เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) ถ้าดีก็จ่ายเงินเค้าเหอะ

เว็บให้บริการด้านข้อมูลบนกลุ่มเมฆ (cloud services) นั้นเริ่มทำให้ผมต้องจ่ายเงินรายปีมาตั้งแต่ต้นปี 2009 แล้วหล่ะครับ ส่วนตัวแล้วมี Server เป็นของตัวเองวึ่งเป็น Co-locations อยู่ แต่ที่ผมใช้บริการพวกนี้ อาจจะเพราะต้องการอะไรที่มากกว่าพื้นที่เก็บข้อมูลหล่ะมั้ง

ตอนนั้นผมสมัครใช้บริการเว็บให้บริการบนกลุ่มเมฆที่คุณสมบัติมากกว่าที่เค้าให้บริการฟรีอยู่ 1 เว็บเป็นการประเดิม นั้นคือ Multiply ในรูปแบบ Premium Member เป็นเว็บที่ผมจ่ายเงินให้เป็นเว็บแรก เพียงเพื่อใช้งานในการเก็บรูปภาพของผมได้ไม่จำกัด การไม่แสดงผลโฆษณาในหน้าเว็บที่ผมใช้งานอยู่ (ป้ายมทันใหญ่ใช้ได้เลย รำคาญน่ะ) และยังคงข้อมูลไฟล์รูปภาพทั้งหมดไว้ตราบที่ผมยังคงจ่ายเงินใช้บริการรายปีต่อไปเรื่อยๆ ในราคาค่าบริการปีละประมาณ 700 บาทได้ ($19.95/Year) ด้วยข้อเด่นที่ยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้คือชุมชนคนถ่ายภาพที่เยอะจึงเหมาะแก่การจ่ายเงินเพื่อคงข้อมูลรูปภาพต่างๆ ไว้อย่างดีที่สุด (จ่ายเงินแล้วก็น่าจะได้บริการการ backup ข้อมูลที่ดีกว่า)

พอสักพัก ผมรู้สึกว่าผมอยากได้พื้นที่สำหรับเก็บภาพสำหรับอัพรูปเป็นรายครั้งมากกว่ารายอัลบั้มที่มีลักษณะเป็น Stream ซึ่ง Flickr ตอบวิธีคิดนี้ได้ดีมากๆ ในค่าบริการรายปีเช่นกัน โดยมีค่าบริการแพงกว่า Multiply Premium อยู่แลกน้อย แต่สิ่งที่ดีมากกว่า Multiply คือคุณภาพของการเก็บไฟล์และแสดงผลรูปที่มีคุณภาพดีกว่ามาก (ไม่เบลอหรือบีบอัดไฟล์รูปแบบย่อลงไปจนเสียคุณภาพ) พร้อมระบบ Web Services API ที่ล้ำสมัยกว่า Multiply มาก ทำให้การจ่ายเงินจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยจากความต้องการ ประกอบกับ Pro Member ของ Flickr นั้นได้ความแตกต่างจาก Free Member เยอะกว่า Multiply อย่างเห็นได้ชัด ทำให้ราคาประมาณเกือบ 800 บาท ($24.95/Year) จึงไม่แพงจนเกินไปนัก

ผมใช้ Services ทั้งสองเว็บมา 2 ปี และไม่มีเว็บไหนโดนใจในการจ่ายเงินผมลงไปจนกระทั้งปลายปี 2010 Extension ของ Firefox อย่าง XMarks ที่ผมใช้ในการ Sync Bookmarks ทั้ง 3 Web Browser นั้นเข้ามาทำให้ผมต้องจ่ายเงิน เพราะผมทำงานด้าน Web Developer การต้องมานั่งใช้ Bookmarks ที่ไหนที่นึงเป็นหลักแล้วโยกไปโยกมาระหว่าง Browser เป็นเรื่องปวดหัวมากๆ การมีระบบ Sync ข้ามกันไปมาย่อมดีกว่ามากๆ แถมระบบ Open Tab Sync ที่ช่วย Sync ระหว่าง Browser ทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นเยอะมาก โดยผมไม่ต้องกรอก url ใหม่ตลอดเวลา ก็เลยสะดวกและทำงานเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นการจ่างค่าบริการ XMarks Premium ในราคาเกือบ 400 บาทต่อปี ($12/Year) จึงสมเหตุสมผลมากๆ ซึ่งได้เรื่องการ Sync เข้า iOS, BlackBerry และ Android ได้ด้วย แถมระบบ Backup ย้อนหลังได้ 3 เดือนทำให้ผมมีระบบ Backup Bookmark ที่ดีไปในตัว ซึ่งสำหรับผมแล้ว Bookmark ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะมันคือการเก็บบันทึกการใช้งานเว็บผมไปในตัวด้วย

