ประวัติคอมพิวเตอร์ และวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

  • [ ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ] ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการคำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ( Abacus)


ลูกคิด ( Abacus)

  • [ พ.ศ. 2158 ] นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณขึ้นมาเรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน
  • [ พ.ศ.2173 ] วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก
  • [ พ.ศ.2185 ] เบลส์ ปาสคาล ( Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลัการหมุนของฟันเฟือง และการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไปครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด

Pascal’s Calculato

  • [ พ.ศ.2214 ] กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และเขายังค้นพบเลขฐานสอง (Binary number)


กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz )

  • [ พ.ศ.2288 ] โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้า โดยใช้คำสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ


บัตรเจาะรู

  • [ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจ ได้เขียนวิธีการใช้เครื่องคำนวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมา เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก

    Differnce Engine
  • [ พ.ศ.2393 ] ยอร์จ บูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบ พีชคณิตระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะพื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิด จึงนับเป็นรากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer)
  • [ พ.ศ.2480-2481 ] ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์

    Atansoff


    ABC computer


    Berry

  • [ พ.ศ.2487 ] ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสำเร็จ แ ต่อย่างไรก็ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น
  • [ พ.ศ.2485-2495 ] มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศ และควบคุมการทำงานโดยวิธีเจาะชุดคำสั่งลงในบัตรเจาะรู

    ENIAC

  • [ พ.ศ.2492 ] ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้


EDVAC
(first stored program computer)

  • [ พ.ศ.2496-2497 ] บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดยใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้าง ต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้น ต่อมาทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำไปแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงและเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620 )

    หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube)


    ทรานซีสเตอร์ (Transistor)

  • [ พ.ศ.2508 ] วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม ( Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนำไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ซึ่งผลก็คือทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง

    IC
  • [ พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทำการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่ง ไอซีนี้เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor)

    Microprocessor
  • [ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
  • [ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507


ก่อกำเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์

เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจำ(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก
บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทำการว่าจ้างให้ Intel ทำการผลิตชิปไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจำนวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่ โดยสร้างชิปที่ให้ถูกโปรแกรมได้ หมายถึงว่าสามารถนำเอาชุดคำสั่งของการคำนวณไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทำงานภายหลัง
ในปี 1971 Intel ได้นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จำนวน 2250 ตัว และเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิต
หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคำสั่ง 48 คำสั่ง และอ้างหน่วยความจำได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจำได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคำสั่งพื้นฐาน 74 คำสั่งและสามารถอ้างหน่วยความจำได้ 64 Kbyte

ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลก

เมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์ 8800 (Altair) ซึ่งทำออกมาเป็นชุดคิท โดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือ จะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนำไปประกอบขึ้นใช้เอง
บริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตลาดในด้านเครื่องคิดเลข แต่การค้าชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกล คิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขาย ได้ในจำนวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุด จึงให้ทิมงานออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมา ประกาศตัวในปีถัดไป สำหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคำว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิทคอมพิวเตอร์ชุดนี้
ชุดคิทของ อัลแตร์ นี้ประกอบด้วย ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพพลาย มีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพื่อแสดงผล รวมถึงหน่วยความจำ 256 Byte ( แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่มได้ แต่ก็ทำให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียว มีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจำนวนถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียว
ด้วยชิป 8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กำเนิดระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเอง

ถึงยุค Z80
เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน แม้แต่ซีพีเอ็ม ก็ยังถูกปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนำไปใช้ ในการเรียนการสอน ไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Sila เป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาท น่ะจะบอกให้)
Computer เครื่องแรกของ IBM
ในปี 1975 ไอบีเอ็ม ได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจำ 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สำหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ
ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนำเอาจุดเด่นของเครื่อง ที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจำหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอื่น ๆ จับตามอง

กำเนิด แอปเปิ้ล

ในปี 1976 หลังจาก Stephen Wozniak และ Steve Jobs ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) และได้นำเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขายโดยใช้ชื่อว่า Apple I ในราคา 695 เหรียญ บริษัทแอปเปิลได้ผลิตเครื่อง Apple I ออกมาไม่มากนัก ภายในปีเดียวได้ผลิต Apple II ออกมา
และรุ่นนี้เป็นรุ่นเปิดศักราชแห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด


อ้างอิงจาก
http://www.sanambin.com
http://www.wikipedia.com

การแก้ปัญหาและแนวทางป้องกันเมื่อเจอ Worm Blaster

Ref : http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F2412050/F2412050.html
Ref : http://thaicert.nectec.or.th/advisory/alert/blaster.php

  1. แนวทางป้องกันเปิด Firewall ไว้ดีที่สุดไม่โดแน่นอน ไม่ทำให้เน็ตช้าไม่ทำให้ระบบรวนและจะป้องกันได้ครอบคลุมต้องลง AntiVirus และ update ล่าสุดทุกๆ อาทิตย์ด้วย
  2. ถ้าโดนไปแล้วดาวส์โหลด http://securityresponse.symantec.com/avcenter/FixBlast.exe เป็นโปรแกรมตรวจหาเจ้าตัวปัญหานี้ (ใครเคยโดนพวก LoveBug คงจำได้ว่าทำไงนะครับ
  3. พอตรวจหาเจอแล้วให้โหลดตัวแก้ปัญหาทั้งหมดที่และป้องกันอีกที http://download.microsoft.com/download/9/8/b/98bcfad8-afbc-458f-aaee-b7a52a983f01/WindowsXP-KB823980-x86-ENU.exe และทางที่ดีเข้า Windows Update เพื่อทำการปรับปรุงระบบป้องกันใหม่ที่สุดมาลงครับ

แต่ถ้าโดนไปแล้วแล้วมัน Shutdown ตลอดทำไงเรามีวิธีครับ

  1. ถ้ามี ข้อความนี้ขึ้นมา ให้ทำดัง นี้
  2. คลิคที่ปุ่ม start แล้วคลิกที่ Run
  3. พิมพ์ ข้อความ shutdown -a แล้วกดปุ่ม OK
  4. ไปที่ link นี้ http://microsoft.com/downloads/details.aspx?FamilyId=2354406C-C5B6-44AC-9532-3DE40F69C074&displaylang=en
  5. Download file WindowsXP-KB823980-x86-ENU.exe นี้มา
  6. แล้ว ทำการ Run ไฟล์ที่ download มา นานหน่อยนะครับ
  7. เมื่อเสร็จแล้ว reboot เครื่อง อีก 1 ครัง
  8. เหตุการณ์จะปรกติ :-)
  9. หรือถ้าไม่ทำก็มีอีกแบบคือ
  10. กด CTRL+ALT+DELETE แล้วหา MSBLAST.EXE จาก Process List แล้วลบมันซะ
  11. จากนั้นไปที่ c:\windows\system32 หา MSBLAST.EXE แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น BLASTMS.BAK (** เพิ่มเติมสำหรับคนที่แก้ไม่ได้ให้ไปที่
    Run พิมพ์ MsConfig ไปที่ Tap StartUp แล้วหา msblast.exe คลิกเครื่องหมายถูกออกแล้ว Restart เครื่องอีกครั้ง)
  12. แล้วลองมาปลี่ยนหรือลบซะ
  13. จากนั้นเข้าไปที่ c:\windows\perfetch แล้วหา MSBLAST.EXE ลบมันซะ (หรือชื่อคล้ายๆ มังก็ลบทิ้งๆ ไปเลย นามสกุล .pf)

