บันทึกน้ำท่วมบ้านที่นครสวรรค์ 15/10/2554

กว่าจะรวบรวมสติและสมาธิในการเขียนผ่านล่วงเลยมาประมาณ 5 วันหลังจากเขื่อนริมน้ำที่นครสวรรค์แตกในวันที่ 10 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมาแตกลง วันนั้นผมติดตามข่าวตลอดทั้งวันผ่านช่องทาง social network ใน facebook ผ่าน group แจ้งข่าวสถานการณ์น้ำนครสวรรค์ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาประมาณ 10 โมงเช้า (ตั้งแต่เริ่มทราบเรื่องใน twitter ว่าเขือนแตกแล้ว) ตอนนั้นผมทราบและโทรเข้าที่บ้านผมก่อนเลย เพราะตอนนั้นแม่ผมยังนอนอยู่และผมเข้าไปบอกข่าวเพื่อให้แม่ผมเข้าไปช่วยที่บ้านในตลาดตัวเมืองนครสวรรค์ก่อน เพราะอยู่ใกล้กับแนวสันเขือนป้องกันน้ำที่แตกอยู่ประมาณ 1 กิโลเมตร และห่างจากริมแม่น้ำไป 300 เมตรเท่านั้น ซึ่งการเข้าไปนั้นยากลำบากพอสมควรเพราะการขี่รถมอเตอร์ไซต์เข้าไปถือว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถนำรถออกมาได้ แต่เป็นวิธีเดียวที่รวดเร็วที่สุดแล้ว จึงได้เข้าไป และเคลียร์ของที่เหลืออยู่และปิดบ้านออกมาจากหลังในตลาดได้ ทุกอย่างโอเค ทุกคนปลอดภัยดี รถสามารถนำออกมาได้ ของที่นำออกมาและความเสียหายไม่เยอะ เพราะว่าเตรียมตัวพร้อมสำหรับกรณีน้ำท่วมอยู่พอสมควร

หลังจากนั้นน้ำเริ่มทะลักเข้ามาจากทุกทิศทุกทางครับ ตอนนั้นแม่ผมเล่าว่า ต้องไปช่วยที่บ้านฝั่งถนนดาวดึงส์อีกหลังไปช่วยขนของอีกเล็กน้อยและนำคนออกมาครับ มีเวลาอยู่พอสมควรในการเก็บและขนของ ต่อจากที่จุดนี้แล้ว น้ำเริ่มนิ่ง แต่ยังไม่นิ่งดีครับ ผมตัดสินใจบอกแม่ผมเลยว่าให้ก่ออิฐกันน้ำเข้าบ้านก่อนเลย ไม่ต้องรออะไรแล้ว ไม่งั้นจะไม่ทัน เนืองจากแม่ผมลักเลอยู่พอสมควรใน เพราะตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2538 นั้นไม่ท่วมถึงบ้านผมในจุดนี้ และคิดว่าในจุดที่บ้านผมอยู่คงไม่ท่วม แต่แล้ว …. เช้าวันที่ 11 ตุลาคม 2554 น้ำเริ่มมาถึงบ้านผมแล้วครับ ตอนนั้นช่างก่ออิฐมาแต่เช้า เริ่มก่ออิฐไปพร้อมๆ กับระดับน้ำที่ท่วมสูงขึ้นระดับเข่าแล้ว การก่ออิฐก่อไปได้หน่อยน้ำเริ่มเข้า เริ่มกลัวว่าอิฐที่ก่อนจะพังก่อนได้ทำหน้าที่ป้องกันน้ำเข้าบ้านในวันนั้น แต่สุดท้ายก็ก่อนสำเร็จ ความสูงที่ก่อประมาณ 140-150cm โดยประมาณครับ ตอนนั้นเวลา 11 โมวเช้า ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมตัดสินใจโทรฯ ลางานทันที เพราะสภาพในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ที่บ้านต้องการคน แน่นอนว่าแม่ผมอยู่บ้านคนเดียวมาตลอดตั้งแต่ผมมาทำงานที่กรุงเทพฯ และมีญาติๆ อยู่ที่นั้นอยู่หลายคน แต่ว่าการเพิ่มกำลังคนเข้ามาอีก 1 คนซึ่งคือผม และเป็นหลักของครอบครัวของผมที่มีกันอยู่ 2 คนนั้นสำคัญมาก ผมเลยเตรียมของทั้งหมดที่จำเป็นจาก กรุงเทพฯ ไปที่นครสวรรค์ทันที ผมตรวจสอบเส้นทางจากใน group ของ facebook และตรวจสอบเส้นทางล่าสุดจากคนขับรถตู้กรุงเทพฯ – นครสวรรค์อีกทีนึงเพื่อความแน่ใจว่าจะควบคุมเวลาที่เดินทางได้

