Review IBM (Lenovo) Thinkpad Carry Case Backpack

วันนี้ผมจะมา Review กระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊กใส่ฝันของผมเลย คือ IBM (Lenovo) Thinkpad Carry Case Backpack ซึ่งหมายตามันมานานมาก โดยในการ Review จากเว็บเมืองนอกว่าดีมาก ๆ และใส่ของได้เยอะด้วย (ออกแบบโดย IBM Thinkpad Research ที่ญี่ปุ่น) โดยสั่งตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2006 โดยเป็นสินค้าแบบ By Order ซึ่งต้องจ่ายเงินและรอสินค้าประมาณ 3 – 4 อาทิตย์ เพราะไม่มีการสต็อกสินค้าไว้ในคลังสินค้า (คาดว่าเพราะมันขายยากเนื่องจากราคามันแพง) โดยสั่งกับ Shop4Thai และได้รับวันเสารที่ผ่านมานี่เองครับ ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ ทีเดียว (รอได้ของดีไม่มีปัญหา ;) ) วันนี้เลยเอามา Review ประเดิมการย้าย Server ใหม่เสียเลย ฮ่า ….

ข้อมูลเบื้องต้น

  • IBM (Lenovo) ThinkPad Carrying Case – Backpack
  • P/N : 73P3599
  • น้ำหนัก : 2.8 lbs (1.27kg)
  • วัสดุ : Ballistic Nylon (วัสดุกันน้ำได้ดี)
  • ขนาดกระเป๋า (สูง x กว้าง x หนา) : 48.9 x 38.1 x 22.9 cm
  • ขนาดช่องใส่โน็ตบุ๊ก (สูง x กว้าง x หนา) : 33.0 x 28.45 x 6.0 cm
  • ระบบกันสะเทื่อนแบบ SafePORT Air Cushion System จาก Targus ในช่องใส่โน็ตบุ๊ก
  • ไฟสีน้ำเงินขนาดเล็กภายใน
  • การรับประกันแบบ Limited lifetime warranty จาก Targus และ IBM (Lenovo)
  • ช่องที่เป็นซองใส่ CD/DVD ทั้งหมด 7 ช่อง
  • สี : ภายนอกสีดำ และช่องใส่โน็ตบุ๊กเป็นสีน้ำเงิน
  • ราคา 3,340 บาท ( + ค่าส่ง + vat 7% = 3,700 บาท)

ส่งมาในกล่องขนาดใหญ่โดยส่งมาใันถึงไทยในวันที่ 28 สิงหาคม 2006 แสดงว่าเป็นสินค้าสั่งโดยตรงจริง ๆ เพราะบนกล่องมีวันที่กำกับวันที่ส่งและสายการบิน รวมไปถึงบริษัทขนส่งด้วย ซึ่งต้องเข้าด่านเพื่อชำระภาษี ฯลฯ รวมถึงต้องเข้าคลังสินค้าของ Dealer ก่อน โดยส่งตรงจาก Lenovo ประเทศจีน มาถึง Lenovo Thailand และส่งมายัง Ingram ต่อไป แล้วจึงส่งมาที่เว็บที่ผมสั่งก่อนที่จะส่งมาหาผม (หลายทอดจริง ๆ สั่งสินค้าคราวนี้ได้ใจมาก ว่ามันเดินทางไกลจริง ๆ -_-‘)

รายละเอียดบนหีบห่อที่ใส่กระเป๋ามาครับ โดยจะบอกว่ามันบรรจุลงหีบห่อในวันที่ 20 July 2006 นี้เอง โดยผลิตที่จีนครับ (ฐานการผลิตใหญ่ของ IBM เก่า ก่อนจะเป็นของ Lenovo ในคราวต่อมา)


ด้านหน้า ตัวซิปต่าง ๆ ทำมาเพื่อกันน้ำโดยเฉพาะและซิปด้านหน้ามีปุ่มสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์เล็ก ๆ ว่าเป็นกระเป๋าของ Thinkpad ครับ


ด้านหลัง มีการบุผ้าสำหรับระบายอากาศไม่ให้อับเกินไปครับ


ด้านบน จะเห็นว่าที่หิ้วกระเป๋านั้นจะติดกับสายสะพายเลย ซึ่งด้านซ้ายและขวาจะมีสายรั้งสายสะพายเสริมมาด้วย เพื่อช่วยไม่ให้สายสะพายรับน้ำหนักเพียงอย่างเดียว (ต้องปรับสักหน่อยให้ช่วยกันรับน้ำหน้กครับตัวสายสะพายจะได้ไม่ขาดเร็วเนื่องจากทำงานหนักครับ)

ด้านล่างมีแผ่นยางรองรับสำหรับวางกระเป๋าและทำให้กระเป๋าตั้งตรงได้โดยไม่ต้องพิงกับเสาหรือหลักอื่น ๆ ครับ