พอมาปี 2011 ก็สมัคร Google Apps for Business ปีละประมาณ 1,500 บาท เพื่อทำ Cross sync ตัว Contact/Calendar/Mail ระหว่าง Microsoft Outlook กับตัว Google Apps เพื่อให้ทำ Wireless Sync กับอุปกรณ์ทั้งหมดที่ผมพกพาตั้งแต่ BlackBerry, iPod Touch 4 และ HTC Pharos อีกทีนึง แน่นอนเป็นราคาใช้บริการรายปีที่แพงมากสำหรับผม แต่เมือ่ได้ทดลองใช้มาเกือบ 3 เดือน (trial 1 เดือนด้วย) ช่วงแรกจะปวดหัวมากในการปรับตัวและ Clean Sync มี Contact/Calendar ซ้ำเยอะ ต้องไล่ๆ ปรับอยู่หลายวัน แต่สุดท้ายก็เป็นไปได้ด้วยดี เวลามี Contact/Calendar ใส่เพิ่มหรือแก้ไขเข้ามา ทุกอย่าง Sync ถึงกันหมดผ่านอากาศ โดยไม่ต้องพึ่งสาย กลายเป็นสายเป็นแค่ที่ชาร์จแบตฯ ของอุปกรณ์เท่านั้นในตอนนี้ คือถ้าใครไม่ได้สัมผัสการใช้งาน Wireless Sync จะไม่รู้เลยว่ามันสะดวกแค่ไหนในการใช้งาน อีกอย่างทำแบบนี้แล้วข้อมูลของเราไม่ว่าจะเป็น Contact/Calendar จะปลอดภัยเพิ่มขึ้นในเรื่องเวลาอุปกรณ์โดนขโมยอย่างน้อยๆ ก็ยังมีข้อมูลเหลือให้เรานำไปใช้ต่อไปได้ในอนาคต

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วใช้บริการ services แบบ cloud พวกนี้อีกหลายตัวที่ยังใช้งานฟรีอยู่อย่างเช่น Dropbox (cloud storage), Evernote (cloud notable) และ Picasa Web (cloud photo album) ส่วนตัวอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงก็คือใช้ออกแนวเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอย่างตัวที่ได้กล่าวๆ มา จริงๆ แล้วอยากใช้ Dropbox และ Evernote นะ แต่ว่าตัวเลือกมีน้อย ตัวต่ำสุดก็แพงยังคงไม่เห็นจุดคุ้มในการใช้งาน ส่วน Picasa Web ก็ดูจะเป็นแค่ตัวสำรองสำหรับ Flickr มากกว่า แฮะ ….

เร็วๆ นี้ผมก็กำลัง ย้ายจาก Multiply ไป Flickr อย่างเต็มตัว และรูปภาพเซ็ตหลังๆ ผมจะอยู่ที่ Flickr เท่านั้น ส่วนภาพเก่าๆ จะทยอยใส่ลง Flickr ทั้งหมด ส่วน Multiply ก็ดูแล้วจะคงได้เวลาหมดสัญญาไปเสียทีหล่ะมั้ง ส่วนเรื่องชุมชนคนถ่ายภาพนั้นก็ยังคงอยู่ แต่คงเป็นแค่ลักษณะโพสภาพเล็กๆ น้อยๆ เรียกคนเข้า Flickr แทน ;P เพราะเหตุผลแท้จริงๆ ในการทำอัลบั้มรูปคือคุณภาพของรูปที่แสดงเป็นหลัก ซึ่งผมลืมข้อนี้ไปเสียสนิท และนั้นก็ยังผลมาถึงคำถามต่อคุณภาพของ Multiply ที่แย่ลองและเมื่อเทียบกับ Flickr แล้ว นับวันยิ่งเห็นความต่างเยอะ อีกทั้งความคมชัดของภาพก็แย่ลงเรื่อยๆ และผมเริ่มรับไม่ได้ อีกทั้งระบบจัดการรูปก็ไม่พัฒนา มีแต่อะไรก็ไม่รู้ที่ก็ไม่ได้เรื่องสักอย่างมากขึ้นทุกวัน ส่วนรูปใน Flickr กว่า 3,000 รูปก็กำลังจัดระเบียบพวก tags/sets/collections ใหม่ทั้งหมด และ Backup Original ไว้อีกชุดนึง ผ่านโปรแกรม Bulkr ที่ได้ชื่อว่าเป็น Flickr Organizer บน Windows ที่พึ่งซื้อมา (ประมาณ 800 บาท) แล้วทำการ Sync เพื่อ Backup เข้าเครื่องคอมฯ แล้วก็ส่งเข้า Folder ของ Dropbox เพื่อ Sync Backup อีกชั้นนึงด้วย (ซับซ้อนโคตร)