ไวรัสตัวนี้อาจเข้าไปฝังใน Register ซึ่งเราสามารถแก้ได้โดย

  1. ไปที่ Start > Run พิมพ์ regedit
  2. แล้วไปที่ HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Run
    (** หรือสำหรับคนที่เกียดหา ไปที่ Edit เลือก Find แล้วพิมพ์ msblast ลงไป)
  3. ตรงช่องด้านขวาถ้าเจอ "windows auto update"="msblast.exe" ลบแย่จังซะ (ดูด้านซ้ายด้วยก็ได้)
  4. โหลด fixblast ตามลิงค์ที่เจ้าของกระทู้ให้ไว้
  5. โหลด Patch ป้องกันสมบูรณ์แบบ
    1. สำหรับคนที่ไม่มี SP1 (Windows XP Pro ธรรมดา) ไปที่
      http://microsoft.com/downloads/details.aspx?FamilyId=2354406C-C5B6-44AC-9532-3DE40F69C074&displaylang=en
    2. สำหรับคนที่มี SP1 (Windows XP Pro Service Pack 1) ไปที่
      http://download.microsoft.com/download/9/8/b/98bcfad8-afbc-458f-aaee-b7a52a983f01/WindowsXP-KB823980-x86-ENU.exe
      แล้วก็จัดการลง Patch ให้เรียบร้อย

ซอฟต์แวร์และโปรแกรม สองคำนี้มีความหมายต่างหรือเหมือนกัน อย่างไร

ผมได้พบกับคำถามในเว็บบอร์ด pantip.com ที่มีคำตอบที่น่าสนใจครับ

ซอฟต์แวร์และโปรแกรม…สองคำนี้มีความหมายต่างหรือเหมือนกัน ???

ถ้าเหมือน เหมือนอย่างไร และถ้าต่าง ต่างอย่างไร

เรามีคำตอบครับ ………..


ตอบ : ซอฟต์แวร์เป็นคำทั่วไปที่ใช้กล่าวถึงโปรแกรมหลายชนิดที่ใช้ในการสั่งงานคอมพิวเตอร์และ อาจเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์(คำว่าฮาร์ดแวร์ใช้อธิบายถึงคอมพิวเตอร์ในด้านกายภาพและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง)

เราอาจจะนึกถึงซอฟต์แวร์ในแง่ของคอมพิวเตอร์ในส่วนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้(updatable) และฮาร์ดแวร์ในแง่ของคอมพิวเตอร์ในส่วนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซอฟต์แวร์, บ่อยครั้งมีการแบ่งเป็น แอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์(โปรแกรมซึ่งปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้โดยตรง) และ ซอฟต์แวร์ระบบ(ประกอบไปด้วย ระบบปฏิบัติการและโปรแกรมอะไรก็ตามแต่ที่สนับสนุนการทำงานของแอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์) สำหรับคำว่า middleware บางครั้งใช้ในการอธิบายถึงโปรแกรมที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแอปพลิเคชั่นและซอฟต์แวร์ระบบ หรือ ระหว่างแอปพลิเคชั่นต่างชนิดกัน (ยกตัวอย่าง การร้องขอการทำงานระยะไกลจากแอปพลิเคชั่นซึ่งอยู่บนระบบปฏิการชนิดหนึ่งไปสู่แอปพลิเคชั่นซึ่งรันอยู่บนระบบปฏิบัติการอีกชนิดหนึ่ง)

สำหรับกลุ่มของซอฟต์แวร์ไม่สามารถจะจัดเข้ากลุ่มใดๆได้นั้นเรียกว่า ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์(utility) ซึ่งเป็นโปรแกรมขนาดเล็กที่มีประโยชน์ ยูทิลิตี้บางตัวมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ เช่นเดียวกับแอปพลิเคชั่น ยูทิลิตี้สามารถจะติดตั้งได้อย่างอิสระและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการ

ซอฟต์แวร์ยังแบ่งได้อีกหลายชนิดเช่น shareware (ส่วนมากจะต้องซื้อเมื่อครบกำหนดระยะเวลาทดลองใช้), liteware(แชร์แวร์ซึ่งมีการตัดความสามารถบางอย่างออกไป), freeware(ซอฟต์แวร์ฟรีแต่มีการจำกัดสิทธิ), public domain software(ฟรีและไม่มีข้อบังคับ) และ open source(ซอฟต์แวร์ที่มีการแจกจ่ายซอร์สโค้ดและใช้งานได้อย่างไม่จำกัดรวมทั้งสามารถปรับปรุงได้)

แอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ทั่วๆไปมีดังนี้

– ซอฟต์แวร์ผลิตภัณฑ์ เช่น ตัวประมวลผลคำ(word processor), ตารางคำนวณ(spreadsheet) และเครื่องมือที่ใช้กันโดยผู้ใช้ส่วนใหญ่
– ซอฟต์แวร์นำเสนอ(presentation software)
– ซอฟต์แวร์กราฟฟิกส์ สำหรับนักออกแบบกราฟฟิกส์
– ซอฟต์แวร์ช่วยเหลือการออกแบบ CAD/CAM
– แอปพลิเคชั่นทางด้านวิทยาศาสตร์เฉพาะทาง
– ซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรม (ยกตัวอย่างเช่น ธนาคาร, ประกันภัย, ค้าปลีก และอุตสาหกรรมการผลิต)


ในทางคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคือชุดของคำสั่งที่ให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติ ในคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ จอห์น วอน นิวแมนน์ วางรูปแบบเอาไว้เมื่อปี 1945 โปรแกรมประกอบไปด้วยชุดของของสั่งที่ทำงานหนึ่งคำสั่งในหนึ่งหน่วยเวลา โดยทั่วไปโปรแกรมจะเก็บอยู่ในพื้นที่ของหน่วยเก็บข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้โดยคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะดึงคำสั่งมาทีละหนึ่งคำสั่งแล้วประมวลผลและดึงคำสั่งถัดไปมาทำงานเช่นนี้เป็นวงรอบ(cycle) หน่วยเก็บข้อมูลหรือหน่วยความจำสามารถเก็บข้อมูลซึ่งก็คือคำสั่งที่ให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตาม(โปรแกรมคือชุดข้อมูลชนิดพิเศษที่บอกว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับ แอปพลิเคชั่นหรือข้อมูลของผู้ใช้)

โปรแกรมสามารถแบ่งออกเป็นแบบปฏิสัมพันธ์(interactive) หรือชุดคำสั่ง(batch) ในเชิงของการโต้ตอบระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้และความต่อเนื่องในการประมวลผล โปรแกรมแบบปฏิสัมพันธ์จะรับข้อมูลจากผู้ใช้(หรือจากโปรแกรมอื่นที่ทำหน้าที่เสมือนผู้ใช้) โปรแกรมชุดคำสั่ง(batch) จะรันโปรแกรมและทำงานจนกระทั่งชุดของคำสั่งหมดจึงหยุดทำงาน โปรแกรมแบบชุดคำสั่งจะเริ่มทำงานโดยผู้ใช้สั่งให้โปรแกรมรัน ตัวแปลคำสั่ง(command interpreter) หรือเว็บบราวเซอร์เป็นตัวอย่างอย่างของระบบปฏิสัมพันธ์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้พิมพ์ข้อมูลเงินเดือนของพนักงานในบริษัทเป็นตัวอย่างหนึ่งของโปรแกรมชุดคำสั่ง(batch program) งานพิมพ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมชุดคำสั่ง