ป้ายชื่อ หลายคนคงคิดว่ามีไว้โชว์อย่างเดียว แต่มันแกะได้ครับ ด้านในเป็นที่ใส่นามบัตร หรือบัตรสำหรับด่านรับกระเป๋าตามสนามบินต่าง ๆ ได้ครับ


ช่องใส่ของด้านหน้าสุดครับ มีขนาดพื้นที่ไม่มาก เหมาะสำหรับใส่ของเล็ก ๆ น้อยๆ จำพวกผ้าอะไรพวกนี้ครับ อ่อ ลืมบอกไปครับว่า ช่องใส่ทุกช่องกันน้ำหมดครับ


ช่องที่ 2 ครับ เป็นช่องสำหรับใส่หนังสือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เยอะมากครับ เราจะเห็นป้าย IBM เล็ก ๆ นั่นเป็นที่สำหรับคล้องกุญแจ และที่ห้อยจากป้ายเป็นไฟฉายขนาดเล็กครับ


ไฟฉายเป็นสีน้ำเงินแบบนี้ครับ โดยตัวไฟฉายจะยึดกับตัวคล้องกุญแจแต่มีเอ็นเส้นเล็็กแบบยืดออกมาได้เพื่อสะดวกในการใช้งานในที่อื่น ๆ ได้ด้วย (คล้ายๆ กับเมาส์ที่มีที่เก็บสายที่เป็นตลับ)


มีกระเป๋าเล็ก ๆ ใส่มาให้สำหรับใส่พวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ผมเอามาใส่ Adapter ของโน๊ตบุ๊ก ครับ


ด้านในจะมีช่องเล็ก ๆ สำหรับใส่พวกของเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายช่องมาก ๆ ผมเอามาใส่พวกสายไฟ และเหล่าอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ มากมายได้หมดเลย

ด้านซ้ายมีช่องสำหรับเอาสายหูฟังออกมาได้โดยมียางกันน้ำไม่ให้น้ำเข้าไปภายในกระเป๋าครับ


ช่องต่อมาเป็นที่สำหรับใส่โน็ตบุ๊กครับ มีส่วนสำหรับใส่อุปกรณ์อีกหลายช่องครับ


ซองใส่ CD/DVD ทั้งหมด 7 ช่องครับ

ช่องใส่อุปกรณ์สายไฟครับ เล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ

ช่องใส่โน็ตบุ๊ก โดยมีช่องเล็ก ๆ สำหรับใส่โน็ตบุ๊กจอ 12.1 นิ้วด้วยครับ เพื่อให้มันพอเหมาะกับขนาดของโน็ตบุ๊กในแต่ละแบบครับ (มีช่อง 2 ขนาดคือ 14.1/15 นิ้ว และ 12.1 นิ้ว ครับ) เพื่อให้มันไม่สะเทือนครับ โดยที่สาบรัดซึ่งยึดไม่ให้ตัวโน็ตบุ๊กหลุดออกมานั้นสามารถดึงออกมาจากที่มันยึดอยู่ได้แล้วปรับขึ้นลงได้ เพื่อให้รองรับกับขนาดของโน็ตบุ๊กได้หลากหลายระดับ




แผ่น SafePORT Air Cushion System ที่เป็นแผ่นรองรับโน็ตบุ๊กครับ โดนมันสามารถกันกระแทกได้ในแนวตั้งครับ โดยใช้ซับแรง g จากการกระแทกให้ได้รับแรง g น้อยลงครับ ซึ่งลดได้ประมาณ 20 – 40 % ขึ้นอยู่กับแนว โดยอยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 เมตรและลงมาในแนวตั้งของกระเป๋าด้วย แต่ก็ช่วยป้องกันได้บ้าง ดีว่าไม่ได้ป้องกันเลยครับ


ด้านข้างทั้งสองข้าง เป็นที่ใส่ขวดน้ำครับ


ด้านหลังบริเวณที่แนบกันแผ่นหลังเรายังมีช่องสำหรับใส่ของได้อีกพวกกระเป๋าตัง หรือเอกสารเล็ก ๆ น้อยครับ

และตามมาตรฐานกระเป๋าทั่วไปก็ต้องมีกระเป๋าเล็ก ๆ สำหรับใส่โทรศัพท์มือถือครับ

คงต้องรองใช้ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่เท่าที่ได้สะพายและเอาไปใช้งานวันนี้ก็สะดวกและกระชับกับการสะพายครับ ;)

DRM คำตอบของสื่อออนไลน์ หรือสร้างปัญหากับผู้ซื้อ ?