ส่วนตัวแล้วคือใช้ Flickr เป็นแผนระยะยาว เพราะต้องการที่จะใช้ Flickr ในส่วนของ Web Service API ในการทำ Photo Gallery ต่อไป ส่วน Multiply ระบบ Web Service API ไร้ซึ่งทิศทางมาสักพักแล้ว เพราะตอนออกมาใหม่เหมือนจะดี แต่สุดท้ายก็ เงียบ และผมหมดความอดทนที่จะรอใช้แล้วน่ะครับ

ฝากนิดนึง สำหรับคนใช้งานแนวๆ ผมหรือใช้บางตัวนั้น ถ้าเราใช้แต่ของฟรีในเน็ตกันจนเคยตัว แล้วเมื่อมีอยู่วันนึงที่เราอาจจะจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อบริการที่ดีกว่ากลายเป็นไปต่อว่าเค้า หาว่าเค้าหน้าเลือด ลืมไปหรือเปล่าว่าคนทำงานเหล่านั้นเค้าก็คนที่กินข้าว มีภาระและความจำเป็นเท่าๆ กับเรา ผมว่าคำพูดพวกนี้สำหรับบางคน “เอาแต่ได้กันเกินไปหรือเปล่า” … เราในฐานะคนใช้บริการ เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ใช้ถ้าไม่พอใจในราคาดังกล่าว (เราจ่ายไปแล้ว เรายังขอเงินคืน ก็ยังได้เลย) และแน่นอนถ้าเราพอใจ เราก็สมควรที่จะจ่ายไม่ใช่หรือครับ ^^

Ratina Display กับ iPad 2 ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่จำเป็น)

จริงๆ กะเขียนเกี่ยวกับ iPad 2 เรื่องจอของตัวมันสักหน่อยว่าในความคิดผมจำเป็นแค่ไหนที่จะเป็น Ratina Display แต่คิดๆ แล้ว ออกแนวบ่นๆ มากไปดูจะไม่ได้ (ถ้าใครตาม twitter ผมจะทราบ)

ประเด็นคือในตอนนี้ผมคิดว่าผมจะยืนพื้น iPad 2 เป็นหลักซะ (เอาไปอ้างอิงถึง Tablet อื่นๆ หรือ Notebook ด้วยก็ได้มั้ง)

อย่างแรกก่อน Ratina Display เป็นคำเรียกของ Apple ที่เรียกจอภาพความละเอียดสูงที่ใช้กับ iPhone 4 เป็นครั้งแรก และใช้ใน iPod Touch 4 ในคราวต่อมา ซึ่งมีความละเอียดต่อนิ้วในระดับที่สายตาคนซึ่งคนเราสามารถแยกแยะพื้นที่ 1 ตารางนิ้วได้ประมาณ 300 จุด (dot per inch หรือ dpi) ซึ่งจอภาพดังกล่าวที่ Apple เรียกนั้นสามารถทำได้ถึง 326dpi ที่ขนาดจอ 3.5″ ทำให้ได้ Resolution ของจอภาพดังกล่าวนั้นแสดงผลถึง 960×640 pixel ซึ่งสูงมากสำหรับจอภาพระดับ 3.5″

แต่ประเด็นคือในการเปิดตัว iPad 2 ที่ผ่านมานั้น มีการคาดการณ์ว่า ตัว iPad 2 จะใช้ Ratina Display ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่ได้ใช้ (หลายคนผิดหวัง) แต่ผมมองว่า ถ้า iPad 2 จะใช้ Ratina Display จะต้องใช้ resolution เท่าไหร่?

เพราะขนาด iPhone 4 ยังใช้ที่ 960×640 pixel ที่ 3.5″ แล้วจอ 9.7″ หล่ะ คิดว่า CPU/GPU ต้องใช้ขนาดไหนถึงจะสามารถประมวลผลภาพออกมาแสดงผลได้ในระดับสูงขึ้นเกือบ 3 เท่า!!

หลายคนอาจจะบอกว่า CPU/GPU แรงขึ้นมาก น่าจะไหวนะ แต่ลองเทียบง่ายๆ แค่จอภาพ 7″ แล้วให้เป็น Ratina Display ซึ่งผมยกตัวอย่างว่าให้ยัดใส่ใน Samsung Galaxy Tab ก็จะได้ Resolution ถึง 1920×1280 pixel ถึงจะได้ความละเอียดระดับ Ratina Display ที่ 326 dpi เท่าๆ กับ iPhone 4 จากตัวอย่างที่บอกมา จะเห็นว่านี่มันมากกว่าจอ Full HD 23″ อีกนะครับ และนี่ไม่ต้องมองไปถึงจอ 9.7″ ของ iPad 2 เลยด้วยซ้ำ ถ้าเทียบว่า CPU ของ iPad 2 เร็วขึ้น 2 เท่านะ เอาง่ายๆ คิดเร็วๆ ไม่ต้องเยอะ แต่แน่นอนเอาเข้าจริงมันเยอะกว่านั้นมากๆ ซึ่งถ้า 9.7″ นี่ผมคิดว่าระดับ Resolution ของภาพน่าจะเกือบๆ ได้จอแสดงผล Super Full HD ไปแล้วมั้ง (ผมย้ำว่าคิดเร็วๆ)