การเดินทางจากกรุงเทพฯ – นครสวรค์นั้นใช้เส้นทางที่แตกต่างจากที่เคยเดินทาง เพราะน้ำท่วมถนนสายหลัก โดยไปทางสุพรรณฯ ออกถนนเอเชียที่อ่างทองทีหลัง และจึงวิ่งตรงเข้าเส้นทางเดิมมุ่งสู่นครสวรรค์ ตลอดเส้นทางเจอน้ำท่วมข้างทาง และตามถนนเป็นระยะๆ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนมาถึงนครสวรรค์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง จากปรกติไม่เกิน 3 ชั่วโมง มาถึงแล้วนั้น การหารถสองแถวอย่าได้ถาม เพราะไม่มีแน่นอน สิ่งที่พึ่งได้ตอนนั้นคือรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างครับ แน่นอนว่าพี่คนขี่ไม่คิดราคาแพงพาไปส่งจนสุดเส้นทางที่จะพาเข้าไปได้ และผมลุยน้ำระดับเข่าเข้าไปต่ออีก 200 เมตร ตอนไปถึงที่บ้านน้ำเข้าบ้านไม่มากนัก เพราะน้ำออกจากตามช่องกำแพงในบ้านมากกว่าที่ออกจากที่กั้นน้ำท่วม ญาติๆ น้องๆ มาช่วยกัน 4 คน (รวมแม่ผมเป็น 5 คน) ขนของขึ้้นชั้นสอง ไปถึงขนของไปได้เยอะแล้วครับ ผมเลยรีบเข้าไปช่วย รอยยิ้มของแม่ที่เห็นผมมา มันยิ่งใหญ่ครับในตอนนั้น ตอนนั้นยังคงช็อคๆ อยู่บ้าง ยังทำอะไรไม่ถูกนัก พยายามรวบรวมสติครับ แต่ค่อยๆ ทำเท่าที่ทำได้ ตอนนั้นมีจุดนึงในบ้านที่อันตรายคือจุดปลั๊กไฟฟ้าที่อยู่ต่ำอยู่ 1 จุด อยู่สูงกว่าพื้นเพียง 1 ฟุตเท่านั้น ผมจึงทดสอบปิดจุดนั้นแล้วทดสอบว่ามีไฟฟ้าอยู่หรือไม่ ทดสอบแล้วไม่มีไฟฟ้าวิ่งผ่านเมื่อตัดไฟจุดนั้นไปครับ ผมจึงตัดไฟจุดนั้นทันที

ระดับน้ำตอนนั้นในบ้านไม่มีอะไรน่าห่วงครับ แต่ด้านนอกประมาณเข่าแล้ว ด้านในน้ำรั่วเข้ามาประมาณผิวๆ พื้น แต่น้ำขึ้นเร็วมากครับ กำแพงที่ทำไว้ยังกั้นอยู่ได้ แต่เสี่ยงจะพัง เพราะปูนยังไม่แห้งดี แต่ตอนนั้นญาติๆ ก็ต้องกลับแล้ว เพราะต้องไปดูอีกบ้านในเขตศูนย์ราชการจังหวัดนครสวรรค์ครับ เพราะมีความเสี่ยงเช่นกัน ผมเลยอยู่กับแม่สองคนในบ้าน ค่อยๆ เห็นของเก็บของที่เหลืออยู่ในบ้าน ประมาณ 5 ทุ่มสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกินขึ้นท่อระบายน้ำในห้องน้ำชั้นล่างแตกครับ เราไม่สามารถปิดกั้นได้ ได้เพียงแต่พยายามเอากระสอบทรายที่ไปขอจากข้างบ้านมาอุดไว้เพื่อบรรเทาความแรงของน้ำเท่านั้น น้ำไหลเข้าในตัวบ้านเร็วกว่าเดิมมาก ผมและแม่เลยตัดสินใจขนของอีกครั้ง หลังจากคิดว่าจะขนกันต่อวันรุ่งขึ้น (วันที่ 12 ตุลาคม 2554) แต่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลง จึงต้องเร่งมือทำให้จบในคืนนั้น เราขนของให้สูงเหลือแต่เฉพาะที่ต่ำกว่าระดับเดียวกับกำแพงกั้นด้านนอกทั้งหมดขึ้นชั้นสอง อาหาร ฯลฯ ต้องถูกนำออกจากบ้าน เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายเข้ามาในบ้านเพื่อกินอาหารพวกนี้ทันที

เราสองแม่ลูกขนของกันจนอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยพอสมควรแล้ว เราจึงวางใจ แต่เหตุไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จุดที่เป็นปลั๊กที่ต่ำสุดของบ้านดันมีเสียงเหมือนไฟฟ้าช็อตเกิดขึ้น แต่ไฟฟ้าในบ้านก็สำคัญสำหรับการอยู่ในตอนกลางคืน แน่นอนว่ามีความเสี่ยงมาก เราอยู่ในความเสี่ยงของไฟฟ้ารั่วอยู่ทั้งคืนครับ เราทดสอบก่อนเข้าไปในจุดนั้นก่อน และผ่านจุดนั้นด้วยการสับสะพานไฟใหญ่ของบ้านก่อนผ่านทุกครั้ง

