ส่วนตัวนั้นการเปิดขวดน้ำทิพย์ต้องใช้สมาธิอย่างสูงมากก่อนลงน้ำหนักบีดขวดเปิด เพราะต้องเปิดให้ได้ภายในครั้งเดียว คือต้องลงน้ำหนักในการบิดให้หนักแน่น ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่งั้นการเปิดครั้งต่อไปอาจหมายถึงน้ำทั้งขวดจะไหลหรือสาดเข้าตัวทั้งขวด ซึ่งน้ำจะออกมาตามแรงบิดที่ปราศจากการดันขวดให้พองของก๊าซที่อัดมาเพื่อให้ขวดคงตัวอยู่ได้
ด้วยความบางของขวดน้ำที่บางกว่านี้อีกนิดหน่อยก็เกือบเท่าถุงร้อนใส่แกงตามตลาดทำให้ดื่มน้ำไปได้สักครึ่งขวดหรือมีลมพัดแรงๆ หน่อย ตัวขวดนั้นพร้อมที่จะพยุงตัวไม่อยู่แล้วล้มลงมาทำน้ำหกใส่ได้ทันทีเช่นกัน และความบางของขวดน้ำพร้อมที่จะแตกได้ในกระเป๋าเวลาพกพาเมื่อเปิดขวดไปแล้วในครั้งแรกเช่นกัน เพราะขวดน้ำดังกล่าวมันเคยแตกในกระเป๋าผมมาแล้ว ซึ่งดีที่ในกระเป๋ามีแต่หนังสือไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้ช็อตใดๆ เลยรอดพ้นหายนะไปได้
จากปัญหาที่บอกๆ ไป มันทำให้ผมไม่เข้าใจว่า การคิดว่าขวดน้ำที่เปิดขวดขึ้นมาเพื่อดื่มน้ำแล้วใช้ได้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเนี่ยมันดียังไง คือคนทำไม่คิดว่าฝามันจะเปิดไม่ได้ในครั้งแรกบ้างเหรอ แล้วเปิดครั้งต่อไปจะมีปัญหาต่อมาหรือไม่ หรือคนซื้อเค้าอยากปิดฝาแล้วดื่มครั้งต่อไปเพื่อใช้สำหรับเป็นเครื่องดื่มระหว่างการเดินทางบ้างเหรอ
ส่วนตัวผมแล้วผมว่ามันสร้างขยะมากกว่าเดิมอีก เพราะขวดไม่สามารถให้คนซื้อนำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยไม่ผ่านขั้นตอนการผลิตในอุตสาหกรรม ซึ่งขวดน้ำทิพย์ที่บางลง 35% นั้นหมายถึงต้นทุนที่น้อยลง 35% ของขวดพลาสติก แต่ราคาไม่ได้ลดลง ซึ่งยังคงราคาเท่าเดิมซึ่งเมื่อเทียบกับราคาน้ำดื่มขวดข้างๆ ที่มีความหนาของขวดปรกติ สามารถใช้งานและนำกลับมาใช้ได้เป็นอย่างดี มันกลับทำให้น้ำทิพย์ดูแพงไปในทันที แถมขวดน้ำทิพย์ยังให้ปริมาณที่น้อยกว่าบางยี่ห้อด้วย!
ที่น่าสนใจคือ จริงๆ แล้วการบอกว่าเนื้อพลาสติกที่ลดลง “รักษ์โลก” แต่เนื้อแท้ของสาระหลังจากได้สัมผัส เป็นแค่คำโฆษณาที่แอบแฝงด้วยการช่วยบริษัทในการลดต้นทุนเรื่องขวดน้ำมากกว่าหรือเปล่า?
ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง “น้ำทิพย์” ขวดบางๆ แบบนี้จะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ซื้อครับ
เท่าที่ทราบมาคือต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากครับ โดยเฉพาะกระบวนการอัดลม
ตอนแรกมันไม่อัดลมครับ เพิ่มมาอัดลมตอนหลัง เพราะปัญหาเปิดยากเนี่ยหละครับ เห็นว่าเครื่องจักรใหม่ราคาแพง เลยต้องราคาเดิม แต่ว่าถ้ามันทำให้ผู้บริโภคลำบากขึ้นก็ควรคิดใหม่ได้นะครับ ><"
โอ้ เพิ่งรู้นะนี่
ตั้งแต่น้ำทิพย์มาใช้ขวดย้วยนี่ก็ไม่ได้กินอีกเลยครับ จะได้กินก็ตามร้านอาหาร ที่ส่วนมากเป็นน้ำทิพย์
กลับไปกินเนสต์เล่เหมือนเดิม (แต่ขวดรุ่นหลังรุ่นฝาเตี้ยนี่ก็แอบปิดยากนิดนึง)
ไม่เคยสัมผัสขวดน้ำทิพย์นะครับ แต่ว่าก่อนหน้าที่จะไปที่ไทย ที่ญี่ปุ่นก็มีขวดแบบเดียวกันของโคคาโคลาขายเหมือนกัน
เท่าที่ลองเปิดมาก็ไม่เคยมีปัญหาว่าจะแตกหรือระเบิดระหว่างเปิดนะครับ แล้วก็ไม่เคยเจอปัญหาตอนใส่กระเป๋า ทั้งๆ ที่ปกติผมก็ยัดๆ มันลงกระเป๋าไม่ได้สนใจของข้างในเท่าไหร่ ก็ยังไม่เคยมีปัญหานะครับ
ถ้ากระบวนการผลิตแบบเดียวกัน คุณภาพสินค้าเหมือนกันแล้วล่ะก็ อาจจะเพราะยังไม่ชินกับวิธีการเปิด กับอาจจะปิดฝาไม่สนิทนะครับ แต่คิดว่าน่าจะเพราะบริษัทที่ไทยพยายามลดต้นทุน เลยไม่ทำคุณภาพเท่าญี่ปุ่นมากกว่า (แหงล่ะ ราคาต่างกันตั้งห้าเท่า)
ดูๆ แล้วน่าจะบางกว่านะครับ เพราะมีคนเมนชั่นมาหลายคนว่าของญี่ปุ่นมันบางน้อยกว่านี้น่ะ