เมื่อคุณต้องการสร้างโปรแกรม คุณจะต้องเขียนมันโดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ ข้อความในแต่ละประโยคเรียกว่า "source program" จากนั้นคุณจะต้องคอมไพล์ ซอร์สโปรแกรม(ด้วยโปรแกรมพิเศษที่เรียกว่าคอมไพล์เลอร์) และผลลัพธ์ที่ได้จะเรียกว่า object program (อย่าสับสนกับคำว่า object-orieted-programming) มีอีกสองคำที่ใช้เรียก object program ประกอบด้วย object module และ compiled program ภายใน object program จะประกอบไปด้วยชุดข้อความที่เป็นเลข 0 และ 1 เรียกว่า machine language ซึ่งเป็นภาษาที่โปรเซสเซอร์เข้าใจและสามารถสั่งให้โปรเซสเซอร์ประมวลผล

ภาษาเครื่องจักร(machine language) ของคอมพิวเตอร์จะสร้างขึ้นโดยคอมไพล์เลอร์ซึ่งเข้าใจการทำงานของคอมพิวเตอร์, สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์, รวมไปถึงชุดคำสั่งที่เป็นไปได้และความยาวของคำสั่ง(ในหน่วยบิต) ในแต่ละคำสั่งของโปรเซสเซอร์(machine instruction)

ข้อมูลจาก whatis.com


จากข้อมูลข้างต้นอาจจะยากในการทำความเข้าใจ ถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คือ program คือชุดคำสั่งซึ่งถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานอะไรสักอย่าง แต่เมื่อโปรแกรมถูกคอมไพล์แล้วจะกลายเป็น software ทันที ซึ่งซอฟต์แวร์ก็แบ่งเป็น system software และ application software ซึ่งซอฟต์แวร์พวกนี้จะอยู่ในหน่วยความจำหรือหน่วยเก็บข้อมูล ในขณะที่โปรแกรมอยู่ในไฟล์


ทิ้งท้าย …….

คำแปลตามลักษณะของหนังสือคำศัพท์โดยตรงครับ ไว้อ้างอิงครับ

Software = The programs, routines, and symbolic languages that control the functioning of the hardware and direct its operation.

source : The American Heritage® Dictionary of the English Language, Fourth Edition
Copyright © 2000 by Houghton Mifflin Company.
Published by Houghton Mifflin Company. All rights reserved.

Program = A set of coded instructions that enables a machine, especially a computer, to perform a desired sequence of operations.

source : The American Heritage® Dictionary of the English Language, Fourth Edition
Copyright © 2000 by Houghton Mifflin Company.
Published by Houghton Mifflin Company. All rights reserved.

from: dictionary.com

การรักษาสุขภาพกับการใช้คอมพิวเตอร์

        ถ้าพูดถึงเรื่องผลกระทบของการใช้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์ ยุคที่เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น และการพัฒนาของคอมพิวเตอร์นั้น มีความรวดเร็วมาก และมีประสิทธิภาพเทียบเท่า หรือดีกว่าการทำงานของมนุษย์ ซึ่งเห็นได้ว่าในต่างประเทศใช้หุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์ ในอนาคตคาดว่ามนุษย์อาจตกงาน เพราะหุ่นยนต์ทำงานได้ดีกว่า ไม่มีเหนื่อย และไม่เสี่ยงอันตรายเหมือนกับการใช้มนุษย์ ถ้าแบ่งผลกระทบการใช้คอมพิวเตอร์กับมนุษย์ จะแบ่งได้ 2 อย่าง คือ ผลกระทบทางตรง ผลกระทบทางอ้อม

        ผลกระทบทางตรง เริ่มในเรื่องอวัยวะของมนุษย์ สิ่งที่สำคัญในการใช้คอมพิวเตอร์ คือ ตา เมื่อเราใช้คอมพิวเตอร์ไปนานๆ หรือเพ่งจอมากๆจะทำให้รู้สึกว่าปวดตา อาจทำให้สายตามีปัญหา เช่น สายตาสั้น ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นประจำ หรือคนที่เล่นเกม ซึ่งเด็กนักเรียนนักศึกษาเล่นกันมาก บางครั้งการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ถ้าเล่นจนเกินขอบเขต เกินความพอดี อาจเป็นอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีนักศึกษาเล่นเกมจนช็อตตายคาร้านอินเตอร์เน็ต

        การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ เมื่อไหร่จะพักสายตา ตรงนี้อาจจะสังเกตจากตาของเราว่าเมื่อใช้ไปนานๆ จะเริ่มปวดตาควรจะหยุด โดยละสายตามองทางอื่น หรือลุกขึ้นไปเพื่อผ่อนคลายก่อน แล้วจึงลงมานั่งทำงานต่อ อย่าฝืนมากเกินไปอาจจะเป็นผลเสียกับตัวเอง อาจจะมองเห็นเป็นภาพเบลอๆ แต่เป็นอาการชั้วคราว สาเหตุก็เกิดจากรังสีออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาการที่เกิดขึ้นจากการมองจอภาพเป็นเวลานานๆ นี้เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS)

        การเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของสุขภาพ (Health Risks) รศ.นพ.กำจรตติยกวี ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศทางการแพทย์เพื่อประชาชนจุฬาลงกรมหาวิทยาลัย กล่าวว่าอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานอยู่หน้าเครื่องนานๆ ทางการแพทย์เรียกว่า Repetitive Strain Injury หรือ RSI อาการนี้จะเกิดขึ้นจากการที่คนเรานั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น เอามือวางไว้บนคีย์บอร์ด สาเหตุที่ทำให้เกิด RSI นั้น ปกติเราจะวางมือแบบธรรมดา มือของคนเราจะอยู่ในระดับเส้นตรงขนานกับพื้น

        สรุปได้ว่า RSI นั้น สามารถเกิดได้ทุกส่วนของรางกาย ตั้งแต่แขน ข้อมือ ข้อนิ้ว แผ่นหลัง ต้นคอ หัวไหล่และสายตา หากปล่อยไว้นานๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็น แม้ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้พยายามผลิตเครื่องป้องกันอันตรายจากคอมพิวเตอร์ ที่มีผลต่อร่างกาย

        เช่น ทำให้เมาส์มีขนานเหมาะมือ ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นเพื่อสร้างโต๊ะวางคอมพิวเตอร์และเก้าอี้นั่งพิมพ์ให้เหมาะสมกับร่างกาย

        ในเมืองไทยยังไม่มีใครเป็น RSI และเกิดอาการเส้นเอ็นอักเสบจนถึงขั้น ต้องผ่าตัด แต่การผ่าตัดเส้นเอ็นที่พบส่วนใหญ่จะเกิดจากเรื่องของการเล่นกีฬามากกว่า สำหรับ RSI ที่เกิดในประเทศไทยยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่

        ในอเมริกาอาการของโรค RSI เป็นอันดับหนึ่งในส่วนของโรคที่เกิดจากการทำงาน มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ประมาณ 300,000 คน อัตราการเจริญเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ประมาณ 20% พนักงานต้องขาดงานโดยเฉลี่ย 30 วันทำงานต่อปี

        แม้ขณะนี้ RSI จะยังไม่ใช่ปัญหาของสังคมไทยในอนาคตคาดว่าคนไทยจะมีเปอร์เซ็นต์จากอาการเจ็บป่วย เมื่อใช้คอมพิวเตอร์นานๆ มากขึ้นเพระมีการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นนั้นเอง

มาเลือกเครื่องพิมพ์ก่อนนำไปใช้งานกันดีกว่า …. (ฉบับเน้นๆ เครื่องอิงก์เจ็ต)

         อุปกรณ์เอาต์พุตของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่โดยปกตินั้น คงหนีไม่พ้นที่จอภาพกับเครื่องพิมพ์ เพราะถ้าคอมพิวเตอร์ขาดอุปกรณ์เอาต์พุตแล้ว เจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่เกือบจะกลายเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านชิ้นนี้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรเลย

         ในส่วนของเครื่องพิมพ์ หากพิจารณากันแล้ว ในปัจจุบันมีอยู่หลากหลายประเภทด้วยกัน แต่เท่าที่นิยมใช้ในปัจจุบันสำหรับงานระดับโฮมยูส หรือว่าในสำนักงานขนาดเล็กแล้ว มีเพียงแค่ 3 ประเภทเท่านั้น คือ เครื่องเลเซอร์, อิงก์เจ็ต และดอตเมตริกซ์ สำหรับอย่างหลังในปัจจุบันได้ลดความนิยมลงมากทีเดียว เพราะว่าคุณภาพงานที่ได้ไม่ค่อยดีนักแต่ถึงอย่างไร แถมราคาแพงอีกต่างหากแต่ก็ยังมีความต้องการใช้อยู่มากทีเดียวเพราะการทำงานเอกสารในสำนักพิมพ์บางอย่าง เช่นการพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน,ใบส่งสินค้าที่ต้องการหลายๆ ก๊อปปี้ เครื่องดอตเมตริกซ์เป็นเครื่องประเภทเดียวที่รองรับงานประเภทนี้ได้เพราะว่าเป็นชนิดเดี่ยวที่สามารถทำได้ดี แต่ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเครื่องพิมพ์ที่สามารถทำได้ดีกว่านี้อีกก็ได้

ก่อนซื้อต้องดูให้ดีก่อน

         หากว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่จำเป็นต้องเลือกเครื่องพิมพ์มาใช้งาน ณ วันนี้ โดยที่ไม่มีความรู้อะไรมาก่อนเลยนั้น การไปเลือกหาสินค้าที่มาขายคงเป็นเรื่องยากทีเดียว เพราะเครื่องแต่ละแบบก็มีข้อดีแตกต่างกันออกไป และแต่ละแบบก็มีจุดด้อยแตกต่างกันอีกเช่นกันสำหรับเครื่องพิมพ์ในรุ่นในอดีต หลายรุ่นจากหลายๆ ยี่ห้อนั้น มักจะมุ่งเน้นไปที่การใช้งานภายใต้วินโดวส์เป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ไปไหนมาไหนก็มักจะเห็นแต่เครื่องพิมพ์ที่สนับสนุนการใช้งานบนวินโดวส์ อย่างเดี่ยว แต่ในปัจจุบันนั้น ไม่เป็นเช่นนั้น เป็นที่น่ายินดีที่ตอนนี้แทบทุกรุ่นสามารถนำมาใช้ในระบบปฏิบัติการ Linux และ MAC ได้เกือบๆ ทุกรุ่นนั้นคงเป็นเพราะ มาตรฐานของ พอร์ต USB นั้นเองที่ทำให้เราสามารถทำงานได้ข้ามระบบได้ดีขนาดนี้นั้นเอง

         ซึ่งถ้ามองกลับมาดูคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานกันอยู่ในอดีตมาจนตอนนี้นั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น โอเอสที่ใช้กันมากยังคงเป็นวินโดวส์อยู่เช่น เดิมหากแต่มีการใช้โอเอสอื่นกันมากขึ้น อย่างเช่น ลีนุกซ์ เป็นต้น ซึ่งด้วยเหตุผลนี้เองทำให้เครื่องพิมพ์หลายๆ ยี่ห้อจึงต้องออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ได้เช่นกัน หรือในบางรุ่นก็ยังคงสนับสนุนการทำงานบนเครื่องแมคอินทอชอีกด้วย โดยมักจะสนับสนุนการใช้งานผ่านทางพอร์ต USB เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่อาจจะสนับสนุนการใช้งานผ่านทางอื่น เช่น พอร์ตอินฟราเรด ซึ่งดูๆ ไปแล้วในอนาคตอันใกล้นี้การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ผ่านทางพอร์ตอินฟราเรดนั้นดูไม่ค่อยสดใสนัก เพราะเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยสนับสนุนเท่าที่ควร จะมีก็เพียงแค่รุ่นพิเศษเท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้เท่าที่เห็นจะเป็นรุ่นที่เรียกว่า พริ้นเตอร์โฟ้โต้ หรือเครื่องพิมพ์ภาพถ่าย นั้นเอง ซึ่งมีลักษณะและหลักการเดียวกับ อิงก์เจ็ตแต่ว่าทำงานได้เร็วกว่า ทำงานโดยไม่ต้องใช้คอมฯ และรวยกว่ารวมถึงประหยัดหมึกมากกว่าด้วย แต่ราคายังคงแพงอยู่มากเมื่อเทียบกับอิงก์เจ็ตธรรมดา แต่จริงๆก็เป็นขนิดเดียวกันเลยไม่ต้องเรียกแยกออกจากตระกูลอิงก์เจ็ตแต่กระการใด

         แต่ในอนาคตอาจจะคาดการณ์ได้ว่า การใช้เครื่องพิมพ์ผ่านทางพอร์ตอินฟราเรดคงจะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น หากว่ามีการพัฒนาความเร็วให้สูงขึ้น แต่จริงๆ แล้วความสำคัญของพอร์ตอินฟราเรดนั้นเป็นแค่ทางเลือกเท่านั้นเอง ไม่ได้ถือเป็นปัจจัยสำคัญของการทำงานหลักๆ ของเครื่องพิมพ์นั้น ซึ่งรวมถึงเครื่องพิมพ์ที่สามารถรองรับหน่วยความจำอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็น CompactFlash , SmartMedia , Secure Digital , Memory Stick , ฯลฯ

         การที่เราพิจารณาตัดสินใจเลือกเครื่องพิมพ์มาใช้งานนั้น ปัจจัยหลักๆ จะอยู่ที่ว่าเราต้องการนำเครื่องพิมพ์เครื่องนั้นมาทำงานอะไร และทำงานควบคู่กับอะไรบ้าง จากนั้นจึงค่อยมาพิจารณาที่ประสิทธิภาพและราคาของเครื่องพิมพ์กันอีกทีหนึ่ง สำหรับเครื่องพิมพ์ดอตเมตริกซ์นั้นถึงแม้จะได้รับความนิยมลดน้อยลง แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ในการทำงานเอกสารหลายแบบยังคงต้องการเครื่องพิมพ์ประเภทนี้อยู่ ในการพิมพ์บิลต่างๆ สิ่งที่ต้องยอมรับสำหรับเครื่องดอตเมตริกซ์ก็คือเรื่องราคากับคุณภาพที่ไม่ค่อยจะไปทางเดียวกันนัก เพราะราคานั้นยังคงในหลักเกือบหมื่นขึ้นไป แต่คุณภาพงานพิมพ์ที่ได้ยังไม่สวยงามนัก แถมยังไม่มีลูกเล่นเหมือนเครื่องพิมพ์รุ่นอื่นๆ อีกด้วย (แต่ก็ชดเชยกับความสามารถที่ไม่มีในเครื่องแบบอื่นๆ)

         ส่วนเครื่องพิมพ์อีก 2 ประเภทที่ได้รับความนิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน พร้อมทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยีกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต เสี่ยส่วนใหญ่เพราะว่าตลาดมีความต้องการกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ที่ต่างก็พยายามพัฒนาความละเอียดและความเร็วในการพิมพ์ให้สูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน รวมทั้งยังพัฒนาคุณภาพงานและสีสันของภาพให้สมจริงมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แต่ละบริษัทก็มีกระดาษเฉพาะงานมาให้เลือกใช้กันมากขึ้น เพื่อดึงประสิทธิภาพของตัวเครื่องพิมพ์ออกมาให้ได้มากที่สุดด้วยนั่นเอง และเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ก็พัฒนาการพิมพ์สีให้มีราคาถูกลงเพื่อให้สามารถนำมาสู้กับเครื่อง อิงก์เจ็ตได้ด้วย