ตอนนั้นอุปกรณ์ที่ต้องติดตัวใส่ในกระเป๋าเสมอ

  • ไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย (มีไฟฉาย 3 ชุด)
  • มีดพกอเน็กประสงค์
  • เครื่องตรวจสอบไฟฟ้ารั่วแบบอิเล็คทรอนิกส์ (90-1,000V ไวระดับแค่สัญญาณมือถือเข้ายังดัง)
  • กุญแจบ้านและรถ
  • เงินจำนวณนึง
  • ค้อน (เอาไว้เผื่อจำเป็นต้องทุบประตูบ้านถ้าบ้านเข้าไม่ได้ เพราะประตูเป็นประตูไม้ มันบวมน้ำแล้ว)
  • ท่อพลาสติกยาวประมาณ 1.5 เมตร ไว้สำหรับเคาะพื้นไล่สัตว์ร้ายใต้น้ำ และไว้หาหลุ่ม/ป่อใต้น้ำ และเอาไว้ให้ให้เครื่องตรวจสอบไฟรั่วผูกเพื่อตรวจสอบไฟรั่วระยะไกล และยังไม่เป็นสื่อน้ำไฟฟ้าด้วย เอาไว้สะกิดปิดหรือเปิดสะพานไฟในบ้านได้ด้วย ซึ่งจะใช้ไม้ก็ได้ แต่ว่าถ้าเปียกน้ำจะทำให้แห้งยากกว่า แต่ดีกว่าที่ทนความร้อนได้เยอะ ส่วนถ้าเป็นโลหะจะเป็นสื่อน้ำไฟฟ้าแทน แต่แข็งแรงทนทาน เหมาะเอาไว้สู้กับสัตว์ร้ายได้ดีกว่า
  • ถังน้ำ 6 ลิตร บรรจุน้ำสะอาดไว้ล้างขาเวลาขึ้นชั้นสอง เพราะเราต้องการให้ชั้นสองสะอาดที่สุด ไม่งั้นจะมีปัญหาที่ว่าเราจะอยู่และกินข้าวด้านบนไม่ได้
  • โทรศัพท์มือถือจะห้อยคอไว้ตลอดเวลา การสื่อสารสำคัญมากในสภาพแวดล้อมแบบนี้

อุปกรณ์ในกระเป๋าพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันและทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้ตลอดเวลา 3-4 วันที่ผ่านมา

เช้าวันที่ 12 ตุลาคม 2554 เรายังคงเก็บของและขนของที่จำเป็นและมีค่าออกจากบ้านไปบ้านที่เชิงเขา ที่ที่น้ำท่วมไม่ถึงแน่นอนอีกที่แทน เราค่อยๆ ขนไปทีละ 2-3 แพ็คกว่าจะเสร็จ ในวันนั้นเราโดนตัดไฟช่วงเช้าครับ และต่อมาก็โดนตัดน้ำต่อ เพราะปะปานครสวรรค์น้ำท่วมถึงแล้ว เครื่องสูบน้ำและหม้อแปลงไฟน้ำกำลังจะท่วมถึงครับ จึงจำเป็นต้องตัดน้ำทั้งหมดออก ทำให้เราต้องเร่งขนของครับ ตรวจสอบความแน่นหนาของบ้านเพื่อป้องกันขโมยที่จะเข้ามาขโมยของในบ้าน วันนั้นเลยรีบออกมาซื้ออาหารที่จำเป็นต่อการอยู่ในบ้านตลอดคืนและเติมน้ำมันครับ วันนี้ปั้มน้ำมันเหลืออยู่ปั้มเดียวแล้ว และต่อแถวเพื่อเติมน้ำมันอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมงครับ กว่าจะเตรียมอาหารและน้ำมัน ขนของที่จำเป็นก็จบวันแล้ว ตกเย็นน้ำไม่มาครับ เรารีบออกมาจากบ้าน ก่อนออกจากบ้านเราสับสะพานไฟลงมาก่อน เพื่อไม่ให้ในบ้านเรามีไฟไหล่เวียนอยู่ คือนแรกที่เราสละบ้านออกมาใจไม่ค่อยดี กลัวโจรเข้าบ้านพอสมควรเลย พอออกมาแล้วในบ้านเชิงเขายังพอมีน้ำสำรองพอที่จะอาบอยู่บ้างเลยค่อยสบายใจหน่อยในวันนี้ครับ

