลับมาแก้ก็มี บางครั้งเขียนแล้วจาก draft แล้วก็มาโละทิ้งใหม่ก็มี เพราะมันลำดับความห่วยแตกก็มาก คือรีวิวบางอันเขียน 3-4 รอบแล้วไม่เอา ติสแตก ลบๆๆ เขียนใหม่ก็หลายตัว บางตัวที่ไม่ได้ลงเพราะหมดแรง เขียนใหม่รอบที่ 3-4-5 ก็เยอะนะ ฮาๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้เวลาเขียนรีวิวจบแล้วคือ “สินค้าที่รีวิวขายเมื่อไหร่ ราคาเท่าไหร่” อืมมมม นี่แหละที่ผมเจอ เจอประจำ เจอตลอด บางคนอ่านแล้ว “อยากได้ ซื้อที่ไหน ราคาแพงไหม อยากลองเล่นมีที่ไหนให้เลน” ก็เยอะ บางตัวผมเขียนรีวิวช้ามากๆ กว่าจะขึ้นเป็นหลักเดือน แต่ของเพิ่งได้ขายก็มี (บาวตัวขายจนหมดช่วงชีวิตสินค้านั้นๆ ยังหาซื้อยากหรือไม่ได้เลยก็มี) ลองคิดดูว่าถ้าเขียนเร็ว แล้วลูกค้าเห็นแล้วกิเลสมาอยากได้ แต่มันไม่มีของ แต่อีกยี่ห้อก็มาไล่ๆ กัน อ่านรีวิวแล้วของมีเลย อันไหนมันเพิ่มโอกาสการขายมากกว่ากัน

ส่วนตัวเชื่อว่า ความอยากของคนในปัจจุบันมันฉายฉวยขึ้นเยอะ เพราะฉะนั้นใช้โอกาสตรงนี้ทำให้ยอดขายมันเพิ่มขึ้นจากความไวของการขายสินค้าจะทำให้ได้เปรียบมากกว่ามานั่งทำให้คนซื้ออยากจนเบื่อแบบบรอกันไร้จุดหมาย จนความอยากหมด มันเหมือนคนหิวจนเลิกหิวอะไรแบบนั้น

สิ่งที่คนทำตลาดและขายสินค้าในปีนี้ต้องทำการบ้านคือ ข่าวสินค้าเปิดตัวออกมาแล้ว ก็ควรจะมีของขายในเกือบจะทันที หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็ควรจะบอกไปเลยว่าขายวันไหนเมื่อไหร่ ช่องทางขายมีที่ไหนบ้างอย่างชัดเจน ปักมันเลย แล้วทำให้ได้ตามนั้น ส่วนราคาอาจจะคาดการณ์ช่วงแทนบอกราคาแบบตรงตัว ถ้าคิดว่ามันทำให้คู่แข่งปรับตัวเลขราคาสู้ ไม่งั้นเงินในกระเป๋าคนซื้อมันจะไปซื้อยี่ห้ออื่นที่แน่นอนในด้านเวลาและการโฆษณาที่มากกว่าแทน และถ้าเลื่อนขายก็บอกไปเลยว่าเลื่อนขายไปเมื่อไหร่ แต่ไม่ควรเลื่อนบ่อยๆ ไม่งั้นจะโดดด่าแทน คือต้องพูดกันตรงๆ ไปว่าคุณไม่ใช่ยี่ห้อผลไม้ที่ใครจะมานั่งรอ (ถึงแม้หลายๆ คนเลิกเป็นสาวกค่ายนี้ไปแล้ว) คือคุณไม่ได้เป็นยี่ห้อที่คนมานั่งรอกันครึ่งปีหรือเป็นปีเพื่อสินค้าตัวใหม่ที่จะออก เพราะฉะนั้นก็ควรทำให้มันได้เปรียบในด้านอื่นๆ แทนมากกว่านะ

วิธีคิดส่วนตัวเวลาแนะนำสินค้าให้เพื่อนๆ

อันนี้เป็นความคิดเห็นที่ได้ตอบใน Facebook ส่วนตัว แต่คิดว่าเอามา Note ไว้สักหน่อยก็ดี อาจเอาไปปรับใช้กับคนอื่นๆ ได้ดีนะ

บางครั้งจะแนะนำสินค้าอะไรให้ใครใช้ บางครั้งก็ต้องรู้จักนิสัย ความรู้เชิงเทคนิคหรือวิธีใช้สินค้าตัวเก่าๆ ของเค้าก่อนว่าเค้ามีประสบการณ์อะไรมาบ้างก่อนแนะนำ ไม่งั้นมันทำตัวเหมือน Sale ขายของ แนะนำดะ ไร้การแนะนำที่ดีเหมาะสมกับชีวิตคนของที่เรากำลังแนะนำสินค้าไปให้นะ

บางคนผมก็แนะนำ iPhone, Macbook, Galaxy S3 หรืออย่าง Galaxy Note 2 คือบางครั้งบางคนเค้ามีวิธีคิดไม่เหมือนเรา ก็แนะนำไปตามความเหมาะ แม้หลายๆ ตัวที่แนะนำไปแล้ว ส่วนตัวจะด่าๆ อยู่บ่อยๆ ว่ามันห่วย มันไม่ดียังไง แต่นั้นมันอาจจะเป็นเครื่องที่เหมาะกับเค้าก็ได้ เพราะเรื่องที่เราบอกว่าห่วย มันไม่ดี มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เอามาตัดสินใจในการเลือกซื้อก็ได้ เช่นเค้าอาจจะไม่ได้ใช้คุณสมบัตินั้นๆ หรือเค้ายอมรับได้ในเรื่องนั้นๆ