         ซึ่งในส่วนของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ มีการพัฒนาความละเอียดของการพิมพ์ขึ้นมาถึงระดับ 2,400 dpi แล้ว แต่ในรุ่นราคาถูก นั้นยังคง 600 dpi อยูาาซึ่งอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ถ้าเทียบกับราคาและความละเอียดที่คมชัดการเครื่องแบบอื่นๆ ในระดับความละเอียดที่เท่ากัน และมากกว่านั้นสำหรับในบางรุ่นนอกจากนี้แล้วสำหรับเครื่องพิมพ์เลเซอร์สีนั้นก็ยังมีให้เลือกใช้มากกว่าอดีตเช่นกัน แต่จุดเด่นที่สุดของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ในระดับที่ใช้งานในสำนักงานขนาดเล็กหรือโฮมยูสนั้น จะอยู่ที่ความคมชัดและความคงทนของเอกสารที่พิมพ์ออกมารวมทั้งราคาต้นทุนต่อแผ่นที่ต่ำกว่าเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ต จุดนี้เองที่นับว่าเป็นจุดขายหลักของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ในระดับนี้ แต่ถ้าต้องการพิมพ์งานหลากหลายกว่าไม่ว่าจะเป็นรูปภาพที่มีสีสันสวยงาม พิมพ์เอกสาร หรือสั่งพิมพ์โดยตรงจากเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือหรืออุปกรณ์ไร้สารอื่นๆ นั้นคงต้องหันมามองที่เครื่องอิงก์เจ็ตอย่างแน่นอน เพราะความอิสระในการใช้งานบวกกับเทคโนโลยีที่มีการพัมนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณภาพงานที่ได้เหนือชั้นกว่าเดิมมาก แม้ว่าจะเป็นเครื่องรุ่นเล็กก็ตาม แต่ข้อเสียของเครื่องอิงก์เจ็ตก็มีมากอยู่เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดคือราคาหมึกหรือราคาต้นทุนต่อแผ่นที่ค่อนข้างสูง และเครื่องยังมีประสิทธิภาพต่ำลงเมื่อใช้ในระยะยาวอีกด้วย แต่ถ้าท่านผู้ใช้ใช้เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตที่สามารถเจิมหมึกได้โดยเป็นรุ่นที่คนส่วนใหญ่เติมหมึกแล้วไม่มีปัญหากับเครื่องพิมพ์ เช่นหัวตัน เป็นต้น ก็จะประหยัดไปได้มากทีเดียว ซึ่งบริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์จะไม่แนะนำให้เติมด้วยกันทั้งนั้นแต่ว่าถ้าไม่มีปัญหาผมว่าเป็นทางเลือกที่ประหยัดไปได้มาก

         ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากการเลือกใช้เครื่องพิมพ์ให้เหมาะสมกับงานอย่างที่กล่าวไปแล้วก็คือค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ การพิจารณาเลือกใช้เครื่องพิมพ์นั้นจะต้องคำนึงค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ด้วยเสมอ สำหรับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ต้นทุนต่อแผ่นจะไม่สูงมากนัก และในบางรุ่นยังเปลี่ยนเฉพาะผงหมึก ไม่เปลี่ยนดรัมทำให้ราคาหมึอต่ำลงกว่าเดิม ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน เพราะเมื่อดรัมมีอายุนานขึ้นคุณภาพของงานงานก็จะต่ำลงไปด้วย และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนดรัมจะเห็นว่า ราคาดรัมสูงกว่าราคาหมึกมากทีเดียว สำหรับเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตนั้นถึงจะเทียบต้นทุนต่อแผ่นกับเลเซอร์ไม่ได้ก็ตาม ( หากใช้เครื่องเลเซอร์พิมพ์ในปริมาณมากๆ จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าอิงก์เจ็ตมาก ) เพราะด้วยราคาหมึกเทียบต่อจำนวนหน้าแล้วเห็นได้ชัดว่ามีราคาสูงกว่า โดยเฉพาะหลายยี่ห้อที่ราคาหมึกแพงเกือบเท่าราคาเครื่องเลยทีเดียว ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจึงนับเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ในขณะที่พิจารณาซื้อเครื่อง

เทคโนโลยีของเครื่องพิมพ์ในปัจจุบัน

         ถ้าพิจารณาเฉพาะกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตในปัจจุบันจะเห็นว่ามีให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่เครื่องรุ่นเล็กในราคาไม่กี่พันบาทไปจนเกินหมื่นก็มี ซึ่งด้วยช่วงราคาที่ค่อนข้างกว้างนี่เองเป็นตัวบอกเราได้ว่า เครื่องอิงก์เจ็ตมีให้เลือกหลายแบบอย่างเช่น ของเอปสันแบ่งประเภทของเครื่องอิงก์เจ็ตเอาเป็น 2 กลุ่มชัดเจน คือในตระกูล Stylus Color และ Stylus Photo ซึ่งทำให้ 2 แบบนี้ออกแบบมาให้รองรับการทำงานคนละอย่างกันคุณภาพงานที่ได้จากเครื่อง Stylus Color นั้นอาจจะสู้ การพิมพ์ด้านภาพถ่ายกับเครื่อง Stylus Photo ไม่ได้ แต่ก็มีความเร็วที่เหนือกว่ามาก เพราะว่าสามารถทำความเร็วได้มากกว่าในการพิมพ์ด้านสิ่งพิมพ์ นั้นเอง เช่น ในรุ่นพกพานอกจากจะมีขนาดเล็กและขนาดเบาแล้วยังให้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องขนาดใหญ่ๆ อีกด้วย แต่ว่าความละเอียดก็ดีเรื่องนึง และ HP ก็มีการแบ่งเป็น DeskJet และ PhotoSmart ส่วนยี่ห้ออื่นๆ นั้นยังคงไม่แบ่งการทำตลาดแต่ประการใด ซึ่งใช้เพียงการเปลี่ยนตลับหมึกจากธรรมดาเป็นตลับหมึก Photo เท่านั้นทำให้ประหยัดกว่า แต่ทำให้เราต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นในการซื้อตลับหมึกใหม่อีกนั้นเอง (หรือถ้าใครพอทราบในส่วนยี่ห้ออื่นๆ อีเมล์มาแบ่งปันความรู้กันได้ครับ หรือโพสแสดงความคิดเห็นเพื่อเป็นการแบ่งบันความรู้ได้ครับ)

         เทคโนโลยีอย่างแรกที่เห็นได้ชัดและเป็นตัวแปรสำคัญที่หลายๆ คนใช้ตัดสินใจในการเลือกเครื่องพิมพ์เลย นั่นคือความละเอียด ซึ่งความละเอียดของเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตในตอนนี้จะอยู่ที่ 600×600 dpi เป็นหลัก นอกจากนั้นจะเป็นรุ่นใหญ่ที่มีความละเอียดสูงกว่า อย่างเช่น ของเอปสันมีความละเอียดขึ้นไปถึงระดับ 1,440×2,880 dpi ส่วน Canon และ HP นั้นมีความละเอียดขึ้นไปถึง 600×1,200 dpi เช่นกัน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยให้สามารถพิมพ์ได้ที่ความละเอียดสูงขึ้น และเมื่อพิมพ์ได้ละเอียดขึ้น ก็หมายความว่างานที่ได้จะคมชัดตามไปเช่นกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงตัวแปรหนึ่งเท่านั้น เพราะการที่เครื่องพิมพ์จะให้คุณภาพงานดีหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างด้วยกัน

