เห็นพูดๆ ใน twitter กันขอนิดนึงแล้วกัน ^^
ได้รับเชิญไปหลายงานขอสรุปประสบการณ์ส่วนตัวและข้อเสนอแนะตามนี้ เผื่อเป็น checklist/guideline สำหรับคนจัดงาน
- วันและเวลาควรเป็นเวลาที่มนุษย์เงินเดือนเค้าว่างกัน เพราะ Blogger กว่า 90% เป็นพวกทำงานประจำกินเงินเดือนบริษัท ฯลฯ จะเชิญวันและเวลาทำงานปรกติแนะนำว่าต้องแน่ใจจริงๆ ว่าจัดแล้ว Blogger ไม่มาบ่นทีหลังว่าจัดทำไม เพราะงั้นถ้าไม่แน่ใจว่าจัดโดนใจ หรือมีข้อมูลเชิงลึกสุดๆ แบบกระจายได้มากๆ ไม่ต้องเชิญครับ (หลายงานไม่ขอเอ่ยจริงๆ จนหลังๆ ถ้าลาไม่ได้ก็ขอไม่ไป) ส่วนตัวไม่ค่อยอยากปฎิเสธเข้าร่วมงาน แต่ถ้าลางานบ่อยๆ โดนไล่ออกได้ เห็นใจกันบ้าง เพราะ Blogger ไม่ใช่สื่อที่สามารถลางานได้ตามภาระหน้าที่จริงๆ และแนะนำถ้าจัดวันธรรมดาก็นัดสัก 18:30 เป็นต้นไปจะดีมาก งานเริ่มสัก 19:00 อะไรแบบนั้น เลิกกี่โมงไม่ใช่ปัญหาดูแลตัวเองกันได้ ถ้าเสาร์-อาทิตย์ แนะนำว่าควรจัดช่วงบ่ายเป็นต้นไปครับ เหตุผลน่าจะเข้าใจกันดี ><"
- เนื้อหาขอให้ตรงกับความรู้ความสามารถของ Blogger นั้นๆ ถนัดจริงๆ อันนี้สำคัญ เพื่อข้อมูลตรง ชัดเจน เวลามาเขียนหรือเล่าเรื่องของ Blogger ท่านนั้นๆ ครับ ถ้าออกแนวกำกึ่งก็ต้องลองดูอันนี้อยู่ที่คนเชิญครับ
- ไม่ต้องรับรอง VIP อะไรมากมาย ขอพื้นที่สำหรับสุ่มหัวกันคุยกันเฮฮาได้ในงานด้วย เผื่อนั่งมึนๆ หรืออยากพูดคุยในรายละเอียดกับคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะระหว่างงาน ก่อน-เลิกงานจะได้ไม่รบกวนส่วนหลักของงาน อันนี้ประจำครับ แบบตอนนำเสนอไม่ค่อยมีคนถาม แต่พองานเลิก เริ่มมีสอบถาม Q&A ปั้บ คำถามเพียบ อันนี้ดูจะเป็นปรกติไปแล้ว เพราะความเป็นทางการของงานบางงานเนี่ยแหละครับ (คุยกันตอนหลังได้ข้อมูลลึกๆ หรือพวกข้อมูลเชิงกระซิบเยอะกว่ามากๆ)
- Press Kit ถ้าเป็นพวกเอกสารกระดาษคงไม่จำเป็น ถ้าเป็นของแจกก็ให้แค่ของก็พอ ส่วนใหญ่ Blogger ดูแลข้อมูลเบื้องต้นของตัวเองได้อยู่แล้ว แนะนำว่าส่งเข้าอีเมลมาเลยทีเดียวก่อนเริ่มงาน ผมเชื่อว่า Blogger ทุกคนมีอีเมล และ online อ่านเมลได้ทันทีกันเยอะ คงไม่ยากเกินไปอยู่แล้ว เพราะพวกเอกสารผมได้มาผมก็ไม่ได้อ่าน กองๆ ไว้มากกว่า เพราะหาอ่านได้ตามสื่อหลักอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
- รูปภาพต่างๆ ไม่ว่าจะของงาน ตัวสินค้า ฯลฯ ไม่ต้องส่งมาทางอีเมลก็ได้นะครับ เชื่อผมเหอะ ผมเจอหลายงานส่งมาเป็น 10MB อึ้งไปสักพัก ผมแนะนำให้อัพเข้าเว็บฝากรูปดีๆ สักที่ มีเยอะแยะให้เลือก Flickr ก็ดีนะ เดี่ยวพวก Blogger เค้าไปดูดกันมาเอง อ่อ…. อย่าลืมกำหนด tag ไว้จะดีมากครับ จะได้รวมเป็นกลุ่มๆ เข้าใจง่ายว่างานไหน