เช้าวันที่ 13 ตุลาคม 2554 เราเข้าไปตรวจสอบของในบ้านต่อไปครับ น้ำทางฝั่งบ้านผมขึ้นอีกประมาณ 20-30 cm ได้แล้วในตอนนี้ ตอนเข้าไปในบ้าน เลยตัดสินใจกระชากสายไฟและปลั๊กไฟที่จมน้ำอยู่ออกจากจุดของมันแล้วแขวนมันขึ้นที่สูงได้ แล้วยกสะพานไฟบ้านขึ้นเสียงไฟฟ้าช็อตที่เรากลัวกันก็หายไป แต่จุดที่เป็นจุดที่ผมเพิ่งกระชากปลั๊กไฟออกยังคงตัดไฟอยู่ต่อไป เพื่อป้องกันความผิดพลาดอื่นๆ ก่อนแก้ไขปัญหาพวกไฟฟ้าจะเอาที่ตรวจสอบไฟรั่วตรวจสอบเสมอ รวมถึงจุ่มลงไปในน้ำเพื่อดูว่ามีไฟรั่วอยู่ที่ผิวน้ำหรือเปล่าอีกครั้ง วันนี้เราเข้ามาขนของอีกครั้ง และด้วยความที่แม่เป็นห่วงบ้านเลยไม่อยากทิ้งบ้านไปไหนเท่าไหร่ แต่รอบนี้เราออกจากบ้านมาช้าครับ กว่าจะออกก็ 6 โมงเย็นแล้ว เราจึงรีบออกมาเพราะไฟฟ้ายังไม่มาเลย และน้ำก็ไม่ไหลอีกด้วย จบวันรวมตัวกันที่บ้านพักเชิงเขา เราก็รวมตัวกันไปอาบน้ำกันที่วัดใกล้ๆ บ้านแทนครับ เพราะที่นั้นมีน้ำบาดาลที่สามารถอาบได้อยู่ ใครไม่ได้อาบน้ำวัดก็ได้อาบน้ำในวัดก็คราวนี้แหละครับ

เช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2554 วันนี้เรารุดเข้าไปในบ้าน เพื่อขนของรอบสุดท้าย วันนี้น้ำขึ้นอีก 15cm โดยประมาณได้ วันนี้เราได้พี่เรือจ้างใจดีมาช่วยให้ผมกับแม่ไม่ต้องเข้าบ้านอย่างยากลำบากแบบวันก่อนๆ ครับ คิดราคาไม่แพง พอถึงบ้าน ระดับน้ำใกล้ถึงตัวเครื่องปั้มน้ำเข้าบ้าน และมันท่วมปลั๊กไฟเครื่องปั้มน้ำแล้ว การยังให้เครื่องปั้มอยู่ตรงนั้น ไม่มีประโยชน์แน่อน เลยขอร้องพี่ๆ (เค้ามากันสองคนครับ) มาช่วยเอาออกให้และมาไว้ที่สูงในบ้านผม และช่วยเปิดประตูที่บวมน้ำให้ ซึ่งเค้าช่วยเต็มที่ครับ ก็เลยขอเบอร์โทรศัพท์เค้าไว้ เพราะตอนเย็นเราคงต้องขนของหนักและเยอะแน่นอน ตลอดทั้งวันก็วุ่นๆ กับการเก็บของ แต่ผมก็ออกจากบ้านมาก่อนเพื่อไปหาเพื่อนผมที่บ้านน้ำท่วมเหมือนกันที่โรงเรียนลาซาลโชติรวีนครสวรรค์ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าผมครับ ที่นี่อยู่ติดแม่น้ำเช่นกัน และน้ำท่วมส่วนหน้าของโรงเรียนไปแล้วพอสมควร (โรงเรียนนี้ด้านหน้าติดแม่น้ำ ด้านหลังเป็นเขา) เข้าไปก็เจอครูเก่าๆ ที่ผมรู้จักอยู่หลายคนครับ ก็ได้มานั่งคุยกันสักพักก็กลับแล้ว ผมรีบไปซื้อเครื่องสูบน้ำขนาดเล็กมาเพื่อที่จะสูบน้ำออกจากบ้านเมื่อน้ำเริ่มลดระดับที่ไม่มีปั้มใดๆ ในบ้านจมน้ำแล้วจึงค่อยดูดออก เลยไปซื้อไว้ก่อน เพราะไม่งั้นหมดแน่ๆ ซึ่งที่ Home Mart แถวๆ ศ.ท่ารถนครสวรรค์ครับ น้ำยังท่วมไม่ถึง (แต่ก็ใกล้แล้ว) ซื้อเสร็จก็รีบๆ จัดแจงเอาไปไว้ที่บ้านเชิงเข้า แล้วก็ต้องรีบไปหาแม่ รอบนี้พาแม่ออกมาง่ายและขนของง่ายครับ มีพี่เรือจ้างใจดีมาช่วยผม รอบนี้โทรเรียกพี่เค้ามารับที่หน้าบ้านเลยครับ แล้วก็โรยของที่จะนำออกมาจากบ้านผ่านชั้นสองแทน รอบนี้ขนของสำคัญและจำเป็นออกมาได้ทั้งหมด แม่ผมก็สบายใจไปเยอะครับ ผมก็โอเคในระดับนึง พี่ๆ เรือจ้างเค้าใจดีครับ ช่วยเยอะมาก เลยให้ทิปค่าจ้างและเบีบร์เค้าไปอีก 2 กระป๋องเป็นน้ำใจเล็กๆ ไปครับ รอบนี้พี่เค้าไม่คิดจะเอาค่าจ้างด้วยซ้ำ บอกตอนเช้าผมให้เยอะแล้ว รอบนี้ฟรีแล้วกัน แต่ว่าพี่เค้าก็บ้านน้ำท่วม ก็ช่วยๆ กันไปครับ เราขนของออกจากบ้านมา แต่วันนี้น้ำยังไม่ไหลต่อไป ก็เลยต้องไปอาบน้ำที่วัดต่อไปอีกวันครับ แต่พอประมาณเกือบๆ 3 ทุ่ม น้ำปะปาที่บ้านเริ่มไหลแล้ว เราก็เริ่มโอเค แต่ก็อาบมาแล้วก็เอา เลยตามเลย