ผมรู้สึกว่าเดี่ยวนี้คนทำสื่อบางจำพวกเริ่มบ้าเข้าไปทุกที ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องป้องกันการ copy อะไรให้มากมายจน "คนซื้อที่เป็นลูกค้าของคุณจริง ๆ ต้องเดือดร้อน" เพราะผมซื้อแผ่นหนังมา กลับเจอโปรแกรมที่ทำตัวเหมือน malware ทำการโหลดตัวเองเข้าสู่ System แต่ดีที่ไหวตัวทัน terminate มันทัน แล้วไล่เก็บกวาดการทำงานแบบขยะ ๆ ของมันอีกครึ่งวัน ไม่งั้นคงซวยหนักกว่านี้ แล้วอยากจะบอกว่ามันไม่สนุกนะโว้ยยยยย ซื้อของแท้มา แต่กลับได้ผลของการกระทำที่จะปกป้องอะไรบ้่า ๆ บอ ๆ ของพวกคุณน่ะ คือคนซื้อของแท้ก็อยากจะดูในคอมพิวเตอร์ แต่ไม่สามารถที่จะดูได้นะ ตอนนั้นเลยคิดว่า "เอาวะ ลองใน linux ซะเลย" จบครับ การป้องกันใช้ไม่ได้ผล ฮ่า …. ซวยไป copy โดยเอา DRM หรือระบบ Lock ซะเลย และตั้งแต่นั้นมา ถ้าแผ่นหนังแผ่นไหนบอกว่าห้ามใช้กับคอมฯ หรือมีข่าวว่าแผ่นไหนมีแบบนี้ แผ่นนั้นผมก็จะไม่ซื้อ ตรูรอซื้อ import ก็ได้ แพงกว่าแต่สบายใจ

คือผมเป็นพวกไม่ชอบ copy เท่าไหร่อยู่แล้ว (นับตั้งแต่เริ่มเขียนโปรแกรมออกขายก็เริ่มซื้อแต่ของแท้มา เข้าใจและเห็นใจครับ) อย่างมากก็ copy ไว้ 1 แผ่นสำหรับดูส่วนตัวเท่านั้น ส่วนแผ่นจริง จะไม่พยายามหยิบมาดูด้วยเหตุที่ว่ากลัวมันเป็นรอย และไม่อยากให้ใครมาจับด้วย แผ่นที่เรา copy มันจะพังช่างมัน แผ่นต้นฉบับยังอยู่สบายใจกว่า ซึ่งคนที่ทำแบบผมมีเยอะมาก เพราะว่าแผ่นแท้มันราคาไม่ใช่ถูก ๆ และที่ซื้อเพราะชื่นชอบ อยากสบับสนุนงานดี ๆ ต่อไป แต่มาเจอพวก Lock หรือปล่อย Malware นี่หมดอารมณ์ไปเลยเหมือนกัน

ซึ่งการป้องกันเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ผลหรอก ผมว่ามันยากกว่าการมาสอนและสร้างจิตสำนึกเสียอีก เรื่องแบบนี้มันต้องแก้ที่คน ไม่ใช่ไปแก้ที่ระบบ เดี่ยวนี้ซีดีเถื่อน ต่อไปก็ดีวีดีเถื่อน แล้วต่อๆ ไป บราๆๆๆๆ คือมันมีมาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว และในปัจจุบันดันมี Bittorrent ที่กระจายไฟล์มีเดียต่าง ๆ ได้ง่ายมาก ๆ เอาง่าย ๆ แค่คลิปวิดีโออื่อฉาวต่าง ๆ หลุดมาหรือเป็นข่าวคุณสามารถหาสิ่งเหล่านี้ได้ตาม Bitterrent Tracker ต่าง ๆ ได้ทั่วเว็บไทย ได้ไม่ยาก ในเวลาเพียง 5 นาที แล้วผมถามว่าถ้าสื่อมีเดียที่มี DRM หรือระบบ Lock ต่าง ๆ นา ๆ ถูกเจาะได้ใน คงใช้เวลาไม่นานในการกระจายตัวของไฟล์มีเดียเหล่านั้น

คำถามก็คือจะป้องกันอย่างไร ?