- สำคัญสุดๆ คือ Wireless Network(WiFi) อันนี้สำคัญมาก เพื่อติดต่อสื่อสารทำ Live Blogging ฯลฯ ได้ทันที บางคนอาจจะไม่ Live แต่อาจจะ Note บน Online Note ได้ทันที หรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสอบถามอะไรในงาน เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้ครบถ้วน ถ้าต้องเก็บ log หรือต้องใช้ username/password ก็เตรียมพร้อมไว้เลยครับ
- ถ้าอยากให้มี Live Blogging แนะนำให้บอกเลยว่าใช้ tag/hashtag อะไรในงานอย่างชัดเจนจะได้ไปในทางเดียวกันทั้งงาน เจอบางงานก็หลากหลายเหลือเกิน และไม่ควรยาวเกินไป คิดมาสั้นๆ ก็ได้ครับ จะคำย่อก็ดี เพราะเจ้า tag/hashtag เนี่ยจะถูกใช้ใน keyword ตอน search ในอนาคตแน่นอน คล้ายๆ กับคำย่อของงานนั้นๆ ด้วย
- คนนำเสนอแนะนำคนที่รู้ลึกรู้จริง จัดเต็ม เพราะเจอคำถามแบบลึกๆ อาจจะมึนๆ งงๆ แบบคาดไม่ถึงแน่นอน จะมีกี่คนก็ได้ จะพา engineer มาเท่าไหร่ไม่ว่า ผมเชื่อว่าระดับ Blogger สมัยนี้คำเทคนิคต่างๆ คิดว่าฟังได้สบายๆ ครับ
- การนำเสนอนี่เอาแบบสบายๆ ก็ได้นะ พิธีอะไรไม่ต้องเยอะ เน้นเฮฮา ปรกติไปกันนี่ก็มักจะรู้จักกันอยู่แล้ว ไม่ค่อยซีเรียส ผมจำได้ตอนงาน Windows 7 Insider Blogger Day นี่เฮฮามากคนไปไม่เยอะ หลัก 30-40 คนเอง ของกินเพียบ ไม่ได้หรูอะไร แต่เป็นกันเอง สอบถาม ให้ข้อมูลและนำเสนอนี่เนื้อๆ เน้นๆ มากมาย แถมเป็นกันเองมากคุยกันสนุก
- แนะนำว่าควรมี post-it หรืออะไรสักอย่างที่แปะชื่อไว้สักหน่อย จะได้เรียกชื่อกันได้ง่ายๆ (อันนี้เห็นผลจริงๆ ตอนงาน Barcamp)
- Blogger ส่วนใหญ่ไม่มีนามบัตรครับ เพราะงั้นแนะนำว่าไม่ต้องขอ ขอเว็บ blog, e-mail, twitter, facebook, linkedin หรือช่องทางการติดต่อแบบ online เป็นหลักครับจะดีที่สุด
- ของกินนี่เอาบ้านๆ ก็พอ น้ำเปล่า น้ำอัดลมอะไรก็ว่าไป จะขนม ของคาว จัดวางไว้เป็นสัดส่วน ไม่ต้องเดินเสริฟก็ได้ครับ ผมเชื่อว่า Blogger บ้านๆ แบบผม ดูแลตัวเองได้ และอย่าให้พร่อง ;P (ชักเริ่มเห็นแก่กินแฮะเรา ><")
คิดออกแค่นี้แหละครับ ถ้าดูดีๆ ไม่ต้องการอะไรมากมายเลย ผมว่ามันคล้ายๆ กับมาติวหนังสือตอนเรียนมหาวิทยาลัยมากๆ นัดมาเจอกันหิ้วน้ำ ขนมกันมาเอง แล้วก็มาสุ่มหัวกันติวๆๆ โดยมีหัวโจกคนนึงมาให้ข้อมูลเชิงลึก เทคนิคลับอะไรก็แล้วแต่ แล้วทุกคนก็กลับไปจัดการทบทวนทำข้อสอบของตัวเองในห้องสอบอะไรแบบนั้น เพราะ Blogger ก็สูตรใครสูตรมัน อะไรแบบนั้นครับ ;)
ดูเรื่องมากเนอะ ….. แต่จริงๆ จะเห็นว่าไม่มีอะไรเลย จัดแบบง่ายๆ เรียบๆ วันและเวลาของงานก็หลบๆ เพื่อคนทำงานบริษัทแค่นั้นเองครับ เรื่องมากน้อยกว่า Press อีกมั้ง ฮา….