จากวันที่ 11 – 14 ตุลาคม 2554 เป็นประสบการณ์ที่ถ้าไม่เจอกับตัวเองนี่ไม่รู้เลยว่ามันมีเรื่องให้ตื่นเต้น ให้เครียด ให้ต้องตัดสินใจบนความเป็นความตายแค่ไหน สิ่งที่เรียนๆ มาตอนเป็น นศท. นี่ได้ใช้หลายๆ อย่าง ความรู้หลายๆ อย่าง เอามาใช้เยอะมาก หวังว่าเหตุการณ์นี้จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ที่แน่ๆ …. งานนี้เสียเงินซ่อมบ้านอีกเยอะแน่นอนครับ T_T

ดู Tech Spec ของ iPhone 4S Camera แล้วมาเล่าสักหน่อย

ยังไม่ได้ของจริง แน่นอนผมจั่วหัวมาแบบนี้ เพราะผมอ่าน spec มาพูดในเชิงคนถ่ายรูปล้วนๆ จากการที่ได้ใช้งานกล้องถ่ายรูปมาได้สักเกือบๆ 4 ปีแล้ว

คำเตือน! … ต่อจากนี้ Keyword เพียบ คนอ่านอาจธาตุไฟเข้าแทรกได้ แนะนำให้เตรียมตัวรับและหาคำตอบจาก Keyword บางตัวเองนะครับ เป็นศัพท์เทคนิคล้วนๆ ใครอ่านแล้วเข้าใจเกือบหมดแสดงว่าถ่ายรูปมาพอสมควร

ทำความเข้าใจร่วมกันก่อนว่า การถ่ายรูปหรือการเก็บภาพลงบนสื่อใดๆ คือ “การเก็บแสงที่สะท้อนเข้าตาเรา โดยที่เราแทนที่ตาเราด้วย เลนส์ และ Image Sensor มีสมองเป็นตัวประมวลผลภาพ ซึ่งเราให้ Image Processor เป็นตัวแทน” เพราะฉะนั้นแสงยิ่งสว่าง หรือมีแสงเพียงพอต่อการถ่ายรูปจะยิ่งดี

เพราะฉะนั้น ผมของแยกออกมาเป็น 3 ส่วนคือ เลนส์, Image Sensor และ Image Processor

เลนส์ของกล้อง iPhone 4S เป็นชิ้นเลนส์ 5 ชิ้นมาประกอบกันเป็นชุดเลนส์ 1 ชุด (Five element lens) จากของเดิมใน iPhone 4 เป็น 4 ชิ้นเลนส์ ซึ่งในความเป็นจริงๆ ปรกติเลนส์ของกล้องถ่ายรูปนั้นจะมีชิ้นเลนส์หลายๆ ชิ้นมาประกอบกันเพื่อโฟกัสและรวมแสงเข้า Image Sensor อยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าจะใส่กี่ชิ้นและจัดระยะห่างกันอย่างไร การเพิ่มชิ้นเลนส์ตามความเข้าใจคนทั่วไป อาจจะมองว่าอาจทำให้แสงเดินทางผ่านตัวกลางเพิ่มขึ้นจนทำให้คุณภาพของแสงที่วิ่งผ่านเข้าสูง Image Sensor ลดลง แต่ในความเป็นจริง การเพิ่มชิ้นเลนส์อาจเพื่อแก้ไขปัญหา หรือเพื่อทำให้แสงที่เดินทางผ่านเข้ามานั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้นได้ อาจจะเพื่อบีบแสงให้รวมกลุ่มกันดีมากขึ้นไม่ให้ฟุ้ง หรือลดแสงสะท้อนต่างๆ (คล้ายๆ กับการเพิ่มชิ้นเลนส์ ED ของ Nikon ที่ลดความคลาดแสง หรือเพิ่มชิ้นเลนส์ Nano Coating เพื่อลดการเกิดแสงโกสหรือแฟร์ เป็นต้น) เพราะฉะนั้นการเพิ่มชิ้นเลนส์อาจจะหมายถึงคุณภาพของแสงที่วิ่งเข้ามาดีขึ้น ขจัดแสงที่ไม่พึงประสงค์ออกไปทำให้ภาพดูชัดและคมมากขึ้น