แล้วคุณมีอะไรจะเสียอีกเหรอ !!!! เพราะในตอนนี้คุณเสียส่วนแบ่งทางตลาดไปกับแผ่นผี ทั้ง ๆ ที่คุณก็บอกถึงคุณภาพและลดราคาลงไปแล้ว จริงไหมมมม แล้วเรื่องแบบนี้เราจำเป็นต้องป้องกันขนาดที่มานั่ง lock แผ่น บ้าบอ ขนาดทำให้ผู้ซื้อที่ซื้อของแท้จากคุณต้องเดือดร้อนด้วยหรือไงฟร่ะ …. ไม่เข้าใจ การป้องกันการคัดลอกยังไงก็ทำไม่ได้หรอก ถึงแม้ติด DRM มันแค่ชะลอไม่ให้กระจายตัวในตอนแรกแค่ 1 – 3 วันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับ DRM และกรรมวิธีในการแกะไฟล์มีเดีย เช่นไฟล์เพลง 1 เพลง เราสามารถคัดลอกเสียงภายในเพลงได้ด้วยการอัดเสียงธรรมดาได้ง่าย ๆ ไม่ยากเย็นและคุณภาพเสียงเท่าเดิม ได้ง่าย ๆ แผ่น Wave Out ของ Windows หรือ Audio Out ของระบบอื่น ๆ (เจ้า Wave Out คือการทำ Loop Back Audio Out เพื่อเข้าสู่ Line-in หรือ Mic โดยตรงโดยไม่ต้องใช้สายอะไร มันผ่านเข้าและออกผ่านในระบบปฎิบัติการและซอฟต์แวร์เท่านั้น ทำให้ไม่สูญเสียสัญญารบกวน) ซึ่งผมเคยทำแบบนี้กับรายการพวก MCOT.NET หลาย ๆ รายการที่ติด DRM ไม่ยอมให้แปลกเป็น mp3 มาแล้วหลายครั้ง รวมไปถึงไฟล์วีดีโอที่ใส่ DRM ก็สามารถแกะได้ด้วย Video Screen Capture ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเรื่องพวกนี้สามารถทำได้ แต่ต้องปรับแต่งการบันทึกดีๆ สักนิด ก็ได้คุณภาพเท่ากับที่ไฟล์วีดีโดที่ใส่ DRM มานั้นแสดงให้เราดู

จากที่ได้อธิบายไปแล้วนั้น เราไม่สามารถป้องกันการคัดลอก (copy) ได้เต็ม 100% เหมือนกับ มีคนป้องกันก็มีคนแกะ มีคนปิดก็มีคนเปิด ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นเอง

และเช่นเดียวกัน ผมขอพูดถึงการดาวน์โหลดเพลงลิขสิทธิ์ในไทยหน่อยแล้วกัน

ผมรู้สึกว่าเพลงที่ขายแบบออนไลน์นั้น น่าเป็นรูปแบบไฟล์ที่เป็น mp3 ไปเลย และรวมไปถึง CD Audio ที่ขายกันอยู่มีการแนบไฟล์ mp3 มากับแผ่นเลย ในระดับ bit rate ที่ประมาณ 192kbps – 320kbps (จะใช้ VBR เพื่อลดขนาดก็ได้ แล้วแต่จะเลือก) ซึ่งมันอาจจะทำให้คนทำคิดว่ามันจะช่วยป้องกันการ copy ได้หรือ ? ผมมองว่าถ้าคุณไม่แข่งที่คุณภาพ คุณก็ต้องแข่งที่ราคาด้วย ซึ่งราคาคุณก็แข่งแล้ว แต่คุณภาพหล่ะ โดยถึงแม้จะบอกว่า CD Audio มันจะมีคุณภาพดี แต่ …… ในขณะนี้มีคนฟังเพลงสัดส่วนเท่าไหร่ระหว่างแบบ CD Audio Player กับ Portable Media Player หล่ะ ซึ่งตอนนี้มือถือต่าง ๆ ก็เป็น Portable Media Player ทั้งนั้น การจะโหลดเพลงสักเพลงหนึ่ง รวมไปถึง RIP เพลงมาฟัง จาก CD Audio นั้น ต้องคนที่มีพื้นความรู้ด้านคอมฯ เพียงนิดหน่อยก็สามารถทำได้แล้ว แต่คุณภาพหล่ะ วัดกันที่ตรงไหน เพราะแผ่นที่เอามา RIP นั้นถ้ามีรอย ก็ทำให้คุณภาพเสียงนั้นลดลงได้ การที่คุณแถม mp3 ลงในแผ่นไปเลยกับแผ่นจริง มันทำให้คุณภาพที่แท้จริงของแผ่นดีขึ้น และนำไป copy ลงเครื่องต่าง ๆ ของผู้ใช้ได้ง่ายและได้คุณภาพที่ดีกว่ามา RIP เองแน่นอน และถ้าถ้าพูดถึงความสะดวกแล้ว Portable Media Player สะดวกกว่าทั้งในการพกพาเครื่องและสื่อบันทึกด้วย เพราะมันเก็บข้อมูลในรูปแบบไฟล์เพลงลงในเครืองแล้วพกพาไปได้ในจำนวนเพลงที่มีตั้งแต่เพลงเดียวไปจนถึง 20,000 เพลง ซึ่งเรายังสามารถจัดเพลงในรายการได้ว่าจะพังเพลงไหนก่อน รวมไปถึงแยกหมวดหมู่เพลงได้อีกด้วยทำให้สะดวกต่อการหา และพกพาอย่างมาก