ข้อแรกผมเห็นด้วยมาก ๆ ครับ เดี๋ยวนี้แต่ละคนเชิญไป ช่วงเวลาเสี่ยงต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานมาก ๆ
อันนี้สำคัญมากครับ บางครั้งต้องเลือกเลยว่าจะไปงานไหนไม่ไปงานไหน ทั้งๆ ที่อยากไปทุกงาน T_T
ชื่นชอบผลงานคุณฟอร์ดค่ะ อ่านเป็นความรู้ มาให้กำลังใจค่ะ
ขอบคุณครับผม ไร้สาระบ้างอะไรบ้างก็อย่าคิดมากครับ ^^
จริงๆ ต้องเสนอให้คนจัดเป็นฝ่ายเทคนิคนะ ไม่ใช่ฝ่าย PR อิอิ
จริงๆ มี PR ก็ได้นะ แต่ควรจะพาฝ่ายเทคนิคมาเยอะๆ กว่า PR หน่อย ;P
ปกติครับพี่ ไม่ใช่ปรกติ
ปรกติ กับ ปกติ ถูกทั้งสองแบบครับ
ปกติ เป็นบาลี ส่วน ปรกติ เป็นสันสกฤต
ผมชินกับ ปรกติ มากกว่า เหมือนคนอ่าน มกราคม ว่า “มัก-กะ-รา-คม” แทน “มก-กะ-รา-คม” ซึ่งผมอ่านแบบแรก จนหลายคนงง พอดีว่าผมเรียนภาษาไทยจากครูสอนภาษาไทยในต่างจังหวัดเลยได้คำเก่าๆ มาเยอะ
อ๋อ… ถ้าถูกทั้งสองแบบผมจะได้จำไว้ครับ
อ่านแล้วเห็นด้วยครับ ในทุกๆข้อเลย ตรงสุดๆ ภาพถ่ายก็ถ่ายกันเอง ผมเป็นคนนึงที่ได้ไปร่วมหลายๆงาน ผมมองว่า การเชิญ blogger นั้น เรายินดีและเราภูมิใจนะครับ ลึกๆ ว่าเราได้รับโอกาสดีๆจากผู้บริหารแบรนด์ในการเชิญเราไปร่วมงานต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าผิด ผิดที่ทำไปด้วยอารมณ์โมโหหิว ฝนตก น้ำท่วม การไม่ได้รับการดูแล เพราะความ “คาดหวัง” ในการดูแลเป็นอย่างดีจากงานครั้งก่อนๆ เปรียบเทียบกัน เมื่อเวลาผ่านไป เข้าใจมากขึ้น ไตร่ตรองมากขึ้น ว่าการออก TL นั้นเป็นผลเสีย เอาเข้าจริง คือเรื่องการบริการน้ำ อาหาร แต่การจัดงานดีมาก สำหรับดารา และเซเลป ดังนั้น blogger ควรจะศึกษา ว่างานแบบใด ควรจะวางตัวแบบใด ใครบ้างที่มาร่วมงาน แน่นอนว่าแบรนด์ต้องดูแลดารา เซเลปให้ดีที่สุด เพราะหากดูแลไม่ดี นั่นหมายถึงการที่เขาเสียสละเวลามาร่วมงาน แต่มุมมองของ blogger ไม่ได้อภิสิทธิ์ชนเหนือคนอื่น เพียงแต่ คนธรรมดา ที่ “คาดหวัง” ในการได้รับการรับรอง ผมเข้าใจ PR และคนจัดงานครับ แต่บางครั้ง blogger เองก็ต้องเรียนรู้ในการปรับตัวเข้ากับงานและไม่คาดหวังอะไรสำหรับบางงานที่เน้นจัดเฉพาะเซเลปและดารา ซึ่งคนไม่ผิดก็กลับถูกด่าเหมารวมจากความคาดหวังครับ