พอ ได้ตัวเลือกให้เค้าแล้ว ผมก็ไล่ให้ไปจับที่ร้านต่อไป เพราะตัวหนังสือในกระดาษมันแค่ภาพที่วาดไว้ให้ดูดี มันต้องไปจับที่ร้าน ไปลองเล่นว่ายอมรับได้ไหมอีกรอบ เหมือนเป็นการเช็คความพร้อมก่อนลงมือซื้อใช้อย่างจริงจัง การซื้อสินค้าใดๆ อย่าซื้อเพราะความฉาบฉวย ลองให้ มาก เล่นให้เยอะ ดูรีวิวต่างๆ สักหน่อย ยิ่งเป็นวิดีโอได้ยิ่งดี เพราะเราจะเห็นส่วนที่มันเคลื่อนไหวในการใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ดูว่ามันใช้งานอย่างไร แล้วไปลองใช้ที่ร้านค้าใกล้ๆ บ้านลองเล่นดู ส่วนว่าจะซื้อที่ไหนมันอีกเรื่อง

ความเร็วที่แท้จริงของ 3G ที่หลายคนอาจยังไม่รู้เวลาใช้งานจริง

ผมเขียนไว้ใน Facebook มาก่อนประมูลแล้วแหละ แต่ลืมเอามาลง blog ซะอย่างนั้น ><”

สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ 3G ความเร็ว 7.2Mbps, 21Mbps หรือ 42Mbps มันคือความเร็วที่บอกว่า ช่วงคลื่นความถึ่ขนาด 5Mhz (ความถี่ให้บริการ 1 slot หรือ channel) สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 1 การเชื่อมต่อ หรือคิดง่ายๆ คือ 1 คน

เพราะฉะนั้น การประมูล 15Mhz ก็คือมีคนใช้งานได้เต็ม speed อยู่ 3 คน แต่ในความเป็นจริง ช่องสัญญาณ์ 5Mhz นี้เราไม่ได้ใช้คนเดียว แต่ทุกๆ คนในเครือข่ายที่เราใช้บริการอยู่ก็ใช้งานกันอยู่เช่นกัน

เพราะฉะนั้นช่วงคลื่นความถี่มันมีจำกัดแค่ 15Mhz นั้นหมายความว่าอยากได้ความเร็วเต็มๆ ตามที่บอกในตอนแรกก็คือมีคนใช้งานในบริเวณนั้น 3 คน!!! แต่มันไม่ใช่ คนใช้กันเป็นร้อยหรือหลายร้อย เพราะฉะนั้น การกำหนดให้ผู้ใช้งานต้องสามารถใช้ งานได้อย่างน้อยที่ความเร็ว 345kbps นั้น จึงเป็นเรื่องที่รับได้ (จริงๆ น้อยกว่านี้ก็ได้นะ 256kbps อะไรแบบนั้น) นั้นจะทำให้ 5Mhz มีคนใช้งานได้ประมาณ 60 คน (ที่ 42Mbps) หรือถ้าบริษัทที่ประมูลได้มากสุดที่ 15Mhz ก็คือรองรับได้ที่ความเร็วขั้นต่ำได้เกือบ 180 คนในบริเวณเดียวกัน

แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโดยทั่วไป 15Mhz จึงเพียงพอในปัจจุบัน (ใช้งานแบบสลับไปสลับมาก็อาจทำให้รองรับคนได้ 500 คนในพื้นที่เดียวกัน)

นี่คือเหตุผลว่าทำไม 3G ตอนนี้ในแต่ละค่ายจึงมีความเร็วไม่เท่ากัน (ใครมีช่องสัญญาณเหลือของ 2G พอก็มาแบ่งใช้) แต่จากที่ทราบบริษัทที่มีช่องสัญญาณน้อยสุดคือ AIS ที่ 5Mhz และ TOT 3G นั้นมีมากสุดที่ 15Mhz นะ (ไม่รู้ว่าใช่ไหม ฟังผ่านๆ มา เอามายกตัวอย่าง)

เมื่อมันเป็นแบบนี้แล้วทรัยากรมันมีจำกัด ใช้งานร่วมกัน จึงเกิดการให้บริการแบบ Fair use policy คือใครใช้งานมากก็จ่ายมาก โหลดเยอะก็จ่ายเยอะอะไรแบบนั้น (เพราะความเร็วมันเร็วอยู่แล้ว โหลดแป็บๆ ก็หมดแล้ว) เพราะฉะนั้นจึงสมเหตุสมผลในเรื่องของการใช้งานร่วมกัน คิดง่ายๆ ว่าใช้งานอินเตอร์เน็ตตามหอพักที่เป็นแบบแชร์กันทั้งอาคารที่ความเร็วนึง ใครโหลดบ้าระหร่ำมาก ใช้เต็มที่ก็ให้จ่ายเยอะไปแทน เพื่อจะได้ไม่ควบคุมพฤติกรรมการใช้ของตัวเองอะไรแบบนั้น

จากที่อธิบายมาทั้งหมด จะเห็นว่า เราจะใช้ 3G แทนที่ ADSL หรือบริการแบบสายไม่ได้ 100% แน่นอน แต่ช่วยให้การใช้งานนั้นเร็วมากขึ้น มี delay time (latency) ที่น้อย ทำให้สื่อสารด้วยภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหวได้สะดวกมากขึ้นนั้นเอง