แต่ปัญหาต่อมาคือการแจกจ่าย ผมมองว่าถึงคุณไม่ทำ ใช้ CD Audio ธรรมดาแบบที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ก็ขอยืมแผ่นกันไปๆ มาๆ อยู่แล้ว ในหมู่เพื่อน ๆ คุณคงไปบังคับไม่ได้ว่าคนอยากฟังต้องซื้อกันคงละแผ่น เอาง่าย ๆ ในหนึ่งครัวเรือน จะมี CD เพลงของอัลบั้ม X เพียงแค่ 1 แผ่นเท่านั้น แต่มีคนฟังอยู่ 5 คน และถ้าคนนี้อยากฟังก็ต้องไปซื้อมาใหม่หรือว่า copy แผ่นใหม่ขึ้นมา อันไหนง่ายกว่ากัน อย่าลืมว่าครอบครัว หรือหมู่เพื่อนเดียวกันคงไม่อยากเสียเงินหลายรอบ ในเมื่อก็มีอยู่แล้ว จริงไหม ยังไงก็ป้องกันไม่ได้ในส่วนหนึ่งอยู่แล้ว การทำให้สามารถ copy ในไฟล์ mp3 ได้นั้นน่าจะดีกว่าในหลายๆ ส่วน เพราะยังไง CD Audio มันก็ copy ได้อยู่ดี (ยิ่งใช้เครื่อง Duplicate ด้วยยิ่งเร็วใหญ่)

ต่อมาในเรื่องของออนไลน์มีเดียนั้นผมมองว่าน่าจะทำได้แล้ว และไม่สมควรที่จะใช้ DRM อย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่าในตลาดเครื่องเล่น Portable Media Player มีสัดส่วนเท่าไหนที่รองรับ DRM ที่คุณใส่มากับเพลงที่โหลดมา อย่างเช่น wma ที่แนบ DRM ของ Microsoft นั้น ก็ใช้ได้กับเครื่องเล่นบางรุ่นที่รองรับ WMA DRM ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ใช้กันอยู่ในวงจำกัดอยู่ รวมไปถึง ACC DRM ของ Apple เอง (บริษัทผู้ผลิต iPod) ซึ่งก็มีแต่เครือง iPod ที่เล่นได้เท่านั้น รวมไปถึงการลงทุนกับระบบ DRM ของแต่ละค่ายนั้นก็เป็นเงินสูงมาก เพราะเราต้องพูดถึงค่าลิขสิทธิ์การใช้ระบบ DRM ของค่ายนั้น ๆ ในหลักหลายร้อยล้านบาทแน่ ๆ ลองคิดดูว่าคุ้มหรือไม่กับการลงทุนลงไป แล้วใช้ได้กับคนกลุ่มน้อย ๆ กลุ่มหนึ่งที่มีเครื่องรองรับได้ไม่เท่าไหร่ หรือจะบอกว่าเอาไว้ฟังกับคอมฯ ที่ลงระบบ Windows + Windows Media Player 9  ขึ้นไปที่ติดตั้ง DRM ด้วย ซึ่งมันก็ดูจะแคบลงไปอีก เพราะมันคัดลอกลงใน Portable Media Player ลำบากอีก หรือมีน้อยเครื่องที่รองรับในตลาด ถามว่ามันเป็นผลดีไหมกับการลงทุนไปหลายร้อยล้าน แต่ใช้เวลาคืนทุนนานนับปี