เมื่อตัวชิ้นเลนส์ที่มีตัวกลางเพิ่มขึ้น แม้จะช่วยได้มากในการรวมแสงที่มีคุณภาพดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาว่าในสภาพของแสงที่น้อย การเพิ่มรูรับแสง (Aperture) ให้ได้คุณภาพดีนั้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ผมมองว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็เลยเพิ่มขนาดความกว้างของรูรับแสงใน iPhone 4S กว้างขึ้นเป็น f/2.4 จาก f/2.8 ใน iPhone 4 จึงทำให้ชดเชยสิ่งที่เสียไปด้วยอีกทางเช่นกัน

ข้อสังเกตอย่างนึงก็คือ เลนส์ iPhone 4 แต่เดิมนั้นมีทางยาวโฟกัส (Focal length) ที่ 3.85mm แต่ใน iPhone 4S ปรับให้แคบลงมาเป็น 4.3mm ซึ่งทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วรู้สึกว่าถ่ายได้พื้นที่สำหรับเก็บภาพที่กว้างน้อยลง (ทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นองศารับภาพลดลง)

image

ส่วนของ Image Sensor ของ iPhone 4S เป็น CMOS Backside illumination ให้ขนาดของภาพที่ 8 Megapixel  (3264×2448 pixel) โดย Back-side illumination (BSI) นั้นเป็นการให้ Photodiode สลับมาอยู่ด้านบน ทำให้แสงสามารถตกลงบน Photodiode ได้ดีกว่าเดิม

 image
รูปจาก i-micronews.com

ซึ่งขนาดของ Image Sensor ของ iPhone 4S นั้นมีขนาดอยู่ที่ 4.54 x 3.39 mm2 (5.67 mm diagonal) ซึ่งเท่ากับของ iPhone 4 โดยถ้าเทียบกับกล้อง Film (Full-frame พวก SLR หรือ DSLR) ขนาด 35mm จะได้ crop factor ที่ 7.64x ถ้ามานั่งคำนวณต่อว่าจะได้ความชัดลึก-ชัดตื้นเท่าไหร่ (Depth of field/DOF) ด้วยชุดเลนส์ที่ให้รูรับแสงกว้างถึง f/2.4 และทางยาวโฟกัสที่ 4.3mm ถ้าเทียบกับกล้อง Film (SLR หรือ DSLR) ขนาด 35mm จะได้ทางยาวโพสกัสที่ 33mm และค่าของรูรับแสงที่ f/22 เพราะฉะนั้นจะหน้าชัดหลังเบลอแบบเอาไปเทียบกับ SLR/DSLR คงทำได้ไม่ดีนัก เพราะปัจจัยในการได้ภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอนั้นไม่ใช่แค่เลนส์แล้วจบ แต่มันเกี่ยวกับขนาดของ Image Sensor เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

แต่ทาง Apple ไม่ได้ระบุว่า ISO และ Speed Shutter เท่าไหร่ แต่คิดว่าถ้าบอกว่าสว่างขึ้นและเร็วขึ้นจาก iPhone 4 เพราะฉะนั้นลองเอามาเทียบๆ กับ iPhone 4 ที่สามารถใช้ ISO 80-2000 และ Speed Shutter 1/1000sec นั้นอาจจะถ่ายภาพด้วย ISO ที่สูงขึ้นได้อีกและ Speed Shutter และ Frame per Second ที่ดีมากขึ้นด้วย

ส่วนที่น่าสนใจคือ Hybrid IR Filter ที่เป็นการกรองคลื่นแสง Infrared ในแสงธรรมชาติหรือแสงจากแหล่งอืนๆ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพได้สีสดใสมากขึ้น (ปรกติพบอยู่ในกล้อง DSLR เป็นปรกติอยู่แล้ว)

