ของที่ซื้อให้ผู้หญิงในวัน Valentine ที่ดูโก่งราคาสุดตัวและดูแพงไป แต่ความรู้สึกดีใจที่ได้รับมีค่าจนบางครั้งมีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ เหมือนตอนยื่น Nexus 7 ให้แม่ตอนปีใหม่นั้นแหละ คือมันกลายเป็นของมีค่ามากกว่ายื่นเงินเกือบหมื่นให้ไปซื้อเองมากเลยนะ สำหรับหลายๆ คน การซื่อของให้ มันแสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับเค้าที่มากกว่าตีค่าเป็นตัวเงิน คือยื่นเงินมันง่ายกว่าเดินเลือกและซื้อแน่นอน
Month: February 2013
ในบ้านเราส่วนใหญ่แปะป้าย "ซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยนหรือคืน" ถูกต้องหรือไม่?
อ้างอิงหลักฎหมายจาก http://www.lawyerthai.com/forum2/1578.html
เมื่อพิจารณาจากหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็จะเห็นได้ว่าประกาศหน้าร้าน "ซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยน หรือคืน" อยู่ภายใต้บังคับข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จึงไม่สามารถตกลงกันได้ ดังนี้ผู้ขายต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง แต่ความรับผิดของผู้ขายมีแค่เพียง ซ่อมบำรุงเท่านั้นให้สินค้าใช้งานได้ โดยที่ผู้ซื้อไม่มีสิทธิขอเปลี่ยนใหม่ ในกรณีที่ผู้ซื้อเห็นว่าไม่คุ้มที่จะซ่อม ผมก็มีทางออกมให้ครับโดยการให้ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาและให้ผู้ขายคืนเงินแก่ผู้ซื้อ แต่ได้ไม่เต็มนะครับต้องหักส่วนที่ใช้งานออกไปด้วย และ ผู้ซื้อก็คืนสินค้าให้แก่ผู้ขายไป คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมนั่นเอง
———————————————————————————-
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตาม ป.พ.พ.
– มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด
– มาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้ตาม พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
– มาตรา ๖ สัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพที่มีการชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้บริโภค จะมีข้อตกลงยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิไม่ได้ เว้นแต่ผู้บริโภคได้รู้ถึงความชำรุดบกพร่องหรือเหตุแห่งการรอนสิทธิอยู่แล้วในขณะทำสัญญา ในกรณีนี้ให้ข้อตกลงยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดนั้นมีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น
Shipping, Refund และ Payment สิ่งที่คนจะทำ Web E-Commerce ส่วนใหญ่ในไทยไม่ได้คิด
คัดและปรับใหม่จาก twitter นิดหน่อย
ส่วนใหญ่ที่ผมรับทำเว็บ e-commerce ทุกรอบจะสอบถามคนอยากทำคือ เรื่อง shipping และการ refund ของทางลูกค้าว่าจะทำได้อย่างไร มีนโยบายอย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่ผมได้ตอบในครั้งแรกนั้นไม่มีเลย ส่วนใหญ่คือกลับไปนั่งคิดกันแล้วค่อยมาตอบ ซึ่งก็คือลูกค้าที่อยากทำนั้นไม่ได้คิดไว้ด้วยซ้ำว่ามันจำเป็นต้องมี
การคิดเงินค่าจัดส่ง (Shipping) นั้นสำคัญมาก นั่นหมายถึงกำไรหรือขาดทุน รวมไปถึงการจตัดสินใจซื้อของลูกค้าเลยทีเดียว บางรายใช้การบอกว่า ค่าจัดส่งฟรี ซึ่งแน่นอนว่าก็ดีเพราะบวกลงไปในตัวสินค้าแล้ว แต่สินค้าบางอย่างนั้นไม่ใช่แบบนั้น เพราะมีขนาดใหญ่ หรือมีระยะทางไกล ค่าจัดส่งแพงกว่าปรกติจนหลายๆ ครั้งการจัดส่งนั้นมีราคามากกว่าราคาที่คิดเผื่อไว้ขายบนเว็บที่รวมค่าจัดส่งในตัวสินค้าด้วยซ้ำ
