ย้ายแล้ว !!!

และแล้วก็ได้ย้ายมาเต็มตัวสักที เฮ้อ … เหนื่อยจริง ๆ ;)

เนื้อหาบางส่วนได้ตัดทิ้งไปด้วยเหตุที่มันไม่เหมาะสมกับนิสัยส่วนตัวในตอนนี้แล้ว (โตขึ้นความคิดเปลี่ยน) แต่ส่วนใหญ่เนื้อหาจากเว็บ ThaiCyberPoint.com เดิมยังอยู่เกือบครบ ขาดแต่ CyberPunk ที่เนื้อหาไม่ครบ เลยตัดสินใจไม่เอามาลงดีกว่า เพราะอ่านไปก็ไม่จบ น่าเสียดายแทนคนที่ตามอ่าน เพราะผู้แปล หรือเรียบเรียงไม่ได้ทำต่อในส่วนนี้ (เนื้อหามันมาก แต่อ่านแล้วไม่จบ มันก็ไม่ดีจริงแมะ)

ในส่วนของเนื้อหาทั้งเก่าใหม่ และใน blog ได้เอามารวมกันไว้ที่นี่หมดแล้ว โดยได้ทำการ mapping link เก่าเกือบทั้งหมด ให้ redirect มาที่ url ใหม่ทั้งหมด เพื่อคนที่ยังอ้างอิง url เก่าได้เข้ามาได้สะดวกเหมือนเดิม  ส่วนถ้าในหน้าไหนที่รูปหายไปหรือเนื้อหาไม่ครบยังไงช่วยแจ้งผมด้วยนะครับ ผมจะได้ทำการปรับแก้ครับผม

ของใหม่ Sony Ericsson Walkman W700i !!!

อยากได้รายละเอียดของเครื่องนี้อ่านที่ Siamphone.com  และ Thaimobilecenter เอาแล้วกันนะครับ ละเอียดกว่า

นี่เป็นอีกเครื่องที่ผมได้ใช้ Sony Ericsson ซึ่งผมชอบยี่ห้อนี้ตั้งแต่ยังเป็น Ericsson เฉย ๆ ใช้ตัั้งแต่ T29s ซึ่งโดยขโมยไปแล้ว T_T ซึ่ง W700i ที่ผมซื้อมาในราคา 13,500 บาท เครื่องประกันศูนย์ 1 ปี ของแถมในกล่องเพียบเลย

เท่าที่ได้ใช้มา 1 อาทิตย์นี่การตอบสนองของเมนูทำได้ดีมาก และไม่หน่วงเลย (ผิดกับ T630 เครื่องเก่า) โดยที่ที่แตกต่างจาก W800i คือไม่มี Auto Focus (แต่เท่าที่ถ่ายออกมาเทียบกันก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่เลย) และแถม Memory Strick Pro Duo เพียง 256 MB (W800i แถม 512MB) นอกนั้นก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ครับ ตัวเครื่องเหมือนกันหมดเลย แถมพวก Theme, Wallpaper ก็ใช้ของ W800i หรือ K750i ก็ได้เช่นกัน (ขนาด Resolution 176×220 เท่ากันครับ)

เรื่องการใช้งานโดยรวมมีฟังค์ชันที่ดีมาก ๆ แถมไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่มเติมในการช่วยการ Presentation เลย เพราะมีอยู่ในเครื่องแค่ต่อกับ Bluetooth และลงโปรแกรม Sony Ericsson PC Suite ก็สามารถ Sync ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ได้ ใช้ Outlook ในการ Sync ข้อมูลโดยทำได้ดี และสะดวกกว่า T630 ตัวเก่าผมเสียอีก