สุดท้าย Apple A5 ที่ออกแบบและพัฒนาตัว Image Signal Processor (ISP) ไว้ใน CPU ตัวนี้ เป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ภาพนั้นมีคุณภาพดีขึ้น ควบคุมโทนสีต่างๆ และความคมชัดที่ถูกปรับแต่งผ่าน Image Processor นั้นถูกตาถูกใจคนใช้งานได้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในโหมดของ HDR ที่ปรกติจะเป็นการถ่ายภาพ 3 ภาพใน Exporsure ที่แตกต่างกันและนำมาทำ Tone Mapping เพื่อให้ได้ Dynamic Range ของภาพที่มากขึ้นกว่าถ่ายภาพปรกติ

อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Apple ใช้ ISP บน A5 ในการปรับแต่งภาพให้ได้สมดุลสีขาว (White Balance) ที่ถูกต้องมากขึ้นอีก 28% และรองรับ Face Detection ในตัวไปเลย (ใช้ Apple A5 ในเรื่องการถ่ายภาพคุ้มค่ามาก)

ซึ่งเจ้า Image Processor ที่ที่กล่าวมานั้นมีอยู่เป็นเรื่องปรกติในวงการถ่ายภาพด้วยระบบ Digital อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ละค่าย แต่ละยี่ห้อก็จะมีสูตรและวิธีคิดปรุงแต่งตัวภาพที่ได้จาก Image Sensor ที่แตกต่างกันไปตามเอกลักษณ์ของแต่ละค่ายนั้นเอง (ขอไม่พูดถึงไฟล์แบบ RAW Format เดี่ยวจะงงไปใหญ่)

สุดท้ายเหมือนเป็นของแถมจากการใช้ CPU ที่เร็วขึ้น และด้วยการที่พัฒนา Apple A5 ให้มี ISP ที่ดีขึ้น ทำให้สามารถถ่ายรูปแรกนับตั้งคลิ้กเริ่มถ่ายได้ในเวลาเพียง 1.1 วินาที และรูปต่อมาในเวลาเพียง 0.5 วินาที โดยที่สามารถถ่ายวิดีโอขนาด 1080p บน iPhone 4S ได้อีกด้วย

พาชมงาน AMD, Do you best with ThinkPad Edge E125 & E325

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2554 ที่ผ่านมานั้น ทาง Lenovo ได้จัดงาน AMD, Do you best with ThinkPad Edge E125 & E325 ขึ้นที่ Kitchen & More, La Villa อารีย์ โดยเป็นงานที่นำเสนอเทคโนโลยี APU ของ AMD ที่ถูกนำมาใส่ใน Lenovo ThinkPad Edge E125 และ E325 และทาง Lenovo ได้พูดถึงเทคโนโลยีที่ Lenovo ใส่ลงไปใน ThinkPad Edge E125 และ E325 นี้

_MG_9463 _MG_9430

Read more

ไวอาลัยกับการจากไปของ Steve Jobs…

Apple Special Event October 2011 : "Let's talk iPhone"

From Apple Keynotes : Apple Special Event October 2011 : "Let’s talk iPhone"

เมื่อวานดูใน Keynotes ก็คิดแค่ว่า เออ คงเป็นที่นั่งของคนที่พูดบน Keynote มากกว่า แต่วันนี้มานั่งคิดๆ ดู อาจจะจงใจเว้นที่ไว้เพื่อ Steve Jobs ก็ได้ ….

ไวอาลัยกับการจากไปของ Steve Jobs … สิ่งที่คุณทำ ทำให้โลกไอทีนี้ง่ายขึ้น…

 

2011-10-06_155056

เครื่องมือบริหาร Project ที่ใช้งานอยู่ตอนนี้

ด้วยความที่ทำงานหลายๆ อย่าง หลายๆ Project ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นมากกว่า 1 คน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ การบันทึกช่วยจำต่างๆ จึงจำเป็น เพื่อไม่ให้หลุดหรือตกหล่นหายไป ในตอนนี้เลยเอาเครื่องมือและวิธีการสื่อสารที่ใช้อยู่ตอนนี้มาแชร์กันสักหน่อย

โทรศัพท์!
เป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ ความชัดเจนในการสื่อสารสำคัญ การโทรศัพท์นั้นเหมาะกับสถานะการณ์บางอย่างที่ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วอันนี้จำเป็นมากๆ บางครั้งส่งอีเมลไป ไม่เข้าใจ หรือไม่ชัดเจน โทรคุยอธิบายอาจจะชัดเจนกว่า

E-Mail
ส่วนใหญ่จะใช้ในด้านการยืนยัน หรือแจ้งรับทราบร่วมกัน รวมถึงการสื่อสารเพื่อสร้างหลักฐานร่วมของการทำงาน ในบาง Project ใช้อีเมลโต้ตอบกันไป-มามหาศาลมากเพื่อสรุปให้ทุกอย่างแน่ชัดจริงๆ