สำหรับการเรียกคืนสินค้า หรือขอเงินคืน (Refund) อันนี้ไม่มีใครคิดเลย เพราะธรรมชาติคนไทยไม่เคยคิดว่าการซื้อของแล้วสามารถคืนสินค้า หรือขอเงินคืนได้ ซึ่งถ้าคิดจะขายคนต่างชาติหรือขายนอกประเทศแล้วเนี่ย อันนี้จำเป็นอย่างมาก
จริงๆ เอาแค่ระบบจ่ายเงิน (Payment) ในเว็บ e-commcerce อยากตัดบัตรเครดิต พอให้ดูข้อกำหนด ก็หงายหลังทุกราย เพราะเกือบทุกรายคิดว่าทำแล้วไม่มีค่าธรรมเนียม ข้อกำหนด หรือเอกสารสำหรับทำเรื่องแรกเข้า สุดท้ายลูกค้าเกือบทุกรายหันไปโอนเงินเอาหมด เพราะเริ่มต้นง่าย และแน่นอนว่าค่าธรรมเนียมนั้นตัวเองไม่ต้องเสีย และยังผลักภาระ รวมถึงความเสี่ยงให้ลูกค้าตอนโอนเงินเสียด้วยซ้ำ เพราะจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตนั้น โดยส่วนตัวแล้ว มัน win-win กับทุกฝ่ายนะ เพราะฝ่ายผู้ซื้อสามารถ refund และ hold เงินได้ในรอบบิลตัวเองในกรณีที่สินค้ามีปัญหาได้ ซึ่งผมใช้บ่อยมากๆ และมักไม่มีปัญหาด้วย รวมไปถึงได้เงินคืนตลอด ถ้าโอนเงินมันเป็นเงินสดวิ่งไปอีกบัญชี การขอเงินคืนมันคือการทวงเงินที่ยืมจากเพื่อน ได้เมื่อไหร่อันนี้ไม่รู้ได้ สำหรับทางฝั่งคนขายก็สบายใจตรงที่ตรวจสอบรายรับได้ง่าย ไม่มีตกหล่น ไม่เหมือนกับการโอนเงินไป-มา ที่มันมีแต่ยอดเงินเข้า-ออก ซึ่งมันไม่มีชื่อที่ผูกกับตัวหมายเลขสั่งซื้อ หรือรหัสอ้างอิง ทำให้ยอดเงินตกหล่นได้ง่าย ซึ่งถ้าทำไม่กี่รายการต่อวันยังพอโอเค แต่ถ้าหลักสิบหลักร้อยขึ้นก็เตรียมตัวปวดหัวได้เลย
บันทึก Thailand Mobile Expo 2013
เมื่อวานกับวันนี้พาคุณแฟนไปลองและซื้อมือถือ Motorola RAZR MAXX ซึ่งดูๆ แล้วน่าจะเป็นเครื่องท้ายๆ ของงานแล้ว (ณ วันที่ 10 ก.พ. 2556) ด้วยราคาที่ถือว่าไม่แพงมากที่ 11,900 บาท ของแถมที่ได้คือ Power Bank 3,000mAh (แถมมาทำไม มือถือพี่ก็แบต 3,300mAh แล้วนะ) แถม smalltalk Bluetooth มาให้ด้วย (จริงๆ แถม micro SD แต่ของหมดเลยแถมตัวนี้แทน) ซึ่งโดยรวมคุณแฟนบอกว่าไม่ได้ใช้ทั้ง power bank กับ smalltalk ที่แถมมาให้อยู่แล้ว เลยกะขายออกไปแทน สรุปก็น่าจะได้มือถือรุ่นนี้มาในราคาที่ถูกลงไปอีก
มือถือ RAZR MAXX เป็นมือถือที่เน้นแบตที่ใช้ได้ยาวนานเป็นพิเศษและน่าจะมากที่สุดในตลาดแล้วมั้ง แน่นอนว่า smartphone ในปัจจุบัน ผมเห็นว่าควรปรับปรุงเรื่องแบตที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้นมากกว่าอัดความบ้าพลังแต่ไม่ได้ใช้ หรืออัดมาแล้วใช้งานได้ไม่นานแล้วก็วิ่งหาที่ชาร์จแบตกันได้แล้ว การจะเพิ่มความจุแบต (ที่แก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีเหตุผลมากสุด) หรือใช้วัสดุที่กินไฟน้อยลง (ลงทุนเยอะขึ้น ราคาแพงและเห็นผลช้ากว่า) ก็ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่จะเห็นมือถือแนวๆ นี้ออกมาเยอะๆ
ซึ่งแน่นอนว่า RAZR MAXX นั้นมาพร้อมกับจอภาพ Super AMOLED ขนาด 4.3 นิ้ว 540 x 960 pixels (~256 ppi) ก็ยังสวยงามดี กล้องหลัง 8 ล้าน กล้องหน้า 1.3 ล้าน เป็นอดีต flagship ที่น่าใช้ตัวหนึ่งในตลาดเครื่องราคาถูกตอนนี้เลย คุณแฟนบอกว่าไม่ซื้อมือถือราคาแพงเกิน 13,000 บาทแล้ว คล้ายๆ ผมที่ตั้งธงว่าจะไม่ซื้อเกิน 15,000 บาท (แต่ Lumia 920 นี่มันอะไรวะครับ)