ส่วนการ Sync ข้อมูลอย่างเพลงนั้นต้องใช้โปรแกรมชื่อ Disc2Phone ของ Sony Ericsson เอาเอง ซึ่งก็ใช้ไม่ยาก แต่มันเป็นเพียงแต่โปรแกรม Sync เพลง ไม่ใช่ Media Center แบบ Windows Media Player หรือ Music Player แบบ iTunes ซึ่งที่มันทำได้คือเลือกเพลงจากเครื่องของเรา และทำการปรับแต่ง bitrate ว่าเราจะ Sync ที่ bitrate เท่าไหร่ แล้วทำการ Sync เพลงใส่เครื่องโทรศัพท์ ซึ่งคล้าย ๆ กับ iTunes ที่ใช้ร่วมกับ iPod Shuffle ที่สามารถตั้งไฟล์ที่ Sync ที่มี bitrate เกิน 128kbps ให้เป็น ACC bitrate 128kbps ได้ แต่ตัว Disc2Phone สามารถตั้งได้ตั้งแต่ 32kbps – 192kbps ซึ่งทำให้มีทางเลือกในการ Sync เพลงได้จำนวนเพลงมากขึ้น และการใส่ข้อมูลนั้นสามารถใส่ข้อมูลอื่น ๆ เช่นไฟล์วีดีโอได้เช่นกัน โดยใส่ไฟล์วีดีโอที่เป็น Mpeg4 และ 3GP เท่านั้น แต่เท่าที่ลอง H.264 นั้นไม่สามารถอ่านภาพได้ ซึ่งก็แปลกใจว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เป็น Mpeg4 เหมือน ๆ กันแต่การ Compression ต่างกัน (แต่เสียงออกนะ)

ในส่วนของการแปลงไฟล์วีดีโอจาก format ต่าง ๆ นั้นเดียวไว้ entry หน้าจะมาบอกตัวโปรแกรมแล้วกันนะครับ แต่ว่าตัวนี้เด็ดมาก แถมเป็น GPL license ด้วย ซึ่งหมายถึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือ crack ให้ปวดใจเล่น (แบบผม)

ของที่แถมมาในกล่องทั้งหมด

แถม Memory Strick Pro Duo ขนาด 256MB พร้อมกับ Adapter

เห็นชัด ๆ ตัวเครื่อง สีสวยกว่า W800i ที่ดูมันออกแนวเด็ก ๆ ยังไงไม่รู้

แถม Bluetooth Hand-set HBH-PV700 มาให้ด้วย

สาย Datalink USB

 Wall-Charge

หัวต่อของ Wall-Charge และสาย Datalink เป็นรุ่นใหม่แบบเดียวกับ W800i

ชุด SmallTalk ที่ผมชอบที่สุดชุดนึงเพราะแยกส่วนของหูฟังและไมค์ออกจากกัน สามารถหาหูฟังอื่น ๆ มาใส่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดไมค์แต่อย่างใด ทำให้เอาหูฟังที่เราคุ้นเลยกันอยู่มาเสียบฟังได้เลย ;)

WorldCup 2006

จบไปแล้วสำหรับฟุตบอลโลก หรือ WorldCup ในปี 2006 เรื่องราวหลากหลายที่เกิดขึ้นคงไม่ต้องบรรยาย เพราะหาอ่านได้จากเว็บข่าวทั่วไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้จากฟุตบอลโลกในครั้งนี้คือ ทีมทุกทีมมีสิทธิ์ที่เข้ารอบและตกรอบเท่า ๆ กัน มีนักกีฬาเก่งแค่ไหนเล่นไม่เป็นระบบ วางแผนไม่ดี, ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่, ทนความกดดันของสภาพแวดล้อมไม่ได้ รวมไปถึงเล่นเกมส์ไม่แฟร์ มักจะทำให้ทีมและตัวเองไปไม่ถึงดวงดาว