IM

  • Skype – ใช้คุยหรือประชุมสาย ลดต้นทุนการโทรศัพท์ นานๆ ใช้ทีนึง
  • GTalks – ด้วยความที่ใช้บนระบบ Webbased ได้ด้วย ประกอบกับตัวอักษรล้วนๆ รวดเร็วไม่ต้องมีอะไรมากมาย จึงเหมาะมากๆ กับการโต้ตอบ ไป-มาระหว่างคนสองคน (แถมมี logging chat ด้วยสะดวกดี)
  • Windows Live Messenger – ใช้คล้ายกับ GTalks แต่สะดวกกว่าที่มีทุกเครื่อง ทำ Invite มาคุยกันหลายๆ คนได้ และรวมถึงคุยกับลูกค้าบางคนที่ไม่ได้ใช้ GTalks (เกือบทั้งนั้นเลย)

Github
ระบบ Project Sharing Code ที่มีผู้ใช้งานอยู่ทั่วโลก ได้รับความไว้วางใจาก Developer มากมาย ผมเสียเงินเพื่อเช่าใช้แบบ private เดือนละประมาณ $12/month อยู่ ทำงานได้ดีครับ กับจำนวณคนไม่มาก เป็นทีมเล็กๆ แบบผม ถ้า Project หรือคนที่ทำงานร่วมกันมากกว่าที่รอบรับก็เพิ่มเงินเข้าไป แต่ถ้า Project ไหนจบแล้วก็ลบออกพร้อมทำ copy source ออกมาพร้อมสรุป จนถึงระดับนึงอาจจะลด plan ลงได้ (ออกแนวใช้เมื่อจำเป็น) ทำให้ประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น

  • Git Version Control System 
    เป็น Source Code Versioning แบบ distributed version control system โดยที่แต่ละคนไม่เพียงได้ข้อมูลล่าสุดของไฟล์งานต่างๆ เท่านั้น แต่ได้ทั้งมา repository (project code) เพราะฉะนั้นถ้า Server ตัวหลักเสีย เครื่อง Client ก็สามารถทำงานได้อยู่ พอ Server กลับมาทำงานได้ปรกติก็จะสามารถส่ง Source กลับไปได้โดยข้อมูลที่แก้ไขไป-มานั้นยังคงอยู่และพร้อมให้ Server สามารถรับข้อมูลล่าสุดต่อไปได้ทันที เหมาะกับ Project ขนาดเล็กถึงใหญ่ที่ต้องใช้การแชร์ Source โปรแกรมมากกว่า 1 คนขึ้นไป เพื่อป้องกันการแก้ไขทับไปมาระหว่างคนในทีม ช่วยเรื่อง Backup และ Recovery ได้ดีมากๆ
  • Issue/Milestone
    ระบบช่วยติดตามงาน การเพิ่มเติม Label เพื่อง่ายต่อการแยกประเภทของ Issue โดยถ้ามีเรื่องต้องปักวัน หรือ Milestone ก็ทำงานควบคู่กันได้ โดยหลักๆ ใช้เพื่อทำงานต่อไปนี้
    • แจ้งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ หรือมีการส่ง Features ใหม่เข้ามา จะทำเพื่อแจ้งให้ทราบ จะสร้าง Issue แล้วมาลงชื่อและ comments กันไป-มาเพื่อมา track ต่อได้ จะใช้ Label ชื่อ Information เมื่อตกลงแล้วจะสร้าง Issue ชื่อ Features ขึ้นมาแทนเพื่อประกบ Milestone
    • ใช้ Milestone มาจับกับ Issue ทีเป็น Label ที่ตั้งว่า Features เพื่อรวมว่า Milestone ไหนที่ Close Issue บ้าง
    • Bug Tracking โดยกำหนด Label ที่ชื่อ Bugs เพื่อแจ้งให้ทราบว่า Issue นี้เป็น Bug report และเมื่อแก้ไขแล้วจึง Close Issue เพื่อจบ Issue
  • Wiki
    ใช้เพื่อ Note และแจ้งข้อมูลทั่วไปพวก FTP, Databases Access หรือเอกสารของลูกค้าต่างๆ ที่เป็น Features หรือข้อตกลง เป็นหลัก ซึ่งรวมไปถึงคู่มือหรือการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

Google Docs : Documents/Spreadsheet (เอกสารแชร์กับลูกค้า)
ไม่มีอะไรมาก ลูกค้าคงใช้ Github ไม่เป็น เพราะงั้น ใช้อะไรที่ง่ายๆ เข้าถึงง่ายกว่า สำหรับเอกสารพวกนี้เสีย

Dropbox : Cloud Storage Sharing/Sync
ไฟล์รูป ไฟล์ Themes ต่างๆ หรือเอกสารลูกค้าที่เป็น Word, Excel หรือ PowerPoint ที่เป็นไฟล์โยนไป-มาในอีเมล จะรวบรวมไว้ในนี้เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและส่งต่อ