คำแนะนำหลังจากไปงานนี้สักนิดคือ ซื้อมือถือในงาน TME แนะนำว่าให้ดูเรื่องของแถมและโปรด้านการผ่อน 0% เป็นสำคัญนะ เพราะถ้าไม่เน้นพวกนี้ ก็ซื้อหลังงานก็ได้นะ (เผลอๆ หลังงานพี่ลดราคาหักหลังคนซื้อก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ) แต่ถ้าอยากไปเดินดูของใหม่ ก็พอไหวนะ แต่นานๆ จะมีแบบนี้มาสักที อย่างที่ไปดูมาก็ BB Z10 ส่วนตัวก็ดีนะ ได้สัมผัสของใหม่ (แม้จะงงๆ กับการใช้อยู่สักพัก) แต่ถ้ากะไปงานแบบนี้แนวเดินชิลๆ แนะนำว่าอย่าไปครับ คนเยอะมากพาลหงุดหงิดเปล่าๆ งานนี้เหมาะกับคนตั้งมั่นว่าอยากได้มือถือ หรือต้องการเลือกครั้งสุดท้าย ในการเปรียบเทียบที่เดียวแล้วซื้อเลยมากกว่า
สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวในด้านคุณสมบัติของมือถือในปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามือถือมันจะทำมาบางๆ ออกมาทำไม ผมยังหาข้อดีของมันไม่เจอว่าบางมากๆ ระดับที่ว่าใช้ได้แต่ port microUSB ตัด 3.5mm headphone ออก ใส่แบตมาให้จำนวนพอใช้งานได้แบบมึนๆ คือบางและเบา เพราะลดแบตให้น้อยลง มันก็ไม่ใช่เรื่อง แต่สุดท้ายต้องพก mobile booster มาอีกตัวว่ามันดีจริงๆ เหรอ?
แต่ก็ไม่แน่นะ มือถือบางๆ อาจจะสร้างความฟินให้คนใช้ ออกแนวบางเหมือนไม่ใส่อะไรเลยแบบนั้น
แต่ส่วนตัวผม ผมมาลองคิดดูว่าถ้าชีวิตเรามันต้องใช้ของที่ตัดออกไป แต่ต้องไปหาหัวแปลง หรือใช้งานได้อย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาเดียวกัน แถมทำบางๆ แล้วมันจับไม่ถนัดมือ ผมก็ขอบาย ซื้อตัวอื่นดีกว่าครับ
อดทนได้แค่ไหน?
ในอีกมุมหนึ่งสำหรับคนที่ดู Zero Dark Thirty มาแล้ว อยากบอกว่า คนดูหนังหรือตัวเดินเรื่องชื่อ “มายา” ซึ่งเป็นชื่อจริงของเจ้าหน้าที่ในเรื่องและโลกความเป็นจริง (มั้ง) จะแน่กว่ากันในการตามหาบินลาเดน แน่นอนว่าคนดูมากมายยอมแพ้และเดินออกไปจากโรง บ้างก็นอนหลับเพราะเบื่อ
ผมมานั่งคิดว่าคนดูใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการตามหาแล้วได้ฟินกับตอนท้ายใน 30 นาทีที่ถือว่าทำได้ตามเนื้อผ้า แต่มายาใช้เวลาถึง 10 ปีในการตามหา แน่นอนว่าเนื้อหา วิธีคิดบางอย่างดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง คงเพราะอย่าลืมว่าเป็นภารกิจที่ลับสุดยอด ใช้คนมากมาย กับงบประมาณประเทศหลายหมื่นล้านที่เป็นความลับ ขนาดเครื่องบินที่บินเข้าไปจนทุกวันนี้ยังไม่มีใครเห็นหน้าตาที่แท้จริงเลย แต่บางคนแค่นั่ง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ทนไม่ได้แล้ว แต่ส่วนตัวก็ถือว่าดำเนินเรื่องประติดประต่อดีบนพื้นฐานที่ว่าไม่รู้อะไรเลยในการเขียนบทในขั้นต้น
ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเป็นเราหล่ะ เราต้องทำงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน โดนทำลายสิ่งที่ยึดมั่นว่าใช่กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง บอกตรงๆ ว่า ลองคิดถึงในมุมคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นว่าต้องโดนแรงต้านขนาดไหน แล้วก็ย้อนกลับมานึกว่า ถ้าเป็นเราที่ต้องไปทำงานที่ไม่รู้จะไปทางไหน อยู่ตรงไหน และจะตายเมื่อไหร่ เราจะทำได้นานขนาดนั้นไหมนะ