ผมว่ากรณีนี้ blogger ไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ต้องการให้เอาใจ ขอแค่น้ำอาหารอิ่มท้องก็พร้อมจะเขียน ทวิต โปรโมท แนะนำสินค้าให้เต็มใจยิ่งแล้ว บางที มันคือการ “ซื้อใจ” ครับ เพราะในหลายๆงาน ทวิตกันเต็ม timeline แนะนำสินค้าให้แบรนด์ ในขณะที่หากบล็อกเกอร์ “ไม่ปลื้ม” ในแท็กจะไม่มีข้อมูลสินค้า ไม่มีทวิต ไม่มีบล็อกเขียนให้แบรนด์เลย แต่กลายเป็นคำตัดพ้อต่างๆ แทนครับ
PR ต้องเข้าใจ blogger แต่เมื่อเวลาผ่านไป อิ่มท้อง ก็เหมือน กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เพิ่งสำนึกได้ ว่าเราทำอะไรลงไป อะไรที่พลาดไปแล้ว มันก็พลาดไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้กับอารมณ์ชั่ววูบของตนเองในการใช้สื่อด้วยอารมณ์พาไป
ผมไม่อยากให้คนภายนอกมอง blogger ไม่ดี ถือสิทธิเหนือคนอื่นหรอกครับ แต่ blogger ก็คน มีหิว มีง่วง มีอยากนอนเหมือนกัน เพราะไหนจะทำงานทั้งวัน เจียดเวลามาร่วมงาน กลับบ้านไปเขียนบล็อกให้อีก ขอบคุณสำหรับความเห็น คำแนะนำดีๆนะครับ
นี่ผมเขียนก็กลัวเค้าจะไม่เชิญผมไปงานแล้วนะเนี่ย แบบเรื่องเยอะ แต่จริงๆ มันเป็นแบบนี้จริงๆ แหละครับ blogger ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก ออกแนวเดินเข้าไปในงานถามโน้นนั้นนี่ เป็นข้อมูลมาเขียนข่าว บทความ หรือ tweet แค่นั้นเอง ออกแนวอยู่แบบไร้ตัวตนสบายใจกว่านะบางครั้ง แต่ขอความสะดวกในการได้ข้อมูลและส่งข้อมูลก็เพียงพอ ส่วนของกินก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราวดูเวลาว่าใช่เวลากินไหม (ฮา…) ก็แค่นั้นแหละมั้ง เพราะบางงานจัดแบบกระชั้นชิดมาก ประมาณเลิกงานแล้วต้องบึ่งรถมาเลย ไม่งั้นไม่ทัน (ผมเจอเกือบทุกงาน) ข้าวก็ไม่ได้กิน มาถึงก็คอแห้งแล้ว แต่ดีที่ผมเอาตัวรอดด้วยการหาน้ำดื่มซะให้มันหายเหนื่อย เรื่องหิวค่อยว่ากัน อะไรแบบนั้นครับ
ผมมองว่า blogger ก็ผิดครับ เรียกร้องจากการคาดหวังมากเกินไป แต่จะมีสักกี่รายที่เข้าใจ blogger จริงๆ ธรรมชาติของคนครับ ที่ไปอยู่ในสถานที่หนึ่ง แล้วมีความรู้สึก (ส่วนตัว) ว่า ไม่มีใครสนใจเราเลย มันก็คือการเรียกร้องความสนใจนั่นแหล่ะ และด้วยความที่แต่ละคนเป็น Influencer เสียงมันก็เลยดัง เอาจริงๆคนในเหตุการณ์ก็มีแค่ 5-6 คนเท่านั้นเมื่อเทียบกับคนร่วมงานเป็นร้อย :) แล้วคนอ่านเจอก็เอาไปพูด โดยไม่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง ผลเสียก็ตามมา เอาจริงๆวลีว่า ไม่มีใครที่ทำให้ถูกใจได้ทุกคน คงจะเป็นวลีอมตะครับ