แล้วในเรื่องของการจัดจำหน่ายเพลงออนไลน์นั้น ผมมองว่าการจัดจำหน่ายเพลงนั้น จากประเทศต้นแบบอย่างอเมริกานั้นจะมีการจัดจำหน่ายเพลงเป็นรายเพลงในราคาหนึ่ง และเหมาอัลบั้มอีกราคาหนึ่ง โดยที่พิเศษกว่านั้นคือ เพลงใดที่เป็น single ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว จะมีให้โหลดทันที โดยไม่ต้องรอให้เพลงที่ศิลปินนั้นมีเพลงครบอัลบั้มก่อน แล้วจึงขาย มันทำให้เกิดการสร้างโอกาสของการแข่งขันกับแผ่นผีได้มาก เพราะว่าเพลงที่ออกจะมีได้ทันต่อความต้องการของลูกค้าได้ทันที เช่น วันนี้เพลงจากศิลปินดังจะออก single ทางวิทยุเป็นวันแรกในเวลา 9.00 น. โดยในตอนนั้นทางเว็บค่ายผู้ผลิตเพลงก็เปิดให้ซื้อได้ในเวลา 9.00 น. โดยมีเพลงดังกล่าวเปิดให้สามารถซื้อและดาวน์โหลดได้ทันทีหลังจากที่เพลงดังกล่าวนั้นมีคนฟังจบ โดยมันเป็นการสร้างโอกาสก่อนที่แผ่นผีจะออกมาในอาทิตย์หน้า และคุณภาพเสียงดีกว่าที่แผ่นผีทำด้วย เพราะยังไงแผ่นผีมันก็คงต้องอัดจากวิทยุต่าง ๆ มากกว่าที่จะได้จากต้นฉบับจริง ๆ (นี่คือเรื่องจริงที่ว่าเพลง Single ในแผ่นผีต่าง ๆ นั้นส่วนใหญ่กว่า 95% เป็นเพลงที่อัดจากวิทยุทั้งสิ้น ส่วน 5% มักเป็นเพลงที่หลุดมาจากห้องอัดเอง หรือสถานีวิทยุซึ่งไม่ขอยืนยัน เพราะเป็นข่าวในวงคนฟังเพลงแผ่นผีเค้าเล่ามาอีกที) ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสที่ดี รวมไปถึงเว็บโหลด ringtone ต่าง ๆ ก็มีให้โหลดพร้อมเสร็จ ผมมว่ามันเป็นการสร้างโอกาสที่ใช้ทุนต่ำกว่า และได้ผลตอบรับที่ดีกว่าอีกด้วย ซึ่งยังไงเพลงที่ได้ไปมันก็เร็วกว่าแผ่นผี ในราคาที่น่าจะพอจับได้ที่เพลงละประมาณ 15 – 20 บาท (แล้วลดราคาพวก Rintone ต่าง ๆ ลงเหลือเพลงละ 5 – 10 บาทก็ได้) ซึ่งถ้าราคา 15 บาท/เพลง ถ้าอัลบั้มมี 10 เพลง ซื้อเหมายกอัลบั้มก็เหลือ 99 ก็ได้ ยังไงก็ไม่มีต้นทุนค่าแพ็คเก็จ หรือจัดจำหน่ายอยู่แล้วยังไงก็ได้กำไรมากกว่าอยู่แล้ว (ค่าจัดจำหน่ายต่าง ๆ และค่าแพ็คเก็จต่าง ๆ ก็กินส่วนราคาแผ่นไปแล้วน่าจะประมาณ 40% – 75% ขึ้นอยู่กับการตกลงกัน อันนี้ผมประมาณเอาตามการคาดเดา จากที่เคยขายของมา) ทำให้น่าจะได้กำไรมากขึ้นด้วย แถมมีคนอยากโหลดเพลงใหม่ ๆ ก่อนใครอยู่แล้ว จริงไหม ส่วนมันจะ copy ไปให้คนอื่นหรือเปล่า มันก็อีกเรื่อง เพราะที่ทำแบบนี้เพราะเราต้องตีตลาดแผ่นผีที่คุณบอกว่าคุณภาพแย่กว่าของคุณ โดยราคาที่คุณให้นั้นคุ้มค่ากว่าในเรื่องของเพลงที่สดใหม่กว่า คุณภาพดีกว่า รวดเร็วกว่า แถมด้วยค้นหาได้ง่ายกว่าอีกด้วย

อีกประเด็นคือ เพลงเก่า อย่าลืมว่าคนอยากได้เพลงเก่า ที่เพราะ ๆ ดี ๆ เยอะมากนะครับ การนำเพลงเก่า ๆ มาขายในรูปแบบออนไลน์น่าจะสร้างมูลค่าและตัวเงินได้มากขึ้นให้กับบริษัทเพลง เพราะว่าเพลงเก่าเหล่านี้ส่วนใหญ่ร้านขายเพลงไม่ค่อยเก็บไว้ มักส่งคืนหรือขายลดราคาไปหมด จนหาซื้อไม่ได้แล้ว การเอามาขายในรูปแบบที่บอกเป็นการตีตลาดเพลงเก่าของแผ่นผีได้ดีมาก เพราะแผ่นผีบางครั้งก็หาเพลงเหล่านั้นไม่ได้ด้วย

ซึ่งถ้าจะทำแนะนำว่าระบบการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์นั้นสมควรจะมีการทำระบบสารบัญ และระบบค้นหาที่ดีเพื่อการค้นหาเพลงที่ง่ายและรวดเร็วทำให้การซื้อขายเพลงราบรื่นมากขึ้นอีกด้วย