ซึ่งในฟุตบอลโลกคราวนี้นักกีฬาหลายคนบอกให้โลกรู้ว่า "มืออาชีพ" เค้าเล่นกันอย่างไร และ "มือสมัครเล่น" เค้าทำตัวแบบไหน เอาง่าย ๆ คุณใส่ชุดอะไร คุณต้องทุ่มเทให้กับทีมนั้น ยิ่งทีมชาติแล้วต้องทุ่มเท และต้องลบภาพของตัวเองในสโมสรไปให้หมด ในสนามรบถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่ว่าหน้าที่ของตนเองนั้นต้องแขา่งขันชิงดีชิงเด่นกัน จะมาให้ปราณีกันมันเป็นไปไม่ได้หรอก ผลประโยชน์ของทีมสำคัญกว่า ซึ่งมันก็เหมือน ๆ กับตอนทำงานนั้นแหละ เพื่อนก็ส่วนเพื่อน ตอนทำงานก็ทำงาน มันทำห่วยแตก ก็ต้องด่า ต้องว่ากัน ไม่งั้นกลุ่มทั้งกลุ่มซวย

เรื่องของฟุตบอลโลกในครั้งนี้ หลายชาติผิดหวัง หลายชาติสมหวังกับผลงานตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้เข้าชิง แต่ก็มาได้มากกว่าที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ กีฬาทำให้คนรู้แพ้รู้ชนะ และครั้งนี้ก็ทำให้เราเข้าใจว่าคำว่าแพ้คืออะไร ชนะคืออะไร และบอลโลกครั้งนี้ทำให้เรารู้อีกว่า ต่อให้มีเงินมากมายในการทำทีมมากแค่ไหน ก็ต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ของผู้เล่น อย่างสหรัฐอเมริกา มีเงินมากมายในการอัดฉีดนักกีฬา แต่ก็สู้ฝีเท้าระดับที่ดีกว่า ไม่ได้

และที่ผมคิดมาตลอดการแข่งขันของฟุตบอลโลกก็คือทีมในยุโรปมักจะเล่นได้ดี หรือแม้แต่ทีมที่มีผู้เล่นภายในทีมเล่นในยุโรปยิ่งมากยิ่งเล่นได้ดี น่าจะเพราะในยุโรปนั้นมีการจัดการแข่งขันฟุตบอลอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทั้งบอลลีค บอลถ้วยต่าง ๆ มากมาย ทั้งในประเทศและในทวีปยุโรป ซึ่งทำให้คนเล่นในยุโรปนั้นได้เล่นฟุตบอลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงระบบจัดการทีมและลีคที่ดี  การที่ผู้เล่นหลาย ๆ คนมารวมกันใีนทีมทำให้นักแตะได้เจอกับบอลหลากหลายรูปแบบ จึงทำให้เกิดการปรับตัวของนักกีฬา ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องสร้างกันมาอย่างยาวนานทำให้ผู้เล่นต่าง ๆ ในลีคยุโรปมักเล่นได้ดี ถึงดีมาก ๆ ซึ่งหลาย ๆ ลีคในเอเชียก็เริ่มทำแบบนั้นแล้ว (แล้วประเทศไทยหล่ะ -_-")

ส่วนนัดชิงไม่ต้องผู้ถึง ฮ่า ……. อิตาลีได้แชมป์ ไปแล้ว อิๆๆๆ สุดยอดอีกนัด มันมากขอบอกครับ โดยนอกเหนือจากนัดชิงที่ 3 ที่มันสุด ๆ แล้ว นักนี้ก็ซะใจคนดูอย่างมากเช่นกัน ส่วนเรื่องซีดาน ผมมองว่าถึงเกเรในนัดสุดท้าย แต่เค้าก็คือนักแตะที่สุดยอดในรอบ 10 ปีนี้เลยทีเดียว