อันนี้คิดว่าจริง ไม่ทั่วถึงอาจจะไม่ใช่ว่างานไม่ดี แต่ว่าคนไม่พอเลยดูแลไม่ทั่วถึงทุกคน เลยรู้สึกแปลกแยก แต่จริงๆ คิดว่าคนทำงานจริงๆ คงไม่อยากให้เกิดขึ้น คงต้องใจเค้าใจเราแหละครับ
บริการไม่ทั่วถึงจริง แต่ไม่อยากจะให้เหมาว่างานไม่ดีนะครับ อาจจะผิดพลาดตรงการใช้คำ ณ ขณะนั้นว่าหิวและอารมณ์เสีย ปอกรกับสภาพแวดล้อมฝนตก น้ำท่วม ด้วย ก็เลยไปกันใหญ่ เป็นบทเรียนครับจะได้เรียนรู้ไว้และคิดไตร่ตรองก่อนทำอะไรลงไป
คิดว่าเป็นเช่นกัน
ปล. ผมไม่ได้ไปงานต้นเรื่องเมื่อวานนี้ จนทำให้ผมต้องมาเขียนเรื่องนี้จึงไม่ทราบปัญหาอะไรยังไง เห็นว่าบ่นๆ กันเลยสรุปตามงานเก่าๆ ที่เคยไป ^^
จริงครับ งานนี้ทำให้เรียนรู้ได้หลายอย่างและการฝึกไตร่ตรองระงับอารมณ์ก่อนทวิตอะไรออกไป พลาดไปแล้วพลาดเลยเพราะทำด้วยอารมณ์มีแต่พังกับพัง บ่นๆ เอาจริงๆคือน้ำ อาหาร การแถลงข่าวครับ ไม่มีเนื้อหาให้ทวิต ซึี่งงานของเจ้านี้คงเป็นปกติที่เราไม่คุ้นชิน
ผมว่าต้องเรียนรู้ร่วมกันครับงานนี้ อีกอย่าง คนทำ PR บางท่าน ยังเข้าใจว่า Blogger คือ Press ตามสำนักข่าวต่างๆ ที่มานั่งฟังแล้วไปนั่งสรุปตาม Press Kit แล้วจบไป ซึ่งความเป็นจริงแล้ว Blogger นั้นมางานเพราะอยากได้ข้อมูลสนใจ อยากได้อะไรที่มากกว่าสื่อหลักมากๆ เพราะทำด้วยใจรักจริงๆ เพราะไม่มีเงินเดือน ทำแบบอิสระ ไม่มีสังกัด (เท่าที่ผมเจอ) เนื้อหาที่ได้จาก Blog ดูจะเข้มข้นกว่าสื่อหลักโดยทั่วไป ออกแนวข้อมูลลึกกว่า แรงกว่า ตรงไปตรงมากว่า ซึ่ง PR บางที่ยังแยกเรื่องตรงนี้ไม่ออก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ดีสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ Blogger ซึ่งอาจจะเป็นคนที่สนใจสินค้านั้นๆ แต่ไม่อยากได้ข้อมูลจากสื่อหลักที่ปรุงแต่งมาแล้วซะส่วนใหญ่เพราะเกรงใจ หรือสายสัมพันธ์ทางสื่ออะไรก็แล้วแต่ (แต่ในอนาคต blogger ก็อาจจะโดนลูกเกรงใจนี้ด้วยก็ไม่แปลก)
ชอบบล็อกเอนทรี่นี้ครับ ช่วงหลังๆ จากที่ผมเริ่มทำงานประจำแล้วก็ไม่ค่อยได้ร่วมงานต่างๆ ที่เชิญบล็อกเกอร์ไป ไม่เหมือนตอนที่ยังว่างงาน แต่ทุกข้อที่เขียนมาได้ดีครับ เห็นด้วย ชอบๆ
ตามมาอ่านจาก Blognone ครับ เห็นด้วยแทบทุกข้อครับ
ขอบคุณครับ สำหรับ Guideline