ต่อมาคือเรื่องของบริการเสริมในกรณีที่ซื้อแบบออนไลน์ อย่างผมอยากซื้อเพลงแบบเลือกได้แล้วสั่งอัดลง CD แล้วเอาเพลงต่าง ๆ ที่ได้นั้นเอามารวมเป็นอัลบั้มพิเศษ แล้วสั่งซื้อเป็น CD ของขวัญอะไรพวกนี้ แล้วมีปกเพลงที่เราเลือกเองได้ อย่างการใส่รูปตัวเอง หรือรูปแฟน อะไรพวกนี้ลงไปได้ พร้อมสกีนแผ่นให้ด้วย แล้วมีเลือกแพ็คเก็จดี ๆ สวย ๆ หรือมีส่วนของการเพิ่มรายเซ็นนักร้องคนนั้นใส่ไปด้วย (ยังไงแผ่นผีมันก็ไปขอให้เซ็นให้ไม่ได้อยู่แล้ว) น่าจะทำให้มูลค่าของสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น (อาจจะเพิ่มราคาตาม option ที่เลือกไป ตั้งแต่ 150 – 300บาท ขึ้นอยู่กับ option ที่เลือกว่ามากแค่ไหน) ทำให้ดูมันเป็นอัลบั้มเพลงที่คน ๆ นั้นได้เลือกจริง ๆ เพราะเป็นการเลือกเพลงเองของผู้ใช้ซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าทำแบบนี้ดี น่าจะทำให้การซื้อขายเพลงแบบออนไลน์ทำรายได้ให้กับศิลปินเพิ่มมากขึ้น แถมการทำอัลบั้มพิเศษเหล่านี้ยังเป็นการทำวิจัยตลาดไปในตัวว่าคนฟังชอบแนวไหนบ้าง รูปแบบแพ็คเก็จแบบไหนที่คนชอบ โดยไม่ต้องมาให้นักวิจัยตลาดออกไปหาข้อมูลเราสามารถหาได้แบบออนไลน์ได้เลย ซึ่งดีกว่ามาก ๆ แถมข้อมูลเที่ยงตรงอีกต่างหาก

คราวนี้คนทำเพลงก็ไม่ต้องทำเพลงให้ครบอัลบั้ม ทำออกมา 1-2 เพลงก็เอาออกขายได้เลย แล้วคนซื้อเป็นคนตัดสินว่าเพลงไหนดีไม่ดี รู้กันไปเลย ไม่ใช่มัดมือชกซื้อให้ครบทั้งอัลบั้ม ฟังอยู่ 2 เพลงอะไรแบบนี้ ซึ่งทำออกมาแล้วขายเลย มันทำให้รายได้ถึงตัวนักร้องและค่ายเพลงได้รวดเร็วด้วย

ตอนนี้คนซื้อต้องการทางเลือกของ format MP3 ที่มากกว่าแผ่นผี (อย่าง VampireS Records ฮ่า …… ) ที่มีทั้งคุณภาพและราคาที่ดี รวมไปถึงทันความต้องการของผู้บริโภคที่จะต้องการเอามาฟัง

ถ้าจะให้ดีใส่ Art Work ลงใน Meta Data ของ MP3 หรือมี Art Work ให้โหลดด้วยก็จะดีนะ ;) เพราะผมฟังใน iPod nano ครับ ไม่มี Art Work มันดูเหมือนกับเพลงไม่มีชีวิตยังไงไม่่รู้ ( -_-‘ ซะงั้นอ่ะ )

อ่านเรื่องราวคล้าย ๆ ความคิดผมได้ที่ ถึงคนทำเพลงทุกท่าน ผมมีอะไรจะบอก เรื่อง MP3 และการละเมิดฯ

อ่านความคิดเห็นอื่น ๆ ได้ที่ PANTIP.COM : A4635984 ถึงคนทำเพลงทุกท่าน ผมมีอะไรจะบอก เรื่อง MP3 และการละเมิดฯ [ดนตรี]

Get Ready Windows Vista ?

จากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเอาแผ่น Windows Vista Beta 2 จากเพื่อนมา copy แต่ยังหาเครื่องลงไม่ได้ ต่อมาอีก 2-3 วัน Microsoft ก็ออก Windows Vista pre-RC1 ออกมา แต่ให้ดาวน์โหลดเฉพาะ MSDN ระดับ MSDN Operating Systems Memeber เท่านั้น (ผมเป็น แค่ MSDN Connections Silver Member ซึ่งดาวน์โหลดไม่ได้ -_-‘ ) แล้วอีกไม่นานก็มีปล่อยให้คนทั่วไปได้ดาวน์โหลดมาทดลองใช้ แต่ด้วยอินเทอร์เน็ตไม่แรงพอเลยล้มเลิกไป แต่อีกสักพัก (ประมาณอาทิตย์นึง) ก็ตามมาติด ๆ ด้วย Windows Vista RC1 ภายในไม่กี่วันแต่ก็ให้ดาวน์โหลดแค่ระดับที่บอกไว้ข้างต้น เท่านั้น แต่ในวันนี้ก็เปิดให้บริการดาวน์โหลดกับบุคคลทั่วไปแล้ว โดยข่าวที่ได้ ได้มาจากเว็บใต้ดินแห่งหนึ่ง (ไม่บอกแล้วกัน หลาย ๆ คนคงรู้) ซึ่งที่นี่ข่าวด้านดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ทั้งเถื่อนและไม่เถื่อนนี่ไวมาก เหมาะต่อการติดตามซอฟต์แวร์หลาย ๆ แบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรวมถึงการแพ็ตตัวซอฟต์แวร์ที่เราใช้ด้วย ตอนนี้กำลังดาวน์โหลดอยู่ไม่รู้จะผ่าน MD5 Check SUM หรือเปล่านี่ดิ -_-‘ คงต้องลองรุ่นดู