คือแค่ CPU A5 ผมยังคิดว่าการแสดงผล Full HD ที่ระดับ 1080p นั้นยังทำได้ดีในระดับที่ทำงานได้แต่ถ้าทำ multi-tasking มากๆ อาจจะมีปัญหาได้ การใช้ Ratina Display มาทำให้กินแรง CPU/GPU เพิ่มขึ้น ผมเกรงว่าแค่สร้างภาพให้แสดงและทำงานทั่วไปก็เต็มที่ของมันแล้วมั้งครับ ถ้าเอาการแสดงผลของ Super Full HD มาใส่ ผมว่าลำพังแค่ CPU/GPU ของอุปกรณ์ขนาดเล็กในตอนนี้คงยังไม่ไหว (ในอนาคตไม่แน่) เพราะแค่ CPU High-End ยังแสดงผล Super Full HD ยังเต็มกลืนเลยในตอนนี้

ที่น่าคิดมากๆ ต่อมาคือ มีจอความละเอียดสูงๆ แต่เนื้อหาและสื่อต่างๆ (Content) ของ Apple มีตัวไหนบ้างที่แสดงผลได้ในระดับ 1280p (หรือสูงกว่า) ในตอนนี้ เพราะตอนนี้ใน Apple Store ก็มีไฟล์หนังระดับ Full HD ระดับ 1080p เท่านั้นเอง ถ้าเอา Full HD มาแสดงบน Ratina Display ขนาด 7″ ยังแตกและไม่เนียน อย่าหวัง 9.7″ ใน iPad 2 เลยครับ!!!

ประเด็นสุดท้าย ซึ่งผมมองว่าเป็นความพอดี ที่ต้องเข้าใจ คือบางคนไม่ได้คิดถึงระยะทางการมองเห็น (Viewing Distance, ยังไงลองไปหาอ่านเพิ่มนะครับ ไม่อธิบายเพิ่มเดี่ยวยาว) ของสิ่งที่ตัวเองใช้งานเลยว่าความเหมาะสมอยู่ที่ตรงไหน การเพิ่มขึ้นของ dpi เท่ากับการประมวลผลมหาศาลอย่างที่บอกไปแล้วนั้น ความเหมาะสมในการใช้งานของ iPhone 4 และ iPad นั้นแตกต่างกัน ระยะการมองเห็นของดวงตาถึงจอภาพไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการใส่ Ratina Display ลงบน iPad 2 จึงเป็นการสิ้นเปลืองและเพิ่มต้นทุนของจอภาพโดยใช่เหตุ ลองคิดๆ ว่าจอภาพของ iPhone 4 กับจอของ iPad ที่ใช้ๆ กัน จอแบบไหนแพงกว่ากัน ในมุมผมแล้วนั้นจอ iPhone 4 มีราคาแพงกว่าแน่นอน เพราะฉะนั้นยิ่งทำจอ Ratina Display ใหญ่มากเท่าไหร่ยิ่งเป็นการทำให้ iPad มีราคาสูงขึ้นมากเท่านั้น และด้วยสงครามราคาในตอนนี้ด้วยแล้ว Apple คงต้องการทำให้ราคาถูกที่สุดเพื่อชิงพื้นที่ส่วนแบ่งให้มากๆ เป็นหลักก่อน

เมื่อโปรแกรมเมอร์อารมณ์ติส ก็แนวๆ นี้แหละ

จาก http://bit.ly/fCTsuB “แอบชอบหนุ่มโปรแกรมเมอร์ จะแอบบอกความในใจด้วยโค๊ดแบบไหนได้มั่งอ่า”

ก็เลยเขียนเล่นๆ ช่วงที่เซงๆ กับเรื่องบางเรื่อง


World = {
    'CreateMe'  : function (n) {
        World.me = n;
        World.HaveSomeThingToTellYou = function () {
            if(World.you != null)
                return true;
            alert('Single');
            return false;
        }
        return World;
    },
    'CreateYou'  : function (n) {
        World.you = n;
        World.Love = function (u) {
            alert(World.me + " love " + u.you + ".");
        }
        return World;
    }
};

i = World.CreateMe('Me');
u = World.CreateYou('You');

if(i.HaveSomeThingToTellYou())
i.Love(u);