อิตาลีซิวแชมป์โลก!! ดวลเป้าเชือดไก่ ปิดฉากด้วยใบแดง

ว่าด้วย Basic Cocoa Training@Fortune จัดโดย ThaiMacDev.com

อบรมไปก็เกือบเดือน กว่าจะกลับมาเขียนต่อได้ -_- งานเยอะครับตอนนี้ T_T


ออกจากพิษณุโลกประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ จริง ๆ แล้วว่าจะไปตั้งแต่เช้าวันศุกร์แต่ว่าติดเรียน เลยต้องไปดึก ๆ กว่าจะถึงก็เกือบเช้า ไปนอนที่ห้องเพื่อนพี่กั่งก่อนสัก 3 – 4 ชั่วโมง แต่ว่าดันเหนื่อยเกิน เลยตื่นมา 9.30 น. พอดี ตอนนั้นเซงเลย เลยรีบ move ด้วยความรวดเร็วถึงที่อบรมก็ 10 โมงกว่า ๆ พอดีเข้าไป ยังไม่เริ่มอบรม ก็ค่อยยังชั่ว เฮ้อ …….. ซึ่งบรรยากาศโดยรวมทั้งหมดถึงว่าดีถึงดีมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความสนใจจริง ๆ และอยู่ในสายงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์กันทุกคน ซึ่งทุกคนก็ผ่านประสบการณ์การออกแบบ, พัฒนา และดูแลซอฟต์แวร์น่าจะทุกคน ซึ่งก็มีหลาย ๆ คนรวมถึงผมด้วยที่ไม่ได้จับแม็คในการเขียนซอฟต์แวร์รวมไปถึงบางคนก็ไม่เคยใช้มาก่อน (แบบผม) ซึ่งท่านวิทยากร คือ อ.เดฟ ก็สอนได้เข้าใจกันแทบจะทุกคน ในรูปแบบการทำงานที่เข้าใจง่าย โดยในวันแรกก็เข้าส่วนของพื้นฐานกันก่อน เช่น ความรู้เบื้อต้นของ Cocoa Framework, แนวการพัฒนาแบบ OOP ใน Cocoa, การออกแบบซอฟต์แวร์แบบ MVC และการแนะนำเรื่องของระบบ NextStep (ซึ่งเป็นเหมือนรุ่นพ่อของ Mac OS X หรือ Darwin) ซึ่งเป็นเหมือนการทวบทวน และได้ความรู้ใหม่ ๆ ไปในตัว โดยเรื่องของการ coding นั้นในวันแรกไม่ค่อยได้ coding เท่าไหร่ อย่าง hand-on ตัวแรกที่ให้ทำก็ไม่มีให้ coding สักบรรทัด ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการอบรมที่ดีมาก ๆ ที่เป็นการนำจุดเด่นของการพัฒนาบน Cocoa Framework มาบอกในอันดับต้นซึ่งทำให้เราเห็นภาพว่า OOP นั้นมัน send/receive message ของแต่ละ object กันอย่างไร ซึ่งทำให้การออกแบบ OOP แบบเดิม ๆ นี่เด็ก ๆ ไปเลย

โดยในวันแรกนั้นมีการพูดถึงการเขียน code บนพื้นฐานของภาษา Objective-C ซึ่งมีผู้เข้าอบรมหลาย ๆ ท่านก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันกับ อ.เดฟ และท่านอื่น ๆ ว่ามันแตกต่าง และใช้งานดีหรือไม่ดีอย่างไรเมื่อเทียบกับภาษาและ Framework อื่น ๆ ซึ่งทำให้ได้มุมมองที่กว้างและสนุกไปอีกแบบ ซึ่งในวันแรกไม่ได้เขียน code อะไรมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะ preview Framework อย่าง Cocoa, ภาษา Objective-C และทำความเข้าใจหลักของ MVC เสียมากกว่า

มาวันที่สอง นี่ coding เพียบและมันกว่าเดิม โดยรวมคือเป็นลักษณะ workshop มากกว่าวันแรกอย่างมากเลยหล่ะ แต่ก็ยังคงเขียน code ในจำนวนบรรทัดที่น้อยกว่าที่เคยเขียนมาในงานที่ทำเหมือน ๆ กัน โดยเฉพาะงานอย่าง Binding เนี่ยเห็นชัดมาก ;)

งานนี้เรียนมันมาก แค่เรื่องไปเอา concept อย่าง OOP ในระดับมองทุกอย่างใน software เป็น World (แบบ Sim City หรือ The Sim) และ MVC ที่ในมหาวิทยาลัยสอนไม่ครบก็คุ้มแล้วคร้าบบบบบบบบ ส่วน Objective-C และการเขียนใน Cocoa Framework น่าจะเป็น Case Study ในการทำ Application ในอนาคตได้มากเลย