         ส่วนในเรื่องของความเร็วในการทำงานนั้น ยังไม่พัฒนาจนแตกต่างไปจากเดิมมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าต่างก็ไปเร่งพัฒนาตรงที่คุณภาพงานให้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นถึงจะพัฒนาด้านความเร็วให้เร็วขึ้นเครื่องก็ยังต้องทำงานมากขึ้น ความเร็วจึงไม่แตกต่างไปจากเดิมนักซึ่งมีตั้งแต่ 4 – 5 หน้าต่อนาทีไปจนถึง 17-24 หน้าต่อนาทีหรือ มากกว่านั้น อย่างเช่น เครื่อง Deskjet 5550 จาก HP นั้นสามารถพิมพ์สีได้เร็วถึง 12 แผ่นต่อนาที และสีดำเร็วถึง 17 แผ่นต่อนาที ในขณะที่มีความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 4,800×1,200 dpi ทีเดียว อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายอย่างเช่นในตระกูล PhotomSmart , Stylus Photo หรือว่าเครื่องจาก Lexmark ,Canon (ที่ใช้หมึก Photo) เมื่อทำงานพิมพ์ภาพถ่าย ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะออกแบบเครื่องมา โดยเน้นคุณภาพงานเป็นหลัก และให้ความสำคัญด้านความเร็วน้อยมาก จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเราจึงเห็นเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายราคาเกินหมื่นแต่กลับมีความเร็วต่ำมากในการพิมพ์ภาพถ่าย แต่พิมพ์สิ่งพิมพ์ได้เร็วกว่า เพราะสิ่งที่ชดเชยกันก็คือ คุณภาพงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง ในการพิมพ์ภาพถ่ายนั้นเอง

         อีกอย่างหนึ่งที่เริ่มเป็นที่สมใจกันในปัจจุบัน ก็คือความเข้ากันได้กับอุปกรณ์อื่นๆ หรือสามารถพิมพ์ผ่านโดยตรงจากเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือได้ ในตอนนี้คงไม่น่าแปลกใจนักที่จะเห็นเครื่องพิมพ์ทุกรุ่นสามารถใช้บนวินโดวส์ได้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เครื่องพิมพ์บางรุ่นแม้แต่รุ่นเล็กยังสนับสนุนการใช้งานบนลีนุกซ์หรือ แมคอินทอช ในขณะที่รุ่นใหญ่ๆ บางรุ่นกลับไม่สนับสนุนการทำงาน ในการสนับสนุนการข้ามระบบ ซึ่งจากเครื่องพิมพ์ส่วนใหญ่แล้วพอจะคาดการได้ว่าในอนาคตอันใกล้ เครื่องพิมพ์แทบทุกรุ่นที่ออกมาใหม่นั้นน่าจะสนับสนุนการทำงานทั้งบนวินโดวส์ ลีนุกซ์และ แมคอินทอชได้ทั้งหมด โดยเฉพาะลีนุกซ์ที่บริษัทต่างๆ เคยมองข้ามไปในตอนนี้ก็เริ่มกลับมาให้ความสำคัญกันมากขึ้น ส่วนเครื่องแมคอินทอชนั้นสามารถต่อเข้ากลับเครื่องพิมพ์ได้โดยตรง ผ่านทางทางพอร์ต USB เช่นกัน ซึ่งด้วยการออกแบบเครื่องเช่นนี้ ทำให้มีความสะดวกและอิสระในการใช้งานมากยิ่งขึ้น

         นอกจากนนี้ ในบางรุ่น อย่างเช่น Deskjet รุ่นสูงๆ (คงต้องดูรายละเอียดเอาเองนะครับ) และรวมถึงรุ่น Photo แทบทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ในตอนนี้ นั้นสนับสนุนการส่งข้อมูลผ่านทางพอร์ตอินฟราเรด ทำให้การพิมพ์เอกสารไม่จำกัดอยู่เพียงแค่เอกสารที่มาจากเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังรองรับการสั่งงานจากเครื่อง PDA, Pocket PC, WebTV และยังสามารถสั่งงานโดยตรงจากกล้องดิจิตอลได้อีกด้วย ช่วยให้การทำงานกับอุปกรณ์มือถือต่างๆ ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้นหรือแม้แต่เครื่องโน้ตบุ๊กก็ตามพอร์ตอินฟราเรดที่ทำให้การทำงานกับเครื่องโน้ตบุ๊กคล่องตัวยิ่งขึ้นอีกด้วย

         ที่พูดถึงทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนของเครื่องพิมพ์เท่านั้นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วส่วนประกอบที่ต้องมีการพัฒนาให้ดีควบคู่กันไปกับเครื่องพิมพ์ ก็คือกระดาษหรือสื่อที่ใช้พิมพ์และหมึกพิมพ์ ในส่วนของหมึกพิมพ์นั้นสามารถมองแยกออกไปเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ สำหรับเครื่องเลเซอร์และเครื่องอิงก์เจ็ต ซึ่งในเครื่องอิงก์เจ็ต ต่างก็พยายามพัฒนาให้หมึกมีหยดเล็กที่สุด เพื่อความคมชัดของภาพที่ดีที่สุดอย่าง Canon และ Epson สามารถทำให้หมึกมีปริมาตรต่อหยดเล็กเพียง 3-4 พิโคลิตร เท่านั้น ทำให้สามารถสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นมาได้ไม่ยากนัก อีกทั้งยังมีการคิดค้นเทคนิคต่างๆ สำหรับหมึกพิมพ์อีกด้วยเพราะนอกจากความคมชัดของภาพแล้วยังจำเป็นต้องเก็บเอาไว้ได้นานอีกด้วย

         การออกแบบหมึกจากหลายยี่ห้อ จึงพยายามทำให้มีอนุภาคเล็กลงมาก อย่างเอปสันพัฒนาให้ของแข็งในอนุภาคเล็กถึง 0.67 ไมครอน (หรือน้อยกว่านี้) แล้วเคลือบด้วยเรซินด้านนอก ทำให้เมื่อเก็บเอาไว้อนุภาคของหมึกจะไม่รวมกันเป็นอนุภาคใหญ่ๆ และเมื่อนำมาใช้งานเรซินในอนุภาคนี้จะเป็นสารเคลือบด้านนอกอีกครั้ง ทำให้ผลงานมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น หรือหากมาดูที่โทนเนอร์ของแคนนอนตัวหมึกจะเคลือบ WAX เอาไว้ภายในอนุภาคเลยทำให้เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วจะเหมือนมี WAX เคลือบให้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องใช้ Siliconoil อีกต่อไป ทำให้ภาพที่ได้ดูสมจริงมากขึ้น

         ส่วนด้านซอฟต์แวร์เอปสันก็พัฒนาความสามารถในการจัดการกับรูปภาพโดยใช้ PhotoEnhance เพื่อแก้ไขการพิมพ์ภาพความละเอียดต่ำที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตให้คมชัดขึ้น และยังสามารถปรับโหมดสีพร้อมทั้งแก้ไขความชัดเจนของภาพได้อีกด้วย ส่วนของแคนนอนก็ไม่แพ้กัน ในด้านหมึกนั้นก็นำ WAX เข้าไปไว้ในอนุภาคเพื่อให้หมึกมีสารเคลือบตัวเองได้ทันทีหลังจากพิมพ์เสร็จ หรือแม้แต่การควบคุมน้ำหมึกที่แคนนอน ก็ใช้เทคโนโลยี MicroFine Droplet ทำให้ขนาดของหมึกเล็กลงถึง 0.3-4 พิโคลิตร(หรือน้อยกว่า)