แต่ที่แน่ ๆ เครื่องเราลง Windows Vista ไม่ได้แน่นอนเพราะ ไม่ผ่าน Windows Vista Upgrade Advisor ซึ่งเจ้า Advisor ตัวนี้เราโหลดมาติดตั้งแล้วสั่งให้มันทำงานแล้วมันจะบอกว่ามีอะไรบ้างที่เราต้องเปลี่ยนแปลง เช่นพวก Driver ต่าง ๆ หรือแม้แต่ Hardware ที่ไม่สนับสนุนกับ Windows Vista ซึ่งของผมมันเป็น

ซึ่งมันบอกว่าผมต้องเปลี่ยน I/O Controller กับ AGP Controller ใหม่ ซึ่งมันก็กลายๆ ว่าต้องเปลี่ยน MotherBoard ใหม่ อ้าวววว เวรกรรม แล้วเครื่องเรามัน Notebook เว้ยยย เปลี่ยนได้ที่ไหนเล่า -_-‘ ก็เลย จำใจไม่ลง แล้วคงได้โอกาสซื้อเครื่องใหม่หลังจากที่ Windows Vista ออกสัก 2 – 3 เดือนก่อน (ดูท่าทีมันด้วยว่ามันจะเป็นยังไง)

Download Windows Vista RC1

เรานี่ช่วงนี้ไม่ค่อยอัพเดทเลย -_-‘

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีมุขเขียนอะไรใหม่ ๆ สักเท่าไหร่ เพราะสมองส่วนใหญ่ใช้ไปกับงานอื่น ๆ หมดเลย และตอนนี้กำลังสะส้างงานต่าง ๆ ที่ค้างๆ อยู่หลังจากที่หยุดไปเพราะรายงานไพธอน จริง ๆ เดี่ยวจะเอาเรื่องมันๆ มาให้อ่านกันอีก และช่วง 4 – 5 วันนี้เว็บของผมจะมีการปรับเปลี่ยนที่อยู่ของเว็บโดยย้ายไปที่ Server แห่งใหม่ โดยได้รับการตอบรับและอยู่ในขั้นตอนการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมไปถึงการตั้งค่าของระบบให้เข้าที่ทั้งหมด (ไม่น่าจะนานเกินไป) ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาอะไรภายในอาทิตย์หน้าน่าจะย้ายเสร็จทั้งหมด

เวียตนามจะแซงไทยจริงหรือ? !!! ……..

จากกรุงเทพธุรกิจ รายงานพิเศษ – เวียตนามจะแซงไทยจริงหรือ? เจาะลึกม้ามืดเอเชีย

ลองอ่านคราว ๆ แล้วก็ใจหาย ว่าเฮ้ยยย มันเรื่องจริงหว่ะ ตอนนี้หลาย ๆ อย่างเค้าไปไกลแล้ว อย่างระบบ Internet ที่นั้นแซงเราไปแล้ว ซึ่งหาอ่านได้ทั่วไปว่าทำไม และไปไกลขนาดไหนแล้ว

แต่ที่แน่ ๆ ระบบการศึกษาเค้าแซงเราไปแล้วในระดับพื้นฐานดีกว่าเราแน่นอน ส่วนระบบอุดมศึกษาอาจจะตามหลังเรา แต่ไม่นานน่าจะแซงอย่างแน่นอน ถ้ามั่วแต่นั่งสร้างภาพ มองโลกในแง่ดี เช้าชาม เย็นชามแบบทุกวันนี้ อาจารย์หลายท่านตื่นตัวต่อการทำงานมาก แต่ด้วยระบบราชการไทย ทำให้หมดไฟไปเกือบหมด งานวิจัยไทยส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องระยะสั้น ระยะยาวหายากมาก (พวกระยะยาวมักจะเป็นโครงการวิจัยใหญ่) และเงินทุนสนับสนุนน้อย ถึงน้อยที่สุด เฮ้อ …. เหนื่อยใจจริง ๆ ไปนอนดีกว่า -_-‘ (อ้าาาว ซะงั้น)