         ส่วนทางด้านเครื่องพิมพ์เลเซอร์แคนนอนใช้ WPS (Windows Printing System ) เป็นตัวประมวลผล นั่นหมายความว่า งานทั้งหมดจะยกมาให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รันวินโดวส์เป็นตัวจัดการ แล้วส่งงานที่ประมวลผลเสร็จแล้วออกไปที่เครื่องพิมพ์ วิธีนี้ทำให้เกิดข้อดีคือเครื่องพิมพ์ไม่จำเป็นต้องมีหน่วยความจำมากอีกต่อไป และยังทำงานได้เร็วอีกด้วยแต่อย่างไรก็ตาม ระบบยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถของคอมพิวเตอร์อีกเช่นกัน

         แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดก็คือ ทำให้เกิดข้อจำกัดที่เครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้ จะทำงานได้เฉพาะกับวินโดวส์เท่านั้น สุดท้ายที่ลืมไม่ได้ก็คือแคนนอนคิด Think Thank ขึ้นมา โดยแยกหมึกสีออกจากกันทำให้ใช้หมึกได้อย่างคุ้มค่าไม่จำเป็นต้องทิ้งหมึกอีก 2 สีไปเปล่าๆ เมื่อสีหนึ่งหมด และยังออกแบบให้ตลับหมึกใสเพื่อดูระดับหมึกได้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งมีระบบตรวจสอบปริมาณหมึกโดยใช้แสงอีกเช่นกันซึ่งไม่ได้มีแต่ Cannon ที่ใช้แล้วในตอนนี้เพราะว่าในรุ่น Photo ในเกือบๆ ทุกรุ่นนั้นมีการใช้ตลับหมึกแยกสีกันหมดแล้วด้วย

เครื่องพิมพ์ในอาณาจักรแคนนอน ( Canon )

         คงปฏิเสธไม่ได้ว่า แคนนอนก็เป็นผู้นำสำหรับเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตอยู่เช่นกัน ในรุ่นที่ใช้กันอยู่ทั่วไปอย่าง Canon BJC – S200SPx
มีความละเอียดไม่ต่างจากยี่ห้ออื่นคือมีความละเอียด 2880 X 720 dpi และความเร็ว 5 และ 3 หน้าต่อนาทีในการพิมพ์สีดำและสีตามลำดับ แต่จุดเด่นนั้นอยู่ที่ฟีเจอร์ Think Thank ที่แยกตลับหมึกสีออกจากกันทำให้ประหยัดหมึกได้มากทีเดียวและ เทคโนโลยีมหัศจรรย์ภาพสวยใหม่ด้วย เทคโนโลยี Vivid Photo แต่งแต้มงานพิมพ์ให้เจิดจ้ายิ่งขึ้น และยังสามารถเชื่อมต่อได้กับ PC และ MAC อีกด้วย

         ส่วนในงานพิมพ์ภาพถ่ายนั้น แคนนอนมีเครื่องพิมพ์ที่น่าสนใจอยู่ 2 รุ่นคือ BJC-520 และ BJC-820 ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตระกูลเดียวกันที่ไม่ค่อยต่างกันมาก แต่เครื่องทั้ง 2 ต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่ความเร็วในการพิมพ์ แบบครึ่งต่อครึ่ง แต่ราคาไม่ต่างกันมาก สำหรับ BJC-820 นั้นเป็นเครื่องขนาดสำหรับการใช้งานระดับมืออาชีพ แต่ว่าโดยสเปคแล้วนั้น อยู่ในระดับโฮมยูสกึ่งมืออาชีพ ส่วน BJC-520 นั้นเหมาะสมมากกว่าโดยให้ความละเอียดสูงสุดที่ 2,400×1,200 dpi โดยที่ BJC-820 นั้นมีเทคโนโลยี Microfine Droplet ให้ขนาดหยดหมึกเล็ก เพียง 4 พิโคลิตร ช่วยเพิ่มความละเอียดในการพิมพ์ภาพสี ส่วน BJC-520 เทคโนโลยี Microfine Droplet ให้ขนาดหยดหมึกเล็ก เพียง 5 พิโคลิตร ช่วยเพิ่มความละเอียดในการพิมพ์ภาพสี ซึ่ง ดูๆ แล้วไม่ต่างกันมากแต่จริงๆแล้วต่างกันในการไล่สีที่สู้กันไม่เลย

         Microfine Droplet Technology คือท่อสีแบบหักมุม ท่อหมึกขนาดเล็กลงแล้วเลื่อนฮีทเตอร์มาไว้ที่ปลายสุดใกล้กับหัวฉีด เพื่อลดปริมาตรหมึกที่อยู่ด้านหน้าของฟองอากาศขณะพิมพ์จะดันหมึกได้เล็กลงกว่าเดิม

         Multi-Nozzie เป็นการเพิ่มจำนวนหัวฉีดหมึกให้มากถึง 256 หัวต่อ 1 สีและยังจัดวางหัวฉีดแต่ละหัวไว้ไขว้กันในรูปแบบพิเศษด้วย ซึ่งทำให้หัวฉีดสามารถทำงานในแนวตั้งได้ละเอียดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้พิมพ์เร็วขึ้นอีกด้วย

เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตจาก HP

         ทางเอชพีนั้นก็มีความเชื่อต่างกับแคนนอน เพราะคิดว่าเครื่องพิมพ์ที่ดีต้องให้รายละเอียดสีได้ดีและให้สีได้มาก รวมทั้งยังควรจะต้องมีหน่วยความจำมากๆ อีกด้วย และหัวพ่นหมึกควรจะติดอยู่กับตลับหมึกเพื่อจะได้เปลี่ยนทุกครั้ง (แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่สุดๆของตลับหมึกด้วยเช่นกัน) คุณภาพงานก็จะดีสม่ำเสมอตลอดเวลา และสุดท้ายก็คือ เครื่องต้องทำงานได้ดีในทุกโหมด กับสื่อทุกๆ แบบโดยไม่จำเป็นต้องใช้ dpi สูงๆ เพราะทำให้เปลืองหมึกและเสียเวลาในการพิมพ์มากขึ้น ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเครื่องพิมพ์จากเอชพีส่วนใหญ่แล้วจะมีความละเอียดอยู่ในระดับกลาง – สูงพิเศษ แต่เอชพีจะใช้เทคโนโลยี PhotoRet แทน

         PhotoRet (Photo Resolution Enhancement Technology) จะมีหลาย Version มากครับ เช่น PhotoRet I , PhotoRet ll , PhotoRet 3 และ PhotoRet 4 อย่าง PhotoRet 3 ทำให้งานพิมพ์ที่ความละเอียด 600×600 dpi มีคุณภาพเทียบเท่า 2,400×1,200 dpi เลยทีเดียวเพราะใช้วิธีการผสมสีที่จุดสูงถึง 29 ชั้นต่อจุด 17 ระดับต่อสี ทำให้สร้างเฉดสีได้มากถึง 35,000 สีที่จุดเดียวโดยไม่จำเป็นต้องสร้าง Halftone จากหลายๆ จุดเพื่อลวงตาให้เป็นโทนสีหลายๆ แบบต่างกันออกไป และ PhotoRet 4 ในรุ่นใหม่ๆ เช่น Dj5550 , 450series , PhotoSmart 7550,130 PSC 2110 และรุ่นใหม่ๆ นั้นใช้การพิมพ์สี 6 สี ได้แก่สี Cyan, Magenta, Yellow, Black, Light Magenta และ Light Cyan ทำให้ได้ภาพที่มีความละเอียดของภาพที่ 32 ชั้นต่อจุด 256 ระดับต่อสี ทำให้สร้างเฉดสสีได้ 1.2 ล้านสี ทีเดียว (มากกว่า PhotoRet 3 ถึง 350 เท่า) แต่ว่าสิ่งที่ตามมาคือจำเป็นต้องใช้ในตลับหมึกเฉพาะด้วยนั้นเองครับ และการพิมพ์แบบนี้มีหยดหมึกที่ 5 พิโคลิตรครับ ซึ่งใหญ่ แต่ว่าทำให้เปลื้องหมึกน้อยกว่า เพราะว่าชดเชยกับการไล่ระดับสีที่สุดยอดกว่า

         เครื่องพิมพ์ที่น่าสนใจจากเอชพี ( Hewlett-Packard ) เอชพีมีเครื่องพิมพ์ด้วยกันหลายรุ่นทีเดียว โดยเฉพาะในกลุ่มของเครื่องพิมพ์ Deskjet ที่มีให้เลือกหลายรุ่นอย่างเช่น 342x Series ซึ่งพิมพ์ที่ 2400x1200dpi ด้วย PhotoRet ll ความเร็วในการพิมพ์อยู่ที่ 10 หน้าต่อนาทีในการพิมพ์สีและสีดำ ส่วนรุ่นใหญ่อย่าง Deskjet 5550 ซึ่งมีความเร็วสูงถึง 17 หน้าต่อนาทีในการพิมพ์สีดำและ 12 นาทีในการพิมพ์สีและความละเอียดที่ทำได้สูงถึง 4,800×1,200 dpi ด้วยเทคโนโลยี PhotoRet 4 หรือนอกจากนั้นตัวเครื่องยังมีพอร์ตอินฟราเรด เพื่อสั่งงานโดยตรงจากอุปกรณ์มือถือต่างๆ และ สามารถรองรับหน่วยความจำอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็น CompactFlash , SmartMedia , Secure Digital , Memory Stick , ฯลฯ หรือจากพอร์ตอินฟราเรดของเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย และยังสามารถเพิ่มอุปกรณ์พิมพ์ในโหมด Deplex Mode หรือพิมพ์ 2 หน้าอัตโนมัติได้

เครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตจากเอปสัน ( Epson )

         เครื่องพิมพ์ยี่ห้อนี้ได้รับความนิยมกันอย่างสูง และก็ได้รับการยอมรับอีกด้วยว่าให้คุณภาพงานพิมพ์ที่ดีมากทีเดียว แม้ว่าจะมีข้อเสียตรงที่หัวพ่นหมึกนั้นติดอยู่ที่เครื่องพิมพ์ทำให้ส่งผลไม่ดีในการใช้งานระยะยาว หรืออาจจะเกิดปัญหาเมื่อไม่ได้ใช้งานไปซักระยะหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเมื่อหักลบกับข้อดีแล้วก็นับว่าเป็นเครื่องที่น่าสนใจไม่น้อยอย่าง Epson Stylus Color C61 ซึ่งเหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปความเร็วของเครื่องอยู่ที่ 14 หน้าต่อนาทีทั้งสีและขาวดำ และตัวเครื่องมีความละเอียดถึง 2,880×720 dpi

         นอกจากนี้แล้วไดรเวอร์ของเครื่องยังสามารถสั่งพิมพ์ลายน้ำทับมาในเอกสารได้ทันทีอีกด้วย หรือแม้แต่จะสเกลเพื่อทำหนังสือคู่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายในตระกูล Stylus Photo ที่น่าสนใจคือ Epson Stylus Photo 830 ซึ่งความละเอียดที่สูงถึง 2,880×720 dpi และทำได้สูงถึง 5760 dpi และในรุ่น Stylus Photo โดยส่วนใหญ่จะมีข้อดีกว่าตรงที่สนับสนุนการใช้งานกับ CompactFlash และ PC Card ได้โดยตรง และไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ก็สามารถพิมพ์ภาพถ่ายได้ทันที

         Advanced Micro Piezo เป็นทำให้เหมือนกับการยิงธนูโดยที่หัวพิมพ์จะมีแรงดึงน้ำหมึกถอยหลัง แล้วจึงพ่นน้ำหมึกออกไปซึ่งทำให้สามารถควบคุมปริมาณและขนาดของน้ำหมึกได้ โดยเครื่องจะทำงานให้เองโดยอัตโนมัต

         UMD ( Ultra Micro Dot ) ที่ทำให้หยดหมึกมีขนาดเล็กมากถึง 3 พิโคลิตร

         VSDT ( Variable-size Droplet ) ที่ทำให้เครื่องสามารถปรับขนาดจุดได้หลายระดับ โดยเครื่องสามารถพิมพ์ได้ทั้งจุดเล็กและใหญ่ ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัดที่สุดและยังทำให้มีความเร็วสูงขึ้นอีกด้วย

เปิดคลังเครื่องพิมพ์เล็กซ์มาร์ก ( Lexmark )

         เครื่องพิมพ์รายนี้มีอยู่หลายรุ่นเหมือนกัน แต่ที่น่าสนใจน่าจะตกไปอยู่ที่ Z45Se ที่ให้คุณภาพงานพิมพ์ระดับภาพถ่ายความเร็ว 9 หน้าต่อนาที และความละเอียดที่ 4,800×1,200 dpi และที่ 15 หน้าต่อนาที่ในการพิมพ์สิ่งพิมพ์ นอกจากนั้นตัวเครื่องพิมพ์ยังสามารถพิมพ์งานขนาดใหญ่กว่าขนาดตัวเครื่องโดยการพิมพ์ลงในเอกสารหลายๆ แผ่นเป็นส่วนๆ ในขณะเดียวกันก็ยังย่อขนาดเพื่อพิมพ์เอกสารหลายๆ หน้าลงบนเอกสารแผ่นเดียวได้เช่นกัน ส่วนรุ่นเล็กลงมาก็คือ Z32 ซึ่งก็มีความสามารถไม่ต่างกันนัก แตกต่างกันที่ความเร็วที่ช้ากว่ากันนิดหน่อย แต่ว่า ความละเอียดสูงสุดก็ได้แค่เพียง 2,400×1,200 dpi

         Excimer เป็นเทคโนโลยีที่ นำมาใช้ในเครื่องรุ่นใหม่ๆ โดยการใช้แสงเลเซอร์ในการผลิตเพื่อให้เกิดรูทำให้รูนั้นเล็กลง

         Variable drop size เป็นเทคโนโลยีในการทำให้สามารถปรับขนาดของหยดหมึกตามลักษณะการพิมพ์ เช่นถ้าต้องการความละเอียดสูงก็จะทำการปรับให้หยดหมึกเล็กลง แต่ถ้าพื้นนั้นๆ ต้องการความละเอียด น้อยก็จะปรับให้หยดหมึกใหญ่ขึ้นโดยตัวมันเอง

         ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เห็นภาพรวมของทุกยี่ห้อ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เครื่องพิมพ์ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงมาก โดยเฉพาะเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตที่สามารถพิมพ์เอกสารได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเท็กซ์หรือรูปภาพ ในระดับภาพถ่าย อีกทั้งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เครื่องรองรับการทำงานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์มือถืออุปกรณ์ Compact Flash, PC Card และ SmartMedia หรือแม้แต่กล้องดิจิตอลได้ เมื่อรวมกับเทคโนโลยีการพิมพ์ภาพในระดับภาพถ่ายแล้วเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตสามารถรองรับกล้องดิจิตตอลระดับ 2-3 ล้านพิกเซลได้สบายๆ

         แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเลือกว่า เครื่องพิมพ์แบบใด หรือรุ่นใดเหมาะสมที่สุดสำหรับเราก็คือ ควรจะรู้ถึงความต้องการของตัวเองอย่างถ่องแท้ว่า จะนำไปใช